การบำรุงดูแลผิวหน้าด้วยอาหารและวิตามินเพื่อให้ผิวดูกระชับเต่งตึงอาจไม่เพียงพอสำหรับสำหรับคนหนุ่มสาวในปัจจุบัน ด้วยวิถีชีวิตที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ นอนดึกตื่นเช้าทุกวันจนไม่มีเวลาดูแลตนเองมากพอ กระทั่งผิวหน้าเริ่มหย่อนคล้อย ดูไม่กระชับเหมือนสมัยเป็นวันรุ่น
ทำให้หลายคนจำเป็นต้องมองหาเทคโนโลยี หรือนวัตกรรมดูแลผิวหน้าอื่น ที่จะช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยบนใบหน้าได้ และโบท็อกซ์ก็เป็นหนึ่งในคำตอบที่ใช่ และได้รับความนิยมในปัจจุบัน
สารบัญ
- โบท็อกซ์คืออะไร
- Botox มียี่ห้ออะไรบ้าง?
- ก่อนฉีดโบท็อกซ์ควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
- ขั้นตอนการฉีดโบท็อกซ์
- การทำงานของโบท็อกซ์
- การดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกซ์
- การดื้อโบท็อกซ์คืออะไร
- ข้อควรระวังและผลข้างเคียงที่อาจเกิดได้หลังฉีดโบท็อกซ์
- ราคาการฉีดโบท็อกซ์ในแต่ละคลินิก
- ฉีดโบท็อกซ์หางตา ลดรอยตีนกา
- ฉีดโบท็อกซ์ลดรอยย่นที่หัวคิ้ว
- ฉีดโบท็อกซ์ลดรอยย่นที่หน้าผาก
- ฉีดโบท็อกซ์ยกกระชับใบหน้า
- ฉีดโบท็อกซ์ลดกราม ปรับหน้าเรียว
- ฉีดโบท็อกซ์ลดขนาดรูขุมขน
- ฉีดโบท็อกซ์เหมา 100 ยูนิต
- คำถามที่พบบ่อย
โบท็อกซ์คืออะไร
โบท็อกซ์ (Botox) เป็นชื่อทางการค้าของสารสกัดที่เรียกว่า “โบทูลินัม ท็อกซิน เอ” (Botulinum toxin A) จากแบคทีเรียคลอสตริเดียม โบทูลินัม (Clostridium botulinum) เป็นนวัตกรรมเพื่อลดริ้วรอยและปรับรูปใบหน้าซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ต้องการให้ผิวใบหน้าไม่หย่อนคล้อย กล้ามเนื้อผิวหน้ามีความกระชับ ดูเรียวสวยเต่งตึง และรูขุมขนตื้นขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด นอกจากนี้ โบท็อกซ์ยังนำไปใช้การรักษาอาการเจ็บป่วยอื่นๆ ได้อีกด้วย เช่น
- ไมเกรน
- ตาเข
- หนังตากระตุก
- กล้ามเนื้อคอหดเกร็ง
- กล้ามเนื้อหลังอักเสบเรื้อรัง
- แก้ปัญหาในผู้ที่มีเหงื่อออกมากผิดปกติ โดยเฉพาะที่บริเวณมือและรักแร้
แต่อย่างไรก็ตาม ในข้อดีของการใช้โบท็อกซ์รักษาอาการต่างๆ ก็ยังมีข้อควรระวังบางอย่างที่ผู้เข้ารับบริการต้องพึงระวัง เพราะสารโบทูลินัม ท็อกซิน เอนั้น เป็นสารที่เป็นพิษต่อระบบประสาท (Neurotoxin) ซึ่งหากได้รับโดยรับประทานเข้าไป ก็อาจทำให้เกิดอาการอาหารเป็นพิษ หรือทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ และผลลัพธ์จากการฉีดโบท็อกซ์นั้นจะไม่ถาวร เพราะสารนี้สามารถสลายไปได้เองภายในเวลาประมาณ 6 เดือน แต่หากผู้ใช้ต้องการเข้ารับการฉีดอีก ก็สามารถมาเติมได้เป็นระยะๆ
Botox มียี่ห้ออะไรบ้าง?
ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์โบท็อกซ์หลายยี่ห้อให้ผู้เข้ารับบริการและแพทย์ได้เลือกใช้ และแต่ละยี่ห้อก็จะมีขนาดโมเลกุล ความบริสุทธิ์ และปริมาณสารสำคัญที่แตกต่างกัน จึงทำให้คุณสมบัติและราคาแตกต่างกันไปด้วย ได้แก่
- อัลเลอร์แกน (Allergan) ผลิตในประเทศสหรัฐอเมริกา ถือเป็นโบท็อกซ์ตัวดั้งเดิมที่ผลิตมายาวนาน มีงานวิจัยรองรับจำนวนมาก และผ่านการพัฒนาเพื่อให้ผู้เข้ารับบริการมีโอกาสดื้อยาน้อยที่สุด
ข้อดีของโบท็อกซ์ยี่ห้อนี้ คือ กระจายตัวแคบ ทำให้ควบคุมการฉีดได้แม่นยำ ตรงจุด แต่ในทางกลับกัน หากฉีดกับแพทย์ที่ไม่เชี่ยวชาญ ก็จะเห็นข้อผิดพลาดได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาคิ้วกระดก ยิ้มแข็งหรือแก้มตอบ - ดิสพอร์ต (Dysport) ผลิตในประเทศอังกฤษ มีจุดเด่น คือ กระจายตัวได้ดี จึงเหมาะสำหรับใช้ฉีดในบริเวณกว้าง เช่น ฉีดลดเหงื่อ ลดต้นแขน ลดน่องปูด
- ซีโอมิน (Xeomin) ผลิตในประเทศเยอรมนี มีจุดเด่นคือ มีการนำสารโปรตีนขนาดใหญ่ตัวอื่นๆ ที่ไม่จำเป็นออก ทำให้เหลือเฉพาะสารโบทูลินัม ท็อกซิน เอบริสุทธิ์ และเป็นโมเลกุลเล็ก เมื่อฉีดแล้วจะไม่กระจุกตัวแคบเกินไป และมักได้ผลดีแม้ในกรณีที่ดื้อยา
แต่จุดด้อยของโบท็อกซ์ยี่ห้อนี้ คือ ผู้เข้ารับบริการจะต้องหยุดการฉีดโบท็อกซ์มาแล้วอย่างน้อย 2-3 ปี และราคาของโบท็อกซ์ยี่ห้อนี้ค่อนข้างสูง - นูโรน็อกซ์ (Neuronox) ผลิตในประเทศเกาหลี คุณสมบัติค่อนข้างใกล้เคียงกับยี่ห้ออัลเลอร์แกน คือ มีการกระจายตัวค่อนข้างแม่นยำใกล้เคียงกัน แต่ราคาจะถูกกว่าประมาณครึ่งหนึ่ง
- โบทูแล็กซ์ (Botulax) ผลิตในประเทศเกาหลี จุดเด่นคือ ออกฤทธิ์เห็นผลค่อนข้างไว ราคาประหยัด แต่ข้อเสียคือ สลายตัวเร็ว ไม่ค่อยคงทนยาวนานมากนัก
- นาโบตะ (Nabota) ผลิตในประเทศเกาหลี จัดเป็นโบท็อกซ์ยี่ห้อพรีเมียม มีสารโบทูลินัม ท็อกซิน เอบริสุทธิ์สูง ออกฤทธิ์เร็ว เน้นใช้เพื่อลดเลือนริ้วรอยที่หน้าผาก หางตา ปรับรูปหน้า ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณกรามดูเล็กลง
ผลิตภัณฑ์โบท็อกซ์ที่กล่าวมาข้างต้นทุกยี่ห้อได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหาร และยาของประเทศไทยแล้ว แต่โบทอกซ์ทุกยี่ห้อมีข้อควรระวังทั้งสิ้น
นอกจากนี้ผู้เข้ารับบริการก็ยังต้องระมัดระวังผลิตภัณฑ์โบท็อกซ์ปลอมที่หาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป
เพราะสารในผลิตภัณฑ์โบท็อกซ์ปลอมนั้นอาจส่งผลข้างเคียงร้ายแรง และทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ด้วย และนอกเหนือจากคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์โบท็อกซ์แต่ละยี่ห้อที่แตกต่างกันแล้ว การกำหนดปริมาณ หรือยูนิตในการฉีดโบท็อกซ์แต่ละยี่ห้อก็จะแตกต่างกันไปกัน
ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาจากแพทย์ที่จะเป็นผู้ประเมินปริมาณที่เหมาะสมให้กับผู้เข้ารับบริการ ซึ่งโดยส่วนมาก แพทย์จะเลือกใช้ปริมาณการฉีดที่น้อยที่สุดแต่เห็นผลชัด เพื่อลดปัญหาการดื้อยา และไม่ให้เกินปริมาณที่แนะนำสำหรับโบท็อกซ์ยี่ห้อนั้นๆ
ในประเทศไทย สารโบท็อกซ์จัดเป็นยาควบคุมพิเศษ สามารถจำหน่ายได้ผ่านสถานพยาบาลที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางอยู่ประจำเท่านั้น
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ผู้เข้ารับบริการจึงควรเลือกใช้บริการกับสถานพยาบาล หรือคลินิกเสริมความงามที่ได้มาตรฐาน และควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้มีการเตรียมสารโบท็อกซ์ใหม่ก่อนฉีดทุกครั้ง ไม่ใช่การใช้ของที่ผสมทิ้งไว้นานแล้ว หรือถ้าเป็นไปได้ ผู้เข้ารับบริการควรขอกล่องบรรจุภัณฑ์กลับมาด้วย หรือถ่ายรูปเก็บไว้ เพื่อจะได้มีข้อมูลการผลิตของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเก็บไว้ตรวจสอบ
ก่อนฉีดโบท็อกซ์ควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
ก่อนเข้ารับบริการฉีดโบท็อกซ์ ผู้เข้ารับบริการจำเป็นจะต้องเข้าพบแพทย์เสียก่อน เพื่อทำการตรวจผิวหนังและปรึกษาเกี่ยวกับบริเวณที่จะฉีด ดังนั้นผู้เข้ารับบริการจึงอาจต้องมีการเตรียมตัวดังต่อไปนี้
- งดรับประทานยา หรือวิตามินที่ทำให้เลือดหยุดไหลยาก เช่น
- ยาแอสไพริน (Aspirin)
- ยาแก้ปวดกลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-SteroidalAnti-Inflammatory Drugs: NSAIDs)
- ยาวาร์ฟาริน (Warfarin)
- วิตามินซี
- น้ำมันตับปลา
- แปะก๊วย
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เหล้า เบียร์ ไวน์ น้ำหมัก
- งดรับประทานอาหารประเภทหมูกะทะ ปิ้งย่าง ชาบู ที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อนๆ
- งดรับประทานอาหารที่เผ็ดมากๆ หรือแสบร้อนจนหน้าแดง
- งดรับประทานอาหารหมักดอง เพราะมีสารที่ทำให้เส้นเลือดขยายตัว เช่น ปลาร้า หน่อไม้ดอง มะม่วงดอง
- งดสูบบุหรี่ ในบุหรี่มีสารหลายชนิดที่ขยายหลอดเลือด ไม่ควรประคบร้อน
ขั้นตอนการฉีดโบท็อกซ์
- แพทย์ตรวจสอบสภาพผิวที่จะทำการฉีดโบท็อกซ์ และพูดคุยกับผู้เข้ารับบริการว่าจะฉีดบริเวณจุดไหนบ้าง รวมถึงยี่ห้อผลิตภัณฑ์ในการฉีดว่า เป็นยี่ห้อใด
- แพทย์จะทายาชา หรือใช้น้ำแข็งประคบบริเวณที่จะฉีดก่อน เพื่อให้ไม่รู้สึกเจ็บเกินไป
- แพทย์ทำการฉัดโบท็อกซ์ โดยจะใช้เข็มขนาดเล็กฉีดสารโปรตีนปริมาณพอเหมาะลงไปที่กล้ามเนื้อ เวลาในการฉีดจะประมาณ 10-15 นาที ขึ้นอยู่กับบริเวณ และปริมาณที่ฉีด
การทำงานของโบท็อกซ์
หลังจากแพทย์ฉีดโบท็อกซ์เข้าไปในส่วนที่ต้องการรักษาแล้ว สารโบท็อกซ์จะเข้าไปจับที่ปลายประสาท ทำให้เซลล์ประสาทไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาทมาที่กล้ามเนื้อได้ หรือจะเรียกได้อีกอย่างว่าเป็นการทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเป็นอัมพาตชั่วคราว
จึงทำให้กล้ามเนื้อส่วนนั้นคลายตัว ซึ่งระยะเวลาที่จะเห็นผลหลังจากฉีดโบท็อกซ์แล้วจะอยู่ที่ภายใน 1-2 สัปดาห์ และจะอยู่ได้นาน 3-6 เดือน หลังจากนั้นกล้ามเนื้อจะค่อยๆ หดตัวจนกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของผลิตภัณฑ์โบท็อกซ์ที่ฉีดด้วย
การดูแลตัวเองหลังฉีดโบท็อกซ์
หลังจากฉีดโบท็อกซ์แล้ว ผู้เข้ารับบริการควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ซึ่งมักได้แก่
- ไม่นอนราบในช่วง 3-4 ชั่วโมงแรกหลังจากฉีดโบท็อกซ์ เพราะโบท็อกซ์อาจไหลไปในบริเวณที่ไม่ต้องการ
- ให้นอนหงายหนุนหมอนสูง ในคืนแรกของการรักษา
- ไม่ประคบร้อน และระวังอย่าให้ลมร้อนจากไดร์เป่าผมไปเป่าบริเวณที่เพิ่งฉีดโบท็อกซ์มาเป็นเวลา 2 สัปดาห์
- ไม่นวด กด บีบ คลึง บริเวณที่เพิ่งทำการฉีดโบท็อกซ์มา เป็นเวลา 6-8 ชั่วโมง เนื่องจากการทำให้ยากระจายไปออกฤทธิ์ยังบริเวณอื่นได้
- หากมีอาการบวมแดงหรือช้ำในช่วง 1-2 วันแรกหลังการฉีดโบท็อกซ์ (ซึ่งเป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้เนื่องจากเข็มฉีดยา) ให้ใช้น้ำแข็งประคบได้
- ควรไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อประเมินผลการรักษา และหากพบความผิดปกติก่อนวันนัด เช่น หนังตาตก ปวดศีรษะ ปวดคอ เห็นภาพซ้อน ตาแห้ง มีอาการแพ้หรือหายใจไม่สะดวก ควรติดต่อแพทย์ทันทีเพื่อปรึกษาว่า ควรเลื่อนการฉีดโบท็อกซ์ออกไปก่อนดีหรือไม่
การดื้อโบท็อกซ์คืออะไร
หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า “ดื้อโบท็อกซ์” มาก่อน ซึ่งอาการนี้หมายถึง การฉีดโบท็อกซ์แล้วไม่เห็นผลลัพธ์
โดยอาการดื้อโบท็อกซ์ มีสาเหตุมาจากโปรตีนในสารโบท็อกซ์นั้นมีหลายชนิด ซึ่งเมื่อฉีดเข้าร่างกายไปแล้ว ร่างกายของผู้เข้ารับบริการบางรายจะสร้างภูมิต้านทานขึ้นมาเพื่อต่อต้านสารโปรตีนดังกล่าว ทำให้การออกฤทธิ์ของสารโบท็อกซ์ไม่เห็นผลเท่าที่ต้องการ
ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการดื้อโบท็อกซ์ขึ้น ได้แก่
- การใช้โบท็อกซ์ในปริมาณสูงเกินไป
- การฉีดโบท็อกซ์ที่ถี่เกินไป
ดังนั้นผู้เข้ารับบริการจึงควรฉีดโบท็อกซ์ในปริมาณที่น้อยที่สุด และไม่ควรฉีดเกินปริมาณสูงสุดที่กำหนดให้ฉีดได้ นอกจากนี้ การฉีดแต่ละครั้งยังควรห่างกันมากกว่า 12 สัปดาห์ด้วย
ส่วนวิธีแก้ไขเมื่อผู้เข้ารับบริการเกิดอาการดื้อโบท็อกซ์ขึ้น การใช้วิธีฉีดสารโปรตีนเพิ่มขึ้นอาจเป็นวิธีที่ช่วยได้
แต่ทางแก้ที่ถูกต้องและปลอดภัยที่สุดคือ ให้เว้นระยะเวลาการฉีดออกไปก่อน เพื่อให้ร่างกายได้สลายสารสกัดโปรตีนออกให้หมด ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ปีแล้วค่อยกลับมาฉีดใหม่
ข้อควรระวังและผลข้างเคียงที่อาจเกิดได้หลังฉีดโบท็อกซ์
โดยส่วนมาก การฉีดโบท็อกซ์มักไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายร้ายแรง หากฉีดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม รวมถึงมีการเว้นระยะการฉีดไปไม่ต่ำกว่า 3 เดือน
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับสุขภาพบางประการไม่ควรเข้ารับการฉีดโบท็อกซ์ เพราะอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ ได้แก่
- ผู้มีความผิดปกติทางกล้ามเนื้อและระบบประสาท เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Myasthenia gravis) โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส (Amyotrophic Lateral Sclerosis: ALS) ไม่ควรฉีด โบท็อกซ์ เพราะอาจทำให้อาการแย่ของโรคลง
- หญิงตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร แม้จะยังไม่มีรายงานเรื่องอันตราย แต่ก็ไม่มีข้อมูลเพียงพอรับรองว่าปลอดภัยเช่นกัน อีกทั้งในระหว่างการตั้งครรภ์ คุณแม่ควรจะหลีกเลี่ยงสารเคมีที่อาจส่งผลต่อร่างกายไม่ว่าจะบริเวณไหนก็ตามให้มากที่สุดดังนั้นหญิงตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตรจึงควรหลีกเลี่ยงการฉีดโบท็อกซ์ไปก่อน
ส่วนผลข้างเคียงที่สามารถพบได้ทั่วไป โดยอาจเกิดจากความไม่เชี่ยวชาญของแพทย์ หรือเกิดจากผู้รับบริการปฏิบัติตัวหลังฉีดโบท็อกซ์ไม่ถูกต้อง จะได้แก่
- อาจมีอาการปวดศีรษะหรือปวดในบริเวณที่ฉีด
- เคี้ยวอาหารได้ยากขึ้น โดยเฉพาะอาหารที่แข็งและเหนียว เพราะกล้ามเนื้อในบริเวณที่ฉีดโบท็อกซ์มามีความหนืดมากขึ้น
- ข้อต่อของขากรรไกรไม่แข็งแรงเท่าเดิม
- ใบหน้าทั้งสองข้างไม่สมมาตร หรือปากเบี้ยวเวลายิ้ม
- สำหรับผู้ที่แต่เดิมมีเนื้อแก้มเยอะ เมื่อฉีดโบท็อกซ์จนหน้าเรียวขึ้นแล้ว อาจทำให้เนื้อแก้มห้อยคล้อยลงมา
ส่วนมากผลข้างเคียงที่กล่าวไปข้างต้นนั้น มักส่งผลไม่ร้ายแรงมากนัก และจะเกิดในช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น จากนั้นอาการก็จะหายไปเอง
แต่ในกรณีที่ส่งผลข้างเคียงระยะยาว ผู้เข้ารับบริการอาจจำเป็นจะต้องรอให้สารโบทูลินัม ท็อกซิน เอ ที่ฉีดเข้าไปสลายไปเองเสียก่อน แล้วอาการข้างเคียงจึงจะหายไป
ราคาการฉีดโบท็อกซ์ในแต่ละคลินิก
ราคาของโบท็อกซ์ 1 ขวด ขนาด 100 ยูนิต จะมีตั้งแต่ 7,000–30,000 บาท ขึ้นอยู่กับยี่ห้อและค่าบริการของแต่ละโรงพยาบาลหรือคลินิก สามารถเปรียบเทียบราคาเบื้องต้น และโปรโมชันโบท็อกซ์แนะนำ ที่นี่
ฉีดโบท็อกซ์หางตา ลดรอยตีนกา
- Arich Clinic ราคา 999 บาท
- Dr.Alex Clinic ราคา 2,200 บาท
- La Moon Clinic ราคา 3,999 บาท
- Minerva Clinic ราคา 7,000 บาท
- Narawee Clinic ราคา 8,999 บาท
ฉีดโบท็อกซ์ลดรอยย่นที่หัวคิ้ว
- Dr.Alex Clinic ราคา 3,200 บาท
- La Moon Clinic ราคา 3,999 บาท
- Minerva Clinic ราคา 7,000 บาท
- Narawee Clinic ราคา 8,999 บาท
ฉีดโบท็อกซ์ลดรอยย่นที่หน้าผาก
- Arich Clinic ราคา 1,999 บาท
- La Moon Clinic ราคา 3,999 บาท
- Minerva Clinic ราคา 7,000 บาท
- Narawee Clinic ราคา 8,999 บาท
ฉีดโบท็อกซ์ยกกระชับใบหน้า
- La Moon Clinic ราคา 3,999 บาท
- Divine Clinic ราคา 3,999 บาท
- Precious Clinic ราคา 5,999 บาท
ฉีดโบท็อกซ์ลดกราม ปรับหน้าเรียว
- Finale Clinic ราคา 2,999 บาท
- Arich Clinic ราคา 2,999 บาท
- La Moon Clinic ราคา 3,999 บาท
- Divine Clinic ราคา 3,999 บาท
- Precious Clinic ราคา 5,999 บาทและราคา 8,999 บาท (ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของโบท็อกซ์ที่เข้ารับการฉีด)
- Narawee Clinic ราคา 8,999 บาท
ฉีดโบท็อกซ์ลดขนาดรูขุมขน
- Arich Clinic ราคา 1,999 บาท
ฉีดโบท็อกซ์เหมา 100 ยูนิต
- Vayo Clinic ราคา 11,000 บาท และ 21,000 บาท (ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของโบท็อกซ์ที่เข้ารับการฉีด)
- Divine Clinic ราคา 15,400 บาท
- Napassaree ราคา 17,999 บาท
- Narawee Clinic ราคา 20,000 บาท
หมายเหตุ: ราคาอาจเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ดูแพ็กเกจฉีดโบท็อกซ์ เปรียบเทียบราคา โปรโมชั่นล่าสุดจากโรงพยาบาลและคลินิกชั้นนำได้ที่นี่
คำถามที่พบบ่อย
ความคงทนระหว่างโบท็อกซ์จากอเมริกาและเกาหลี ตัวไหนอยู่ได้นานกว่ากัน
คำตอบ: โบท็อกซ์ยี่ห้ออัลเลอร์แกนจากอเมริกา เป็นผลิตภัณฑ์โบทอกซ์ที่ค่อนข้างได้รับความนิยม และคงอยู่ได้นานที่สุด นั่นคือประมาณ 6 เดือน นอกจากนี้ โบทอกซ์ยี่ห้ออัลเลอร์แกนยังออกฤทธิ์ได้เร็วด้วย โดยใช้เวลาหลังจากฉีดเพียง 1-3 วันเท่านั้น