วิตามินซี (Vitamin C) เป็นหนึ่งในวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกาย เนื่องจากมีส่วนช่วยในการเสริมสร้างภูมิต้านทาน ต่อต้านอนุมูลอิสระและช่วยบำรุงผิวพรรณได้เป็นอย่างดี ดังนั้นคนเราจึงต้องเสริมวิตามินซีให้เพียงพอต่อร่างกายอยู่เสมอ
เราสามารถหาวิตามินซีได้จากพืชผักผลไม้ทั่วไป โดยเฉพาะผลไม้รสเปรี้ยว และจากวิตามินซีที่อยู่ในรูปของอาหารเสริม แต่ทั้งนี้ การได้รับวิตามินซีในปริมาณที่มากเกินไปก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้เช่นกัน
ดังนั้นเราจึงควรศึกษาเกี่ยวกับทั้งประโยชน์และโทษของวิตามินซี รวมถึงวิธีการรับประทานวิตามินอย่างถูกต้องและเหมาะสม
สารบัญ
- 8 เรื่องควรรู้เกี่ยวกับวิตามินซี
- วิตามินซีในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
- ประโยชน์ของวิตามินซี
- เมื่อร่างกายขาดวิตามินซีจะเกิดอะไรขึ้น
- โทษจากการได้รับวิตามินซีมากเกินไป
- การรับประทานวิตามินซีให้ถูกวิธีและถูกเวลา
- วิตามินซีในผักและผลไม้
- วิตามินซีทำให้ผิวขาวใสจริงหรือ
- ทำความรู้จักวิตามินซีแบบฉีด
- จะเกิดอันตรายหรือไม่ หากรับประทานวิตามินซีติดต่อกันเป็นเวลานาน
8 เรื่องควรรู้เกี่ยวกับวิตามินซี
วิตามินซีมีประโยชน์และข้อควรรู้มากมาย ซึ่งเราสรุปมาให้ใน 8 ข้อให้เข้าใจง่าย ดังนี้
- วิตามินซี มีคุณสมบัติละลายน้ำได้ จึงสามารถซึมซับเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยขับสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม บำรุงผิวพรรณให้ขาวกระจ่างใส ลดปัญหาสิว ฝ้า กระ หมดกังวลเรื่องปัญหาผิวเสียไปได้เลย
- มีส่วนช่วยในการเสริมสร้างคอลลาเจน และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสื่อมสภาพให้สมบูรณ์ ทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูเนียนใส พร้อมฟื้นบำรุงผิวที่แห้งกร้านจากการถูกแดดเผาให้กลับมาเรียบเนียน และดูมีสุขภาพผิวดีอีกครั้ง
- วิตามินซีมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมธาตุเหล็ก เหมาะกับผู้ที่ขาดธาตุเหล็กหรือร่างกายสามารถดูดซึมธาตุเหล็กได้น้อย โดยวิตามินซีจะทำให้ร่างกายของเรามีความสามารถในการดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้นบ้าง
- ความเครียดจะทำให้วิตามินซีถูกสลายไปอย่างรวดเร็ว แม้วิตามินซีอาจไม่ได้มีผลโดยตรงต่ออารมณ์ แต่หากร่างกายทำงานหนัก หรือรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ จะทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ขึ้นในร่างกายที่เรียกว่า “กระบวนการอักเสบ”
ซึ่งอาจมีผลให้เหนื่อยล้า นอนไม่หลับ และนำไปสู่ความเครียดในที่สุด ร่างกายจะต้องการวิตามินซีเพื่อช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระในร่างกาย - ศัตรูของวิตามินคือ แสง ออกซิเจน บุหรี่ ความร้อน และความชื้น ซึ่งหากได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้นานๆ จะทำให้วิตามินซีสลายไปอย่างรวดเร็ว
- การรับประทานวิตามินซีในปริมาณที่มากเกินไปก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ เช่น ท้องร่วง ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ปัสสาวะบ่อย เป็นนิ่ว ผื่นขึ้น มีธาตุเหล็กเกิน และอาจทำให้ผลการตรวจวินิจฉัยบางโรคแปรปรวนไปจากความเป็นจริง
- ปริมาณวิตามินซีที่ควรได้รับคือ 60 มิลลิกรัมต่อวันในคนปกติ ส่วนในหญิงตั้งครรภ์ หรือผู้สูงอายุควรได้รับวิตามินซีมากขึ้น โดยอยู่ที่ประมาณ 70-96 มิลลิกรัมต่อวัน
- การรับประทานวิตามินซีให้ได้ประโยชน์อย่างสูงสุด ควรรับประทานหลังมื้ออาหาร หรือพร้อมอาหาร เพราะวิตามินซีจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารและวิตามินซีไปใช้งานได้ง่ายขึ้น และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารด้วย
วิตามินซีในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
นอกจากจะหาวิตามินซีได้จากพืชผักผลไม้ทั่วไปแล้ว เรายังสามารถรับประทานวิตามินซีได้จากวิตามินเสริมเช่นกัน โดยมีประโยชน์ตรงที่รับประทานง่ายและอาจเห็นผลของวิตามินทันใจกว่าการรับประทานแบบอาหาร
อย่างไรก็ตาม เราควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อควรระวังของการรับประทานวิตามินซีเสริมเสียก่อน
- วิตามินซีเสริม มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบเม็ด แคปซูล น้ำเชื่อม ลูกอมหรือแบบผง ส่วนจะเลือกรับประทานแบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกและความชอบ
- การเลือกวิตามินซีเสริม ควรเลือกที่มีไบโอฟลาโวนอยด์ (Bioflavonoid) สารรูทิน (Rutin) และสารเฮสเพอริดิน (Hesperidin) เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุดต่อร่างกาย และช่วยให้วิตามินซีดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็วขึ้น
- ควรรับประทานวิตามินซีเสริมประมาณ 500-2,000 มิลลิกรัมต่อวัน เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินซีอย่างเพียงพอ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีปริมาณในการรับประทานระบุมาในฉลากของผลิตภัณฑ์อยู่แล้ว (ขึ้นอยู่กับช่วงอายุ เพศ และคำแนะนำของแพทย์)
- ควรเลือกวิตามินซีเสริมที่ฉลากมีสัญลักษณ์สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อความมั่นใจว่า วิตามินยี่ห้อดังกล่าวมีมาตรฐานและปลอดภัย
ประโยชน์ของวิตามินซี
วิตามินซีมีประโยชน์หลักๆ ต่อร่างกาย ดังต่อไปนี้
- มีส่วนช่วยในการต้านสารอนุมูลอิสระ ชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ทำให้ผิวดูอ่อนเยาว์ มีความเปล่งปลั่งยิ่งขึ้น
- มีฤทธิ์เป็นยาระบาย แก้ปัญหาท้องผูก และช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดียิ่งขึ้น แต่หากรับประทานมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องเสียแทนได้
- วิตามินซีถือเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งได้
- ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันในร่างกาย จึงมีส่วนช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้
- มีผลในการทำให้ผู้ที่เป็นหวัดหายไวขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่รับประทานวิตามินเป็นประจำ
- สลายไขมัน ลดความเสี่ยงการเกิดเส้นเลือดอุดตันได้
- ช่วยให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า และมีชีวิตชีวามากขึ้น
- บำรุงเหงือกและฟันให้แข็งแรง ป้องกันโรคลักปิดลักเปิด และปัญหาเลือดออกตามไรฟันได้เป็นอย่างดี
- ช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก ทำให้ร่างกายได้รับธาตุเหล็กอย่างเพียงพอ
- ช่วยรักษาแผลผ่าตัดให้หายเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคุณแม่ที่คลอดบุตรด้วยวิธีการผ่าตัด
เมื่อร่างกายขาดวิตามินซีจะเกิดอะไรขึ้น
เนื่องจากวิตามินซีเป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกาย และไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้ เมื่อเกิดภาวะขาดวิตามินซี จึงอาจส่งผลกระทบต่อร่างกาย ดังนี้
- มีเลือดออกตามไรฟัน และมักจะมีอาการปวดบริเวณเหงือกบ่อยๆ เพราะการขาดวิตามินซีทำให้สุขภาพเหงือกไม่แข็งแรง
- รู้สึกเจ็บ หรือปวดกล้ามเนื้อ และมีอาการอ่อนแรง ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยได้ยกของหนักบ่อย
- ปากแห้งแตกเป็นขุย แม้ว่าจะเป็นช่วงหน้าฝน
- แผลหายช้ากว่าปกติ
- อ่อนเพลียและรู้สึกเบื่ออาหาร อยากนอนอยู่ตลอดเวลา และจะรู้สึกไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่า
- ผิวแห้งกร้านคล้ำเสีย ถึงแม้ว่าจะบำรุงผิวอยู่เป็นประจำก็ตาม เนื่องจากร่างกายขาดคอลลาเจน (Collagen) จากวิตามินซีที่เป็นตัวช่วยสำคัญในการบำรุงผิว
- เสี่ยงโรคหัวใจ โรคกระดูกและโรคหลอดเลือดสูง
- ภูมิต้านทานต่ำ เป็นหวัดง่าย มักจะเป็นๆ หายๆ อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสได้สูง
โทษจากการได้รับวิตามินซีมากเกินไป
- ทำให้การตรวจวินิจฉัยโรคบางโรคเกิดความผิดพลาด เช่น โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง หรือการตรวจหาน้ำตาลในปัสสาวะ
- เกิดภาวะได้รับธาตุเหล็กมากเกินไป เนื่องจากวิตามินซีมีส่วนช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็ก ดังนั้นเมื่อรับประทานวิตามินซีมากเกินไป ก็จะทำให้ได้รับธาตุเหล็กมากเกินไปด้วย
ดังนั้นเมื่อต้องตรวจวินิจฉัยโรคควรหลีกเลี่ยงการรับประทานวิตามินซีเสริม เพื่อให้ผลตรวจออกมาตรงตามความเป็นจริงมากที่สุด
การรับประทานวิตามินซีให้ถูกวิธีและถูกเวลา
สำหรับการรับประทานวิตามินซีให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ตามความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าเวลาไหนเราก็สามารถเลือกรับประทานวิตามินซีได้ทั้งนั้น แต่ควรเลือกรับประทานให้เป็นประจำทุกวันอย่างสม่ำเสมอและดื่มน้ำตามมากๆ
หากให้ดี คุณควรเลือกรับประทานวิตามินตามเวลาและปริมาณต่อไปนี้
- ควรเลือกรับประทานเป็นช่วงเช้า ประมาณ 09.00-10.00 น. หลังรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เพราะจะช่วยให้วิตามินซีดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี สามารถนำไปใช้ได้โดยมีตัวนำพา
- หากเป็นไปได้ ควรเลือกรับประทานเป็นวิตามินซีจากธรรมชาติ ซึ่งหาได้จากผักและผลไม้มากกว่าวิตามินซีอัดเม็ด
อย่างไรก็ตาม เราก็ควรทราบด้วยว่า แม้จะสามารถรับประทานวิตามินซีได้ทุกช่วงเวลาที่ต้องการ แต่การจะได้รับวิตามินซีให้เพียงพอต่อวัน ยังมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องซึ่งอาจทำให้วิตามินซีเสื่อมสลายรวดเร็วเกินไป นั่นคือ เมื่อวิตามินซีสัมผัสโดนออกซิเจน ความร้อน และความชื้นในอากาศ
วิตามินซีในผักและผลไม้
โดยปกติแล้วเราสามารถหาวิตามินซีได้จากธรรมชาติ โดยเฉพาะในพืชผักผลไม้ทั่วไป ซึ่งแหล่งวิตามินซีที่พบได้มากที่สุด มีดังนี้
1. มะขามป้อม
มะขามป้อม (Indian Gooseberry) มีวิตามินซีประมาณ 276 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม นิยมนำมารับประทานเพื่อให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า และเป็นยารักษาโรคต่างๆ ประโยชน์ของมะขามป้อมมีดังนี้
- บรรเทาอาการไอและอาการเจ็บคอ ทั้งมีส่วนช่วยในการละลายเสมหะได้เป็นอย่างดี
- บรรเทาอาการหวัด ลดไข้ ตัวร้อน
- ช่วยให้ร่างกายรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีชีวิตชีวา และรู้สึกตื่นตัวมากขึ้น
2. ฝรั่ง
ฝรั่ง (Guava) มีวิตามินซีประมาณ 160 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม สามารถรับประทานได้ทั้งแบบสดๆ แล้วจิ้มกับพริกเกลือ หรือจะนำมาทำเป็นฝรั่งแช่อิ่ม แช่บ๊วยก็ได้ แต่แนะนำให้รับประทานแบบสดๆ จะได้วิตามินซีและสารอาหารที่ดีในปริมาณมากกว่า โดยเฉพาะที่เปลือก จะมีวิตามินซีอยู่มากที่สุด ฝรั่งมีประโยชน์ดังนี้
- ลดไขมันในเลือด ป้องกันและบรรเทาโรคเบาหวาน พร้อมทั้งช่วยปรับระดับความดันให้อยู่ในระดับที่ปกติ
- มีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ป้องกันโรค และอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่จะทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่ง และช่วยต้านเชื้อโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
- มีฤทธิ์เป็นยาระบาย แก้อาการท้องผูกและช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
- บรรเทาอาการปวดฟัน และเสริมสร้างเหงือกและฟันให้แข็งแรง ทั้งยังลดอาการอักเสบของเหงือกได้
3. กีวี
กีวี (Kiwi) มีวิตามินซีประมาณ 105 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม มีรสชาติหวานอร่อย ทั้งยังมีกากใยสูงและแคลอรี่ต่ำ จึงไม่ต้องห่วงว่ารับประทานแล้วจะอ้วน อีกทั้งยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุที่มีประโยชน์อีกมากมาย ประโยชน์ของกีวีมีดังนี้
- บรรเทาอาการเจ็บคอ ขับเสมหะ พร้อมทั้งบรรเทาอาการไอได้เป็นอย่างดี
- อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ให้ดูอ่อนเยาว์ลง และมีสุขภาพที่แข็งแรงมากขึ้น
- มีส่วนช่วยในการลดน้ำหนัก สลายไขมันส่วนเกิน โดยควรรับประทานกีวีก่อนมื้ออาหาร จะช่วยให้รู้สึกอิ่มและรับประทานอาหารมื้อนั้นได้น้อยลง
- ป้องกันอาการท้องผูก เหมาะกับคนที่มักจะท้องผูกบ่อยๆ และยังช่วยให้ระบบการขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
4. มะละกอสุก
มะละกอสุก (Ripe Papaya) มีวิตามินซีประมาณ 70 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม มีรสชาติหวาน รับประทานง่าย และช่วยให้ระบบย่อยอาหารย่อยได้ง่ายขึ้น ประโยชน์ของมะละกอสุกมีดังนี้
- ป้องกันและรักษาโรคลักปิดลักเปิด ลดความเสี่ยงของอาการเลือดออกตามไรฟันได้อย่างดีเยี่ยม
- อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผิวดูขาวกระจ่างใส และเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายมีความแข็งแรงยิ่งขึ้น
- มีส่วนช่วยในการขับปัสสาวะและเป็นยาระบายอ่อนๆ ทำให้ช่วยจัดการกับปัญหาอาการท้องผูกได้อยู่หมัด รวมทั้งป้องกันโรคนิ่วได้เป็นอย่างดี
5. ส้มโอ
ส้มโอ (Pomelo) มีวิตามินซีประมาณ 44 มิลลิกรัมต่อ 100กรัม สามารถรับประทานสดๆ ก็ได้ หรือจะยังนำไปประกอบเมนูอาหารต่างๆ เช่น ยำ สลัดหรือส้มตำ ประโยชน์ของส้มโอได้แก่
- บรรเทาอาการท้องอืด แน่นท้อง ให้รู้สึกผ่อนคลายและสบายท้องมากขึ้น
- ลดอาการปวดและป้องกันเลือดออกตามไรฟัน พร้อมบำรุงสุขภาพเหงือกและฟันให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
- แก้หวัด ลดไข้ บรรเทาอาการไอและขับเสมหะ ลดอาการเจ็บคอ และช่วยให้รู้สึกชุ่มคอขึ้น
นอกจากนี้ยังมีผักผลไม้ชนิดอื่นๆ ที่เป็นแหล่งของวิตามินซีด้วยเช่นเดียวกัน เช่น ส้ม สตรอว์เบอร์รี หรือผลไม้ตระกูลเบอร์รี พริกหวานสีแดง บร็อคโคลี ยอดผักหวาน มะระ ดอกแค
วิตามินซีทำให้ผิวขาวใสจริงหรือ
วิตามินซีดูเหมือนจะเป็นอาหารเสริมที่ได้รับความนิยมในหมู่คนรักความงาม โดยเฉพาะในเรื่องความขาวใสของผิว ซึ่งคำตอบคือ: ความขาวที่ได้รับหลังการรับประทานวิตามินซีเข้าไป สามารถเป็นไปได้จริง
ด้วยหลักการทำงานของวิตามินซี ที่มีส่วนช่วยลดการเกิดขึ้นของเม็ดสีเมลานิน (Melanin) แก้ปัญหาจุดด่างดำ เมื่อรับประทานเข้าไปนานๆ ก็ทำให้ผิวดูขาวมากขึ้นกว่าผิวสีเดิม
แต่ระดับความขาวที่เกิดขึ้น ก็ไม่ได้มากจนเลยระดับผิวหนังเดิมของตนเองไปแต่อย่างใด เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องนอกเหนือจากแค่วิตามินซีอีก ไม่ว่าจะเป็นครีมกันแดด การทำงานกลางแจ้ง หรือปล่อยให้ผิวสัมผัสกับแสงแดดและความร้อนโดยตรงเป็นเวลานาน
ส่วนความใสของผิวหน้าหลังจากที่รับประทานวิตามินซี เพราะวิตามินซีจะช่วยทำให้ผิวชุ่มชื่น ลดจุดด่างดำด้วยการทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงทำให้ผิวดูเรียบเนียนเป็นสีเดียวกัน และทำให้ผิวดูใสมีสุขภาพดีมากขึ้นด้วย
ทำความรู้จักวิตามินซีแบบฉีด
วิตามินซีแบบฉีด เป็นการเสริมความงามซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในหมู่สาวๆ เป็นอย่างมาก เพราะเชื่อว่าจะสามารถทำให้ผิวขาวใสได้ด้วยการฉีดเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น
แต่ความจริงแล้ววิตามินซีแบบฉีดคืออะไร และมีประสิทธิภาพดีแค่ไหน มาทำความรู้จักกับวิตามินซีแบบฉีดกัน
- วิตามินซีแบบฉีด เป็นวิตามินซีเสริมที่ใช้ฉีดเข้าสู่เส้นเลือดโดยตรง โดยประสิทธิภาพในการบำรุงผิว ไม่ค่อยต่างจากวิตามินแบบรับประทานหรือวิตามินซีจากธรรมชาติสักเท่าไหร่ เพียงแต่จะออกฤทธิ์เร็วและร่างกายสามารถบำรุง ซ่อมแซ่มได้ไว เนื่องจากไม่ต้องผ่านระบบย่อยอาหารก่อน
- จะมีเพียงบางส่วนของวิตามินซีฉีดเท่านั้นที่ถูกดึงไปบำรุงผิวพรรณ โดยส่วนที่เหลือจะถูกขับออกทางปัสสาวะโดยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย
- ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถฉีดวิตามินซีเสริมได้ เพราะจะต้องมั่นใจก่อนว่าตับมีความแข็งแรงมากพอ และไม่มีประวัติเป็นโรคที่อาจเป็นอันตรายต่อการฉีดและต้องได้รับการประเมินจากแพทย์ก่อนการฉีดด้วยทุกครั้ง
- ควรดื่มน้ำตามมากๆ หลังฉีดวิตามินซีเสริม เพื่อเจือจางความเข้มข้นของวิตามินซี และป้องกันไม่ให้วิตามินซีไปขัดขวางการดูดซึมสารอาหารอื่นๆ ได้
จะเกิดอันตรายหรือไม่ หากรับประทานวิตามินซีติดต่อกันเป็นเวลานาน
สำหรับผู้ที่รับประทานวิตามินซีชนิดอาหารเสริมเป็นเวลานาน แล้วเกิดสงสัยว่า การรับประทานแบบนี้จะส่งผลให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพหรือไม่ แม้จะรับประทานในสัดส่วนที่ไม่มากเกินความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน
เพื่อไขข้อข้องใจ เรามาดูการทำงานของวิตามินซี และผลจากการรับประทานวิตามินซี ดังต่อไปนี้
- วิตามินซีจะเป็นวิตามินที่สามารถละลายได้ในน้ำ ดังนั้นหากเป็นเด็ก ควรได้รับวิตามินซีเพียงแค่ 35-45 กรัมต่อวัน ส่วนในผู้ใหญ่ควรอยู่ที่ 50-60 กรัมต่อวัน (ขึ้นอยู่กับช่วงอายุ เพศ และคำแนะนำของแพทย์)
- ผู้ที่สูบบุหรี่ เป็นหวัดง่าย หรือหญิงตั้งครรภ์ สามารถรับวิตามินซีได้มากกว่าปกติ แต่ทั้งนี้ควรอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม หรืออาจปรึกษาแพทย์ ถึงปริมาณที่ควรรับประทาน
- การดูดซึมของวิตามินซี จะดูดซึมที่ลำไส้เล็ก ซึ่งการดูดซึมแต่ละครั้ง จะขึ้นอยู่กับสัดส่วนที่ร่างกายรับประทานเข้าไป ยิ่งรับประทานมาก ร่างกายก็จะดูดซึมมากตามไปด้วย
- ยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับอันตรายหรือผลข้างเคียงจากการรับวิตามินซีมากเกินไป หรือรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน แต่ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยคือ ผลข้างเคียงต่อระบบย่อยอาหารและระบบทางเดินอาหาร เนื่องจากการรับประทานในปริมาณที่มากเกินไป จะทำให้เกิดอาการท้องเสีย แสบท้อง ไม่สบายท้อง และยังพบว่ามีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนิ่วในไตได้มากกว่าคนทั่วไปด้วย
วิตามินซี เป็นวิตามินทีมีความสำคัญต่อร่างกายของคนเราเป็นอย่างมาก ซึ่งจะช่วยบำรุงทั้งร่างกายให้แข็งแรงและบำรุงผิวพรรณให้ขาวกระจ่างใสดูเปล่งปลั่งยิ่งขึ้น โดยคุณสามารถรับประทานวิตามินซีได้ทั้งจากพืชผักผลไม้ทั่วไป และจากวิตามินซีเสริม
แต่ทั้งนี้ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะเพื่อป้องกันผลเสียที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกายจากการได้รับวิตามินซีมากเกินไป