การตรวจสุขภาพประจำปี คือการตรวจสุขภาพทั่วไปในผู้ที่ไม่มีอาการผิดปกติใดๆ ประกอบด้วย การซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจทางห้องปฏิบัติการต่างๆ หรือที่นิยมเรียกว่า ตรวจแล็บ เช่น ตรวจปัสสาวะ ตรวจเลือด ตรวจไขมัน
โปรแกรมตรวจสุขภาพจะแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงวัย เช่น การตรวจสุขภาพในผู้หญิงอายุ 21 ปีขึ้นไป อาจมีการตรวจภายในเพื่อตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วย เป็นต้น
สารบัญ
ตรวจสุขภาพ ตรวจอะไรได้บ้าง?
การตรวจสุขภาพ มี 2 เป้าหมายหลักในการตรวจ คือ
1. ตรวจคัดกรองโรคเบื้องต้นที่อาจแฝงอยู่ในร่างกาย แต่ยังไม่แสดงอาการได้
- ตัวอย่างเช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง มะเร็งเต้านมในระยะแรก หรือมะเร็งปากมดลูกในระยะแรก
- การตรวจพบโรคเหล่านี้ในระยะแรกๆ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา หรือโอกาสในการรักษาหายขาดได้มาก
2. ตรวจหาปัจจัย หรือพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดโรค
- ตัวอย่างเช่น กรรมพันธุ์ การดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ บริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม ขาดการออกกำลังกาย การมีอารมณ์เครียด มีภาวะน้ำหนักเกิน หรืออ้วนลงพุง
- หากตรวจพบปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดโรค และทำการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้
ซักประวัติสุขภาพ ขั้นตอนสำคัญของการตรวจสุขภาพ
การซักประวัติสุขภาพจะช่วยให้แพทย์ค้นพบปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคได้ หลังจากนั้นจะนำไปประเมินร่วมกับการตรวจร่างกาย หรือตรวจทางห้องปฏิบัติการ
สิ่งที่แพทย์อาจถามในขั้นตอนการซักประวัติสุขภาพ เช่น
- ข้อมูลพื้นฐานทั่วไป เช่น อายุ เพศ การทำงาน สถานที่อยู่อาศัย กิจวัตรประจำวัน
- ประวัติสุขภาพโดยรวม เช่น โรคที่เคยเป็น ประวัติอุบัติเหตุ การผ่าตัด หรือการแพ้ยา
- ประวัติความเจ็บป่วยของคนในครอบครัว เนื่องจากโรคบางชนิดอาจมีสาเหตุมาจากกรรมพันธุ์ได้
ตรวจร่างกาย ตรวจอะไรได้บ้าง?
แนวทางการตรวจร่างกาย มีหลายระบบ เช่น
- ตรวจจากศีรษะจรดเท้า (Head-To-Toe assessment criteria) เป็นการตรวจสภาพทั่วๆ ไป โดยเริ่มจากสัญญาณชีพ ศีรษะและหน้า ตา หู จมูก ช่องปาก ลำคา หน้าอก ไปจนถึงส่วนของแขนขา
- ตรวจตามระบบต่างๆ ของร่างกาย (Body systems assessment criteria) เริ่มจากตรวจสภาพทั่วๆ ไป สัญญาณชีพ และตรวจตามระบบต่างๆ เช่น ระบบประสาท ระบบการหายใจ ระบบหัวใจ ระบบทางเดินหายใจ ระบบผิวหนัง หรือระบบอวัยวะสืบพันธ์
โดยมีวิธีการตรวจหลักๆ คือ ดู คลำ เคาะ และฟัง
ตรวจเลือด ตรวจอะไรได้บ้าง?
การตรวจเลือด คือการเก็บตัวอย่างเลือดเพื่อนำไปวิเคราะห์ผลในห้องตรวจปฏิบัติการณ์ โดยการวิเคราะห์ผลจะแตกต่างกันไปในแต่ละโปรแกรม เช่น
- ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) เพื่อหาความผิดปกติของเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด ความเข้มข้นของเลือด หรือภาวะผิดปกติอย่างโลหิตจาง
- ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด (FPG) และค่าน้ำตาลเฉลี่ยสะสม (HbA1c) เพื่อประเมินความเสี่ยง และคัดกรองโรคเบาหวาน
- ตรวจวัดระดับไขมันในเลือด เพื่อดูระดับคอเลสเตอรอล และไตรีกลีเซอไรด์ ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดหัว และโรคหลอดเลือดสมอง
- ตรวจสมรรถภาพการทำงานของไต โดยการตรวจค่าของเสียครีเอตินีน (Creatinine) และค่า BUn (Blood Urea Ntrogen) ในเลือด เพื่อประเมินความสามารถในการขับของเสียของไต
- ตรวจสมรรถภาพการทำงานของตับ โดยการตรวจหาเอ็นไซม์และสารต่างๆ ในเลือด เพื่อหาภาวะตับอักเสบ ตับเสื่อมสภาพ หรือดีซ่าน
- ตรวจสารบ่งชี้มะเร็งในเลือด เพราะมะเร็งบางชนิดอาจผลิตสารฮอร์โมนบางอย่างออกมาปะปนในเลือดได้
- ตรวจระดับกรดยูริก เพื่อประเมินความเสี่ยงในการเกิดโรคเกาต์
- ตรวจหาโรคติดเชื้อทั้งเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และเชื้อไวรัส
- ตรวจเพื่อยืนยันโรคภูมิแพ้ตัวเอง (Autoimmune)
- ตรวจหาโรคติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อรา
โปรแกรมการตรวจเลือดจะแตกต่างกันไปในแต่ละแพ็กเกจ หรือขึ้นอยู่กับการประเมินจากแพทย์
นอกจากการตรวจดังกล่าวแล้ว การตรวจเลือดยังสามารถตรวจวิเคราะห์ดีเอ็นเอ (DNA) ในแต่ละบุคคล ตรวจภูมิแพ้อาหารแฝง หรือตรวจระดับฮอร์โมน เพื่อเป็นแนวทางในการดูแลสุขภาพและการออกกำลังกายได้อีกด้วย
ตรวจปัสสาวะ ตรวจอะไรได้บ้าง?
การตรวจปัสสาวะมักนิยมเก็บตัวอย่างในช่วงเช้า เพราะปัสสาวะยังเข้มข้นอยู่ โดยควรเก็บในช่วงกลางของปัสสาวะ และระมัดระวังไม่ให้อวัยวะสัมผัสกับที่เก็บตัวอย่าง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการปนเปื้อนได้
ปัสสาวะ สามารถตรวจได้หลายอย่าง เช่น
- ตรวจลักษณะของปัสสาวะ ได้แก่ สี กลิ่น และความใส โดยผลตรวจปกติ ปัสสาวะจะต้องใส มีสีเหลืองอ่อน หรือเหลืออำพัน และไม่พบสารเคมี เม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว ผลึก หรือเชื้อจุลชีพอื่นๆ ปนเปื้อนอยู่
- ตรวจการตั้งครรภ์ โดยเป็นการตรวจหาฮอร์โมน HCG (Human chorionic gonadotropin) ในปัสสาวะ
- ตรวจเบาหวาน โดยการตรวจหาน้ำตาลกลูโคส หรือคีโตน (Ketones) ในปัสสาวะ
- ตรวจภาวะการติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ โดยการตรวจหาเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส หรือเชื้อราในปัสสาวะ
- ตรวจสมรรถภาพการทำงานของไต โดยการตรวจคาสท์ (Casts) ในปัสสาวะ
- ตรวจความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในไต หรือตรวจการทำงานของระบบเผาผลาญ โดยการตรวจผลึก (Crystal) ในปัสสาวะ
- ตรวจคัดกรองมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งปัสสาวะจะมีเซลล์เม็ดเลือดขาวในปัสสาวะ หรือมะเร็งเม็ดเลือดขาวจะมีโปรตีนเบนซ์โจนส์ (Bence Jones) ในปัสสาวะ
- ตรวจสารเสพติดในปัสสาวะ
การตรวจสุขภาพประจำปีจำเป็นต้องตรวจทุกปีหรือไม่?
ไม่จำเป็น การตรวจสุขภาพประจำปีจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจต้องตรวจทุกปี ในขณะที่บางคนอาจตรวจห่างกัน 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ เพศ หรือโอกาสเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย เช่น เบาหวาน มีไขมันในเลือดสูง หรือมะเร็งเต้านม
การตรวจสุขภาพไม่ควรตรวจแบบเหมารวม และตรวจให้เหมาะสมในแต่ละช่วงวัยเท่านั้น โดยในแต่ละโรงพยาบาลมักมีการจัดโปรแกรมตรวจสุขภาพที่เหมาะสมกับแต่ละช่วงวัยไว้แล้ว
การตรวจแบบเหมารวมนั้น นอกจากจะเป็นการสิ้นเปลืองแล้ว การตรวจบางชนิดยังอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ด้วย