vitamin c benefits and harm you never heard of

สรรพคุณของวิตามินซี ประโยชน์ วิธีทาน ข้อควรระวัง

วิตามินซี (Vitamin C) เป็นหนึ่งในวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย เนื่องจากมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิต้านทาน ต่อต้านอนุมูลอิสระและช่วยบำรุงผิวพรรณได้เป็นอย่างดี ดังนั้นคนเราจึงต้องเสริมวิตามินซีให้เพียงพอต่อร่างกายอยู่เสมอ

เราสามารถหาวิตามินซีได้จากพืชผักผลไม้ทั่วไป โดยเฉพาะผลไม้รสเปรี้ยว และจากวิตามินซีที่อยู่ในรูปของอาหารเสริม แต่ทั้งนี้ การได้รับวิตามินซีในปริมาณที่มากเกินไปก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้เช่นกัน

ดังนั้นเราจึงควรศึกษาเกี่ยวกับทั้งประโยชน์และโทษของวิตามินซี รวมถึงวิธีการรับประทานวิตามินอย่างถูกต้องและเหมาะสม

8 เรื่องควรรู้เกี่ยวกับวิตามินซี

วิตามินซีมีประโยชน์และข้อควรรู้มากมาย ซึ่งเราสรุปมาให้ใน 8 ข้อให้เข้าใจง่าย ดังนี้

  1. วิตามินซี มีคุณสมบัติละลายน้ำได้ จึงสามารถซึมซับเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยขับสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม บำรุงผิวพรรณให้ขาวกระจ่างใส ลดปัญหาสิว ฝ้า กระ หมดกังวลเรื่องปัญหาผิวเสียไปได้เลย
  2. มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างคอลลาเจน และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสื่อมสภาพให้สมบูรณ์ ทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูเนียนใส พร้อมฟื้นบำรุงผิวที่แห้งกร้านจากการถูกแดดเผาให้กลับมาเรียบเนียน และดูมีสุขภาพผิวดีอีกครั้ง
  3. วิตามินซีมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุเหล็ก เหมาะกับผู้ที่ขาดธาตุเหล็กหรือร่างกายสามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้น้อย โดยวิตามินซีจะทำให้ร่างกายของเรามีความสามารถในการดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้นบ้าง
  4. ความเครียดจะทำให้วิตามินซีถูกสลายไปอย่างรวดเร็ว แม้วิตามินซีอาจไม่ได้มีผลโดยตรงต่ออารมณ์ แต่หากร่างกายทำงานหนัก หรือรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ จะทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ขึ้นในร่างกายที่เรียกว่า “กระบวนการอักเสบ”
    ซึ่งอาจมีผลให้เหนื่อยล้า นอนไม่หลับ และนำไปสู่ความเครียดในที่สุด ร่างกายจะต้องการวิตามินซีเพื่อช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระในร่างกาย
  5. ศัตรูของวิตามินคือ แสง ออกซิเจน บุหรี่ ความร้อน และความชื้น ซึ่งหากได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้นานๆ จะทำให้วิตามินซีสลายไปอย่างรวดเร็ว
  6. การรับประทานวิตามินซีในปริมาณที่มากเกินไปก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ เช่น ท้องร่วง ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ปัสสาวะบ่อย เป็นนิ่ว ผื่นขึ้น มีธาตุเหล็กเกิน และอาจทำให้ผลการตรวจวินิจฉัยบางโรคแปรปรวนไปจากความเป็นจริง
  7. ปริมาณวิตามินซีที่ควรได้รับคือ 60 มิลลิกรัมต่อวันในคนปกติ ส่วนในหญิงตั้งครรภ์ หรือผู้สูงอายุควรได้รับวิตามินซีมากขึ้น โดยอยู่ที่ประมาณ 70-96 มิลลิกรัมต่อวัน
  8. การรับประทานวิตามินซีให้ได้ประโยชน์อย่างสูงสุด ควรรับประทานหลังมื้ออาหาร หรือพร้อมอาหาร เพราะวิตามินซีจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารและวิตามินซีไปใช้งานได้ง่ายขึ้น และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารด้วย

วิตามินซีในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร

นอกจากจะหาวิตามินซีได้จากพืชผักผลไม้ทั่วไปแล้ว เรายังสามารถรับประทานวิตามินซีได้จากวิตามินเสริมเช่นกัน โดยมีประโยชน์ตรงที่รับประทานง่ายและอาจเห็นผลของวิตามินทันใจกว่าการรับประทานแบบอาหาร

อย่างไรก็ตาม เราควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อควรระวังของการรับประทานวิตามินซีเสริมเสียก่อน

  1. วิตามินซีเสริม มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบเม็ด แคปซูล น้ำเชื่อม ลูกอมหรือแบบผง ส่วนจะเลือกรับประทานแบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกและความชอบ
  2. การเลือกวิตามินซีเสริม ควรเลือกที่มีไบโอฟลาโวนอยด์ (Bioflavonoid) สารรูทิน (Rutin) และสารเฮสเพอริดิน (Hesperidin) เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดต่อร่างกาย และช่วยให้วิตามินซีดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็วขึ้น
  3. ควรรับประทานวิตามินซีเสริมประมาณ 500-2,000 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีปริมาณในการรับประทานระบุมาในฉลากของผลิตภัณฑ์อยู่แล้ว (ขึ้นอยู่กับช่วงอายุ เพศ และคำแนะนำของแพทย์)
  4. ควรเลือกวิตามินซีเสริมที่ฉลากมีสัญลักษณ์สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อความมั่นใจว่า วิตามินยี่ห้อดังกล่าวมีมาตรฐานและปลอดภัย

ประโยชน์ของวิตามินซี

วิตามินซีมีประโยชน์หลักๆ ต่อร่างกาย ดังต่อไปนี้

  1. มีส่วนช่วยในการต้านสารอนุมูลอิสระ ชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ มีความเปล่งปลั่งยิ่งขึ้น
  2. มีฤทธิ์เป็นยาระบาย แก้ปัญหาท้องผูก และช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดียิ่งขึ้น แต่หากรับประทานมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องเสียแทนได้
  3. วิตามินซีถือเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งได้
  4. ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกาย จึงมีส่วนช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้
  5. มีผลในการทำให้ผู้ที่เป็นหวัดหายไวขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่รับประทานวิตามินเป็นประจำ
  6. สลายไขมัน ลดความเสี่ยงการเกิดเส้นเลือดอุดตันได้
  7. ช่วยให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า และมีชีวิตชีวามากขึ้น
  8. บำรุงเหงือกและฟันให้แข็งแรง ป้องกันโรคลักปิดลักเปิด และปัญหาเลือดออกตามไรฟันได้เป็นอย่างดี
  9. ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก ทำให้ร่างกายได้รับธาตุเหล็กอย่างเพียงพอ
  10. ช่วยรักษาแผลผ่าตัดให้หายเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคุณแม่ที่คลอดบุตรด้วยวิธีการผ่าตัด

เมื่อร่างกายขาดวิตามินซีจะเกิดอะไรขึ้น

เนื่องจากวิตามินซีเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกาย และไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้ เมื่อเกิดภาวะขาดวิตามินซี จึงอาจส่งผลกระทบต่อร่างกาย ดังนี้

  1. มีเลือดออกตามไรฟัน และมักจะมีอาการปวดบริเวณเหงือกบ่อยๆ เพราะการขาดวิตามินซีทำให้สุขภาพเหงือกไม่แข็งแรง
  2. รู้สึกเจ็บ หรือปวดกล้ามเนื้อ และมีอาการอ่อนแรง ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยได้ยกของหนักบ่อย 
  3. ปากแห้งแตกเป็นขุย แม้ว่าจะเป็นช่วงหน้าฝน
  4. แผลหายช้ากว่าปกติ
  5. อ่อนเพลียและรู้สึกเบื่ออาหาร อยากนอนอยู่ตลอดเวลา และจะรู้สึกไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่า
  6. ผิวแห้งกร้านคล้ำเสีย ถึงแม้ว่าจะบำรุงผิวอยู่เป็นประจำก็ตาม เนื่องจากร่างกายขาดคอลลาเจน (Collagen) จากวิตามินซีที่เป็นตัวช่วยสำคัญในการบำรุงผิว
  7. เสี่ยงโรคหัวใจ โรคกระดูกและโรคหลอดเลือดสูง
  8. ภูมิต้านทานต่ำ เป็นหวัดง่าย มักจะเป็นๆ หายๆ อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสได้สูง

โทษจากการได้รับวิตามินซีมากเกินไป

  • ทำให้การตรวจวินิจฉัยโรคบางโรคเกิดความผิดพลาด เช่น โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง หรือการตรวจหาน้ำตาลในปัสสาวะ
  • เกิดภาวะได้รับธาตุเหล็กมากเกินไป เนื่องจากวิตามินซีมีส่วนช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก ดังนั้นเมื่อรับประทานวิตามินซีมากเกินไป ก็จะทำให้ได้รับธาตุเหล็กมากเกินไปด้วย

ดังนั้นเมื่อต้องตรวจวินิจฉัยโรคควรหลีกเลี่ยงการรับประทานวิตามินซีเสริม เพื่อให้ผลตรวจออกมาตรงตามความเป็นจริงมากที่สุด

การรับประทานวิตามินซีให้ถูกวิธีและถูกเวลา

สำหรับการรับประทานวิตามินซีให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ตามความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าเวลาไหนเราก็สามารถเลือกรับประทานวิตามินซีได้ทั้งนั้น แต่ควรเลือกรับประทานให้เป็นประจำทุกวันอย่างสม่ำเสมอและดื่มน้ำตามมากๆ

หากให้ดี คุณควรเลือกรับประทานวิตามินตามเวลาและปริมาณต่อไปนี้

  • ควรเลือกรับประทานเป็นช่วงเช้า ประมาณ 09.00-10.00 น. หลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เพราะจะช่วยให้วิตามินซีดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี สามารถนำไปใช้ได้โดยมีตัวนำพา
  • หากเป็นไปได้ ควรเลือกรับประทานเป็นวิตามินซีจากธรรมชาติ ซึ่งหาได้จากผักและผลไม้มากกว่าวิตามินซีอัดเม็ด

อย่างไรก็ตาม เราก็ควรทราบด้วยว่า แม้จะสามารถรับประทานวิตามินซีได้ทุกช่วงเวลาที่ต้องการ แต่การจะได้รับวิตามินซีให้เพียงพอต่อวัน ยังมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องซึ่งอาจทำให้วิตามินซีเสื่อมสลายรวดเร็วเกินไป นั่นคือ เมื่อวิตามินซีสัมผัสโดนออกซิเจน ความร้อน และความชื้นในอากาศ

วิตามินซีในผักและผลไม้

โดยปกติแล้วเราสามารถหาวิตามินซีได้จากธรรมชาติ โดยเฉพาะในพืชผักผลไม้ทั่วไป ซึ่งแหล่งวิตามินซีที่พบได้มากที่สุด มีดังนี้

1. มะขามป้อม

มะขามป้อม (Indian Gooseberry) มีวิตามินซีประมาณ 276 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม นิยมนำมารับประทานเพื่อให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า และเป็นยารักษาโรคต่างๆ ประโยชน์ของมะขามป้อมมีดังนี้

  • บรรเทาอาการไอและอาการเจ็บคอ ทั้งมีส่วนช่วยในการละลายเสมหะได้เป็นอย่างดี
  • บรรเทาอาการหวัด ลดไข้ ตัวร้อน
  • ช่วยให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีชีวิตชีวา และรู้สึกตื่นตัวมากขึ้น

2. ฝรั่ง

ฝรั่ง (Guava) มีวิตามินซีประมาณ 160 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม สามารถรับประทานได้ทั้งแบบสดๆ แล้วจิ้มกับพริกเกลือ หรือจะนำมาทำเป็นฝรั่งแช่อิ่ม แช่บ๊วยก็ได้ แต่แนะนำให้รับประทานแบบสดๆ จะได้วิตามินซีและสารอาหารที่ดีในปริมาณมากกว่า โดยเฉพาะที่เปลือก จะมีวิตามินซีอยู่มากที่สุด ฝรั่งมีประโยชน์ดังนี้

  • ลดไขมันในเลือด ป้องกันและบรรเทาโรคเบาหวาน พร้อมทั้งช่วยปรับระดับความดันให้อยู่ในระดับที่ปกติ
  • มีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ป้องกันโรค และอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่จะทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่ง และช่วยต้านเชื้อโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
  • มีฤทธิ์เป็นยาระบาย แก้อาการท้องผูกและช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  • บรรเทาอาการปวดฟัน และเสริมสร้างเหงือกและฟันให้แข็งแรง ทั้งยังลดอาการอักเสบของเหงือกได้

3. กีวี

กีวี (Kiwi) มีวิตามินซีประมาณ 105 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม มีรสชาติหวานอร่อย ทั้งยังมีกากใยสูงและแคลอรี่ต่ำ จึงไม่ต้องห่วงว่ารับประทานแล้วจะอ้วน อีกทั้งยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่มีประโยชน์อีกมากมาย ประโยชน์ของกีวีมีดังนี้

  • บรรเทาอาการเจ็บคอ ขับเสมหะ พร้อมทั้งบรรเทาอาการไอได้เป็นอย่างดี
  • อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ให้ดูอ่อนเยาว์ลง และมีสุขภาพที่แข็งแรงมากขึ้น
  • มีส่วนช่วยในการลดน้ำหนัก สลายไขมันส่วนเกิน โดยควรรับประทานกีวีก่อนมื้ออาหาร จะช่วยให้รู้สึกอิ่มและรับประทานอาหารมื้อนั้นได้น้อยลง
  • ป้องกันอาการท้องผูก เหมาะกับคนที่มักจะท้องผูกบ่อยๆ และยังช่วยให้ระบบการขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

4. มะละกอสุก

มะละกอสุก (Ripe Papaya) มีวิตามินซีประมาณ 70 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม มีรสชาติหวาน รับประทานง่าย และช่วยให้ระบบย่อยอาหารย่อยได้ง่ายขึ้น ประโยชน์ของมะละกอสุกมีดังนี้

  • ป้องกันและรักษาโรคลักปิดลักเปิด ลดความเสี่ยงของอาการเลือดออกตามไรฟันได้อย่างดีเยี่ยม
  • อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผิวดูขาวกระจ่างใส และเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายมีความแข็งแรงยิ่งขึ้น
  • มีส่วนช่วยในการขับปัสสาวะและเป็นยาระบายอ่อนๆ ทำให้ช่วยจัดการกับปัญหาอาการท้องผูกได้อยู่หมัด รวมทั้งป้องกันโรคนิ่วได้เป็นอย่างดี

5. ส้มโอ

ส้มโอ (Pomelo) มีวิตามินซีประมาณ 44 มิลลิกรัมต่อ 100กรัม สามารถรับประทานสดๆ ก็ได้ หรือจะยังนำไปประกอบเมนูอาหารต่างๆ เช่น ยำ สลัดหรือส้มตำ ประโยชน์ของส้มโอได้แก่

  • บรรเทาอาการท้องอืด แน่นท้อง ให้รู้สึกผ่อนคลายและสบายท้องมากขึ้น
  • ลดอาการปวดและป้องกันเลือดออกตามไรฟัน พร้อมบำรุงสุขภาพเหงือกและฟันให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
  • แก้หวัด ลดไข้ บรรเทาอาการไอและขับเสมหะ ลดอาการเจ็บคอ และช่วยให้รู้สึกชุ่มคอขึ้น

นอกจากนี้ยังมีผักผลไม้ชนิดอื่นๆ ที่เป็นแหล่งของวิตามินซีด้วยเช่นเดียวกัน เช่น ส้ม สตรอว์เบอร์รี หรือผลไม้ตระกูลเบอร์รี พริกหวานสีแดง บร็อคโคลี ยอดผักหวาน มะระ ดอกแค

วิตามินซีทำให้ผิวขาวใสจริงหรือ

วิตามินซีดูเหมือนจะเป็นอาหารเสริมที่ได้รับความนิยมในหมู่คนรักความงาม โดยเฉพาะในเรื่องความขาวใสของผิว ซึ่งคำตอบคือ: ความขาวที่ได้รับหลังการรับประทานวิตามินซีเข้าไป สามารถเป็นไปได้จริง

ด้วยหลักการทำงานของวิตามินซี ที่มีส่วนช่วยลดการเกิดขึ้นของเม็ดสีเมลานิน (Melanin) แก้ปัญหาจุดด่างดำ เมื่อรับประทานเข้าไปนานๆ ก็ทำให้ผิวดูขาวมากขึ้นกว่าผิวสีเดิม

แต่ระดับความขาวที่เกิดขึ้น ก็ไม่ได้มากจนเลยระดับผิวหนังเดิมของตนเองไปแต่อย่างใด เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องนอกเหนือจากแค่วิตามินซีอีก ไม่ว่าจะเป็นครีมกันแดด การทำงานกลางแจ้ง หรือปล่อยให้ผิวสัมผัสกับแสงแดดและความร้อนโดยตรงเป็นเวลานาน

ส่วนความใสของผิวหน้าหลังจากที่รับประทานวิตามินซี เพราะวิตามินซีจะช่วยทำให้ผิวชุ่มชื่น ลดจุดด่างดำด้วยการทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงทำให้ผิวดูเรียบเนียนเป็นสีเดียวกัน และทำให้ผิวดูใสมีสุขภาพดีมากขึ้นด้วย

ทำความรู้จักวิตามินซีแบบฉีด

วิตามินซีแบบฉีด เป็นการเสริมความงามซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ เป็นอย่างมาก เพราะเชื่อว่าจะสามารถทำให้ผิวขาวใสได้ด้วยการฉีดเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น

แต่ความจริงแล้ววิตามินซีแบบฉีดคืออะไร และมีประสิทธิภาพดีแค่ไหน มาทำความรู้จักกับวิตามินซีแบบฉีดกัน

  • วิตามินซีแบบฉีด เป็นวิตามินซีเสริมที่ใช้ฉีดเข้าสู่เส้นเลือดโดยตรง โดยประสิทธิภาพในการบำรุงผิว ไม่ค่อยต่างจากวิตามินแบบรับประทานหรือวิตามินซีจากธรรมชาติสักเท่าไหร่ เพียงแต่จะออกฤทธิ์เร็วและร่างกายสามารถบำรุง ซ่อมแซ่มได้ไว เนื่องจากไม่ต้องผ่านระบบย่อยอาหารก่อน
  • จะมีเพียงบางส่วนของวิตามินซีฉีดเท่านั้นที่ถูกดึงไปบำรุงผิวพรรณ โดยส่วนที่เหลือจะถูกขับออกทางปัสสาวะโดยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
  • ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถฉีดวิตามินซีเสริมได้ เพราะจะต้องมั่นใจก่อนว่าตับมีความแข็งแรงมากพอ และไม่มีประวัติเป็นโรคที่อาจเป็นอันตรายต่อการฉีดและต้องได้รับการประเมินจากแพทย์ก่อนการฉีดด้วยทุกครั้ง
  • ควรดื่มน้ำตามมากๆ หลังฉีดวิตามินซีเสริม เพื่อเจือจางความเข้มข้นของวิตามินซี และป้องกันไม่ให้วิตามินซีไปขัดขวางการดูดซึมสารอาหารอื่นๆ ได้

จะเกิดอันตรายหรือไม่ หากรับประทานวิตามินซีติดต่อกันเป็นเวลานาน

สำหรับผู้ที่รับประทานวิตามินซีชนิดอาหารเสริมเป็นเวลานาน แล้วเกิดสงสัยว่า การรับประทานแบบนี้จะส่งผลให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ แม้จะรับประทานในสัดส่วนที่ไม่มากเกินความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน

เพื่อไขข้อข้องใจ เรามาดูการทำงานของวิตามินซี และผลจากการรับประทานวิตามินซี ดังต่อไปนี้

  • วิตามินซีจะเป็นวิตามินที่สามารถละลายได้ในน้ำ ดังนั้นหากเป็นเด็ก ควรได้รับวิตามินซีเพียงแค่ 35-45 กรัมต่อวัน ส่วนในผู้ใหญ่ควรอยู่ที่ 50-60 กรัมต่อวัน (ขึ้นอยู่กับช่วงอายุ เพศ และคำแนะนำของแพทย์)
  • ผู้ที่สูบบุหรี่ เป็นหวัดง่าย หรือหญิงตั้งครรภ์ สามารถรับวิตามินซีได้มากกว่าปกติ แต่ทั้งนี้ควรอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม หรืออาจปรึกษาแพทย์ ถึงปริมาณที่ควรรับประทาน
  • การดูดซึมของวิตามินซี จะดูดซึมที่ลำไส้เล็ก ซึ่งการดูดซึมแต่ละครั้ง จะขึ้นอยู่กับสัดส่วนที่ร่างกายรับประทานเข้าไป ยิ่งรับประทานมาก ร่างกายก็จะดูดซึมมากตามไปด้วย
  • ยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับอันตรายหรือผลข้างเคียงจากการรับวิตามินซีมากเกินไป หรือรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน  แต่ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยคือ ผลข้างเคียงต่อระบบย่อยอาหารและระบบทางเดินอาหาร เนื่องจากการรับประทานในปริมาณที่มากเกินไป จะทำให้เกิดอาการท้องเสีย แสบท้อง ไม่สบายท้อง และยังพบว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนิ่วในไตได้มากกว่าคนทั่วไปด้วย

วิตามินซี เป็นวิตามินทีมีความสำคัญต่อร่างกายของคนเราเป็นอย่างมาก ซึ่งจะช่วยบำรุงทั้งร่างกายให้แข็งแรงและบำรุงผิวพรรณให้ขาวกระจ่างใสดูเปล่งปลั่งยิ่งขึ้น โดยคุณสามารถรับประทานวิตามินซีได้ทั้งจากพืชผักผลไม้ทั่วไป และจากวิตามินซีเสริม

แต่ทั้งนี้ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อป้องกันผลเสียที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกายจากการได้รับวิตามินซีมากเกินไป

Scroll to Top