uterine fibroids cervical cancer uterine cancer disease faq

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ 3 โรคยอดฮิตในผู้หญิง เนื้องอกมดลูก มะเร็งมดลูก และมะเร็งปากมดลูก

เนื้องอกมดลูก มะเร็งมดลูก มะเร็งปากมดลูก ล้วนเป็นโรคทางนรีเวชที่พบได้บ่อยในผู้หญิง แต่หลายคนอาจยังไม่ทราบว่า ทั้ง 3 โรคนี้ มีความแตกต่างกันอย่างไร รุนแรงแค่ไหน บทความนี้เรารวบรวมคำตอบแบบกระชับให้คุณหายข้องใจเอาไว้แล้ว

สารบัญ

1. เนื้องอกมดลูกต่างจากโรคมะเร็งมดลูกอย่างไร?

ตอบ: เนื้องอกมดลูก คือ ภาวะที่บริเวณมดลูกมีก้อนเนื้องอกเกิดขึ้นซึ่งแบ่งออกได้ 2 ชนิด ได้แก่ ก้อนเนื้องอกชนิดธรรมดาและก้อนเนื้องอกชนิดมะเร็ง 

ผู้ป่วยอาจตรวจพบเนื้องอกชนิดใดก็ได้ แต่ส่วนใหญ่มักไม่ใช่เนื้องอกที่เป็นมะเร็ง และบางรายหากแพทย์ประเมินแล้วว่าไม่ได้เป็นอันตรายร้ายแรง หรือไม่ได้มีอาการที่ส่งผลกระทบต่อชีวิต ก็ไม่ต้องรักษา เพียงแต่ติดตามอาการเป็นระยะเท่านั้น

แต่หากตรวจพบก้อนเนื้องอก แล้วแพทย์วินิจฉัยอย่างแน่ชัดว่าเป็นเนื้อร้าย จะถือว่าเป็นโรคมะเร็งมดลูก ซึ่งจำเป็นต้องรีบรักษาก่อนที่เซลล์มะเร็งจะลุกลามกระจายเป็นวงกว้าง

2. เนื้องอกมดลูก มีอาการยังไง?

ตอบ: อาการของเนื้องอกมดลูก จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ชนิดเนื้องอก ตำแหน่งที่เกิด ความรุนแรงของโรค ซึ่งบางกรณีก็อาจไม่มีอาการใดๆ เลย หรือบางกรณีก็อาจมีอาการชัดเจน โดยอาการบ่งชี้ที่พบได้บ่อย ได้แก่

  • ปวดท้องน้อยที่ไม่ใช่ปวดประจำเดือน
  • ปวดท้องประจำเดือนเป็นประจำ
  • ประจำเดือนมามากผิดปกติและมีลิ่มเลือดปน 
  • ตกขาวเป็นมูก เป็นสีน้ำตาลและมีกลิ่นเหม็น หรือเป็นมูกปนหนอง 
  • หากก้อนเนื้องอกไปกดทับกระเพาะปัสสาวะ ผู้ป่วยบางรายยังมักมีอาการปัสสาวะบ่อย
  • หากก้อนเนื้องอกไปกดทับลำไส้ ผู้ป่วยบางรายยังมักมีอาการท้องผูก
  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายขึ้น
  • ท้องโตขึ้น หรือคลำพบก้อนที่ท้องน้อย
  • มีบุตรยาก หรือแท้งบุตร

3. เนื้องอกมดลูกเกิดจากอะไร?

ตอบ: ปัจจุบันยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่า เนื้องอกมดลูกเกิดจากสาเหตุใด อย่างไรก็ตามมีบางทฤษฎีเชื่อว่า ก้อนเนื้องอกในมดลูกอาจสัมพันธ์การทำงานของฮอร์โมนที่สร้างจากรังไข่อย่างฮอร์โมนเอสโตรเจน รวมถึงพันธุกรรม ทำให้ผู้หญิงที่มีคนในครอบครัวพบเนื้องอกมดลูกมาก่อนมีโอกาสจะพบเนื้องอกมดลูกได้เช่นกัน

4. เนื้องอกมดลูกรักษาอย่างไร?

ตอบ: การรักษาเนื้องอกมดลูกทำได้หลายวิธี โดยแพทย์จะพิจารณาวิธีรักษาจากหลายปัจจัย เช่น ตำแหน่งของก้อนเนื้องอก ขนาดของก้อนเนื้องอก ความต้องการมีบุตรในอนาคตของผู้ป่วย เช่น 

5. มีเนื้องอกมดลูก มีลูกได้ไหม?

ตอบ: ขึ้นอยู่กับระยะของโรคหรือชนิดของเนื้องอกที่พบในมดลูก ในผู้ป่วยบางรายที่พบเนื้องอกชนิดมะเร็งและอยู่ในระยะลุกลาม แพทย์ก็อาจต้องตัดเนื้องอกรวมถึงมดลูกออกด้วย ทำให้ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก

แต่กรณีที่เนื้องอกมีขนาดเล็ก และไม่ได้เป็นมะเร็ง แพทย์ก็อาจใช้วิธีตัดเลาะก้อนเนื้องอกออก และเก็บรักษามดลูกไว้สำหรับการตั้งครรภ์ในอนาคตได้

6. โรคมะเร็งปากมดลูกมีกี่ระยะ?

ตอบ: โรคมะเร็งปากมดลูกแบ่งออกได้ 2 ระยะ ได้แก่

  1. ระยะก่อนเป็นโรคมะเร็ง เป็นระยะที่เซลล์บริเวณปากมดลูกผิดปกติ แต่ยังอยู่ใต้เยื่อบุผิวมดลูก หากตรวจพบรอยโรคตั้งแต่ในระยะนี้ ก็มีโอกาสรักษาหายได้สูง
  2. ระยะลุกลาม เป็นระยะที่เซลล์มะเร็งก่อตัวกลายเป็นโรคมะเร็งปากมดลุก สามารถแบ่งระยะย่อยตามการกระจายของโรคได้ดังนี้
    1. ระยะที่ 1: ระยะที่เซลล์มะเร็งแพร่กระจายอยู่ภายในปากมดลูก
    2. ระยะที่ 2: ระยะที่เซลล์มะเร็งแพร่กระจายจากปากมดลูกไปยังส่วนบนของช่องคลอดหรือเนื้อเยื่อข้างปากมดลูก
    3. ระยะที่ 3: ระยะที่เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปทั่วพื้นที่ประมาณ 1 ใน 3 ของช่องคลอด รวมถึงผนังอุ้งเชิงกราน และต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียง
    4. ระยะที่ 4: ระยะที่เซลล์มะเร็งแพร่กระจายออกนอกอุ้งเชิงกราน และลุกลามไปอวัยวะข้างเคียง เช่น ตับ ปอด กระเพาะปัสสาวะ กระดูก

7. วัคซีนป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก ป้องกันได้กี่เปอร์เซ็นต์ ต้องฉีดกี่เข็ม?

ตอบ: วัคซีนป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก คือ วัคซีนป้องการติดเชื้อ HPV (Human Papilloma Virus) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดความผิดปกติของเซลล์ที่ปากมดลูก และก่อตัวกลายเป็นก้อนมะเร็ง มักติดต่อกันได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ 

วัคซีน HPV จัดเป็นวัคซีนที่ผู้หญิงทุกคนควรฉีดทุกคน เพราะมีประสิทธิภาพป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกได้สูงถึง 90% และยังป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น หูดหงอนไก่ มะเร็งทวารหนัก เป็นต้น โดยเริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 9 ปีขึ้นไป ส่วนจำนวนเข็มจะขึ้นอยู่กับช่วงอายุที่เริ่มฉีด ดังต่อไปนี้

  • หากฉีดเข็มแรกก่อนอายุ 15 ปี ฉีดทั้งหมด 2 เข็ม โดยระยะห่างระหว่างเข็มแรกกับเข็มที่สองอยู่ที่ 6-12 เดือน
  • หากฉีดเข็มแรกหลังอายุ 15 ปี ฉีดทั้งหมด 3 เข็ม ระยะห่างระหว่างเข็มแรกถึงเข็มที่สามจะอยู่ที่ 0, 2 และ 6 เดือน

8. จะรู้ได้ยังไงว่าติดเชื้อ HPV ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูก?

ตอบ: โดยส่วนมากผู้ที่ติดเชื้อ HPV มักไม่รู้ตัวว่าตนเองได้รับเชื้อ อย่างไรก็ตาม เราสามารถตรวจหาเชื้อนี้ได้หลายวิธี เช่น

  • การตรวจภายใน 
  • การป้ายเก็บเซลล์บริเวณปากมดลูกเพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการหรือที่เรียกว่า “การตรวจแปปสเมียร์ (Pap Smear)” หรือ “การตรวจตินแพร็พ แปป เทสต์ (Thin Prep Pap Test)” ทำให้แพทย์มองเห็นเซลล์ที่ผิดปกติและอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูก มักทำพร้อมกับการตรวจภายใน
  • การตรวจ HPV DNA ซึ่งเป็นการตรวจหาสายพันธุ์ของเชื้อไวรัส HPV ที่สามารถก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ โดยใช้วิธีเก็บตัวอย่างเซลล์บริเวณปากมดลูกและช่องคลอด
  • การส่องกล้องปากมดลูก (Colposcopy) เพื่อตรวจหาเนื้อเยื่อที่ผิดปกติ

9. วัยไหนเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกมากที่สุด?

ตอบ: โรคมะเร็งปากมดลูกพบได้ในผู้หญิงอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้น โดยมักพบได้มากที่สุดในช่วงอายุ 35-50 ปี

10. สัญญาณเตือนโรคมะเร็งปากมดลูก มีอะไรบ้าง?

ตอบ: อาการที่เป็นสัญญาณเตือนโรคมะเร็งปากมดลูก มีดังนี้

  • มีเลือดออกขณะหรือหลังมีเพศสัมพันธ์
  • แม้ประจำเดือนหมด แต่ก็ยังมีเลือดออกอยู่
  • เลือดออกเพียงกะปริบกะปรอยคล้ายประจำเดือน
  • มีเลือดออกติดต่อกันนานหลายวัน หรืออาจออกทั้งเดือน
  • เลือดคล้ายประจำเดือนออกมาก จนต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยกว่าปกติ
  • ตกขาวหรือตกเหลืองมาก กลิ่นเหม็นเหมือนคาวปลา
  • อาจมีอาการปวดท้องน้อยร่วมด้วย

11. โรคมะเร็งปากมดลูก รักษาหายได้ไหม?

ตอบ: มีโอกาสรักษาหายได้ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับระยะและความรุนแรงของโรค รวมทั้งสุขภาพร่างกายของผู้ป่วยแต่ละคน โดยส่วนใหญ่การรักษาโรคมะเร็งปากมดลูกจะเป็นการผ่าตัด ควบคู่ไปกับการให้เคมีบำบัด หรือรังสีรักษา ซึ่งต้องให้แพทย์เป็นผู้พิจารณา

12. ไม่ค่อยเปลี่ยนคู่นอน ไม่เสี่ยงเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกจริงหรือไม่?

ตอบ: การไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยสามารถลดโอกาสเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกได้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เนื่องจากยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่สามารถเพิ่มความเสี่ยงทำให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูกได้ เช่น

  • อีกฝ่ายเปลี่ยนคู่นอนหลายคน
  • มีประวัติโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคหนองใน โรคเริม
  • ภูมิคุ้มกันร่างกายบกพร่อง
  • ประวัติเป็นโรคมะเร็งที่ส่วนอื่นของอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น รังไข่ ช่องคลอด มดลูก
  • มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกก่อนอายุ 18 ปี
  • มีบุตรคนแรกก่อนอายุ 20 ปี 
  • มีบุตรหลายคน
  • มีพฤติกรรมสูบบุหรี่จัด

13. โรคมะเร็งมดลูกเกิดจากอะไร?

ตอบ: แม้ว่าโรคมะเร็งมดลูก จะไม่ได้มีสาเหตุแน่ชัดอย่างโรคมะเร็งปากมดลูก แต่ก็อาจมาจากปัจจัยด้านสุขภาพของผู้ป่วย เช่น 

  • การเข้าสู่วัยทอง 
  • โรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคความดันโลหิตสูง
  • ฮอร์โมนไม่สมดุล
  • กรรมพันธุ์ 
  • ความผิดปกติอื่น ๆ ของระบบสืบพันธุ์ เช่น ภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัว 

14. โรคมะเร็งมดลูก ต่างจาก โรคมะเร็งปากมดลูกยังไง?

ตอบ: โรคมะเร็งมดลูกเป็นโรคมะเร็งที่เกิดบริเวณ เยื่อบุผิวหรือกล้ามเนื้อของมดลูก ต่างจาก โรคมะเร็งปากมดลูกที่เกิดบริเวณ เยื่อบุปากมดลูก โดยปากมดลูกเป็นส่วนหนึ่งของตัวมดลูก จะอยู่บริเวณด้านล่างของมดลูก ซึ่งยื่นเข้าไปในช่องคลอด 

แม้ว่าจะเป็นคนละโรค แต่ตำแหน่งการเกิดก็มีความใกล้เคียงกัน อาจทำให้หลายคนสับสนได้

15. โรคมะเร็งมดลูก อาการเริ่มแรกเป็นอย่างไร?

ตอบ: โรคมะเร็งมดลูก เป็นโรคที่มักไม่มีสัญญาณความผิดปกติใดๆ ในระยะแรก กระทั่งเซลล์มะเร็งเริ่มลุกลาม ผู้ป่วยจึงเริ่มสังเกตเห็นอาการผิดปกติ โดยมากจะเกี่ยวข้องกับประจำเดือนหรืออาการเลือดออกผิดปกติ เช่น

  • ประจำเดือนมามากหรือมานานผิดปกติ 
  • มีเลือดที่ไม่ใช่ประจำเดือนไหลจากช่องคลอด 
  • มีเลือดไหลหลังมีเพศสัมพันธ์ 
  • ตกขาวมีเลือดปน

จากคำตอบของทั้ง 15 คำถาม จะเห็นได้ว่า โรคทางนรีเวชทั้ง 3 ชนิด ล้วนมีลักษณะอาการ และวิธีการรักษา ป้องกันที่แตกต่างกันไป หากเราหมั่นสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ก็มีโอกาสที่จะตรวจพบได้เร็ว และมีโอกาสรักษาให้หายขาดได้

ยังมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคทางนรีเวชใช่ไหม? ไม่รู้จะถามใครดี ปรึกษาทีม HDcare ได้เลย เราพร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวดูแลสุขภาพคุณ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับคุณหมอเฉพาะทาง ทำนัดปรึกษาคุณหมอได้รวดเร็ว หรือค้นหาแพ็กเกจตรวจคัดกรองโรค จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย

Scroll to Top