สะเดา พืชที่ขึ้นชื่อในเรื่องรสขม ทุกส่วนของสะเดา ทั้งใบ ดอก ราก เปลือก รวมถึงเมล็ด สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ ใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในไทย อินเดีย และประเทศอื่นๆ ในทวีปเอเชีย สะเดามีคุณค่าทางโภชนาการมากมาย และใช้เป็นยาได้ด้วย
สารบัญ
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของสะเดา
เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 20-25 เมตร เปลือกต้นสีน้ำตาลเทา ค่อนข้างหนา แตกเป็นร่อง ใบเป็นใบประกอบขนนก ออกเรียงสลับ ใบรูปหอก โคนใบโค้งมนไม่เท่ากัน ขอบใบเป็นจักคล้ายฟันเลื่อย ปลายใบเรียวแหลม แผ่นใบเรียบ ใบมีสีเขียวเข้มเป็นมัน
ดอกออกเป็นช่อ ออกที่ปลายกิ่งขณะแตกใบอ่อน ดอกสีขาวนวลหรือสีเทา มักจะออกดอกในช่วงเดือนธันวาคม-มีนาคม ในดอกมีน้ำมันหอมระเหย ทำให้มีกลิ่นหอมอ่อนๆ
ผลสะเดามีลักษณะกลมรีคล้ายผลองุ่น ขนาดประมาณ 1-2 เซนติเมตร ผลอ่อนสีเขียว ผลสุกมีสีเหลืองอมเขียว
เมล็ดมีลักษณะกลมรี ผิวค่อนข้างเรียบ มีรอยแตกเป็นร่องเล็กๆ ตามยาว สีเหลืองอ่อนหรือสีน้ำตาล
ในประเทศไทยพบสะเดา 3 ชนิด ได้แก่ สะเดาอินเดีย สะเดาช้าง และสะเดาไทย ทั้งสามชนิดมีความคล้ายคลึงกัน นำมาใช้ทดแทนกันได้
สรรพคุณของสะเดา
แต่ละส่วนของสะเดามีสรรพคุณดังนี้
- ใบ มีรสขมฝาดเย็น รับประทานเป็นอาหารหรือต้มดื่ม ช่วยบำรุงไฟธาตุ ขับน้ำย่อย รักษาแผลในกระเพาะอาหาร แก้ไข้ แก้พยาธิ แก้ร้อนในกระหายน้ำ บำรุงโลหิตและน้ำดี ช่วยลดความเครียด คลายกังวล เป็นยาระบายอ่อนๆ น้ำคั้นจากใบสามารถนำมาเป็นยาใช้ภายอก สำหรับรักษาบาดแผล น้ำร้อนลวก ผิวหนังอักเสบ พอกฝี
- ดอก มีสารกลุ่มไกลโคไซด์และสารที่มีรสขม ช่วยบำรุงธาตุ แก้พิษ ขับลม
- ก้านและก้านใบ ช่วยรักษาไข้ ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น
- เปลือกต้น ใช้แก้ไข้ แก้บิดมูกเลือด แก้ท้องเสีย ช่วยให้เจริญอาหาร และสารสกัดจากเปลือกต้นสามารถนำมาใช้เป็นยาภานอก ทารักษาริดสีดวงทวารได้
- แก่น แก้อาเจียน ขับเสมหะ
- กระพี้ แก้ถุงน้ำดีอักเสบ
- ราก ช่วยแก้โรคผิวหนัง แก้เสมหะ แก้ไข้
- ยาง ใช้ดับพิษร้อนในร่างกาย
- ผล มีสารให้รสขมชื่อ บากายานิน (Bakayanin) สามารถใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ ยาระบาย รักษาริดสีดวงทวาร
- น้ำมันจากเมล็ด เป็นสารที่ให้รสขม มีชื่อว่ามาร์โกสิกแอซิด (Margosic acid) 45% และสารนิมบิดิน (Nimbidin) ใช้เป็นยาภายนอก รักษาโรคผิวหนัง และสามาราถนำมาใช้เป็นยาฆ่าแมลงได้
นอกจากนี้ทั้งส่วนเปลือก ใบ และผลของสะเดา ยังมีสารโพลีแซกคาไรด์ (Polysaccharides) และลิโมนอยด์ (Limonoids) ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดเนื้องอก และมะเร็ง
กินสะเดาอย่างไร กินส่วนไหนได้บ้าง?
การรับประทานสะเดาในมื้ออาหารหรือรับประทานเป็นยา ทำได้ดังนี้
-
- ช่อดอก นำมาลวกด้วยน้ำร้อน รับประทานกับน้ำพริกหรือน้ำปลาหวาน
- ส่วนอื่นๆ ของสะเดา ใช้ประมาณ 1 กำมือ ต้มน้ำ ประมาณ 10-15 นาที รับประทานก่อนอาหาร
ข้อควรระวังในการรับประทานสะเดา
แม้จะมีประโยชน์มาก แต่การรับประทานสะเดาอย่างไม่ถูกต้องก็ทำให้เกิดอันตรายได้ ดังนี้
- การรับประทานในปริมาณมาก อาจทำให้เกิดท้องเสียได้
- การรับประทานปริมาณต่อเนื่องเป็นเวลานาน อาจทำให้ส่งผลเสียต่อตับและไตได้
หากต้องการรับประทานสะเดาเป็นยารักษาโรค ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนทุกครั้ง เพื่อกำหนดปริมาณที่เหมาะสม ให้ปลอดภัยในการใช้
เขียนบทความโดย พทป. บุญศิริ คณะภักดิ์