ฟันที่ขาวสว่างใส มีรูปฟันที่สวยงาม สามารถเพิ่มเสน่ห์ให้กับรอยยิ้มได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นการเสริมความมั่นใจ ในการสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่พบเห็น แต่หากฟันมีปัญหา เช่น ฟันแตก ฟันหัก ฟันบิ่น หรือฟันเหลือง การเคลือบฟันด้วยวีเนียร์เป็นอีกหนึ่งวิธีที่นิยมทำกันอย่างแพร่หลาย สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็วทันใจ HDmall.co.th ได้รวบรวมข้อมูลมาให้อย่างละเอียดสำหรับผู้สนใจ
สารบัญ
เคลือบฟันคืออะไร?
การเคลือบฟัน หรือหลายคนอาจเรียกว่าทำวีเนียร์ (Veneer) เป็นการใช้วัสดุพิเศษที่มีความบางและสีใกล้เคียงกับฟัน ติดลงบนผิวฟันเพื่อปกปิดปัญหาต่างๆ เช่น ฟันไม่สวย ฟันเหลือง ผิวฟันไม่เรียบ ฟันหัก ฟันเก ทำให้ฟันดูสวยงามเป็นธรรมชาติ
การติดเคลือบฟันจะต้องกรอด้านหน้าของผิวฟันก่อนเล็กน้อย และอาจต้องกรอเนื้อฟันออก 0.5-1.0 มิลลิเมตรเพื่อให้ฟันเรียบเนียน หลังจากนั้นจึงนำมาติดลงไปที่ผิวฟัน โดยจะปิดด้านหน้าฟันทั้งซี่ไปชิดขอบฟันบริเวณแนวเหงือก ซึ่งปกติแล้วจะทำกันแค่ฟันหน้า 8 ซี่เท่านั้น แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะการยิ้มของผู้รับบริการว่ายิ้มแล้วจะมองเห็นฟันหน้ากี่ซี่ วิธีนี้สามารถตกแต่งฟันให้ได้ลักษณะตามที่ต้องการไม่ว่าจะเป็นสีของฟัน รูปร่างและขนาดของฟัน และต้องทำโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันตกรรมประดิษฐ์ (การบูรณะฟันและใส่ฟันเพื่อความสวยงาม) เท่านั้น เพื่อความปลอดภัยและให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ
เคลือบฟันช่วยอะไรได้?
การเคลือบฟันสามารถช่วยแก้ไขปัญหาของฟันที่เกิดขึ้นหลากหลายรูปแบบได้เป็นอย่างดี ดังนี้
- ช่วยปกปิดความผิดปกติของฟันที่มีการหัก สึก หรือบิ่นแตกได้ เพื่อให้ฟันดูมีสุขภาพดีอย่างเป็นธรรมชาติ
- ช่วยปรับขนาดฟันที่มีขนาดใหญ่เล็กไม่เท่ากัน ให้มีขนาดที่เรียงกันอย่างสวยงาม
- ช่วยปรับฟันที่มีขอบปลายสั้นยาวไม่เท่ากัน ให้ยาวเรียงกันอย่างสม่ำเสมอ
- ช่วยปรับฟันที่มีการเรียงตัวไม่สวย เช่น ฟันซ้อน ฟันเก ฟันบิด ให้มีความเรียบตรงเสมอกัน
- ช่วยปรับให้ผู้ที่มีปัญหาเรื่องสีของฟัน เช่น ฟันเหลือง ฟันสีเข้ม สีของฟันไม่สม่ำเสมอ ให้มีสีที่สม่ำเสมอ
- ช่วยทำให้ฟันห่าง เรียงตัวชิดกันอย่างสวยงาม
- ช่วยทำให้ฟันที่มีผิวหน้าฟันไม่เรียบ ดูสวยเรียบเนียน
เคลือบฟันเหมาะกับใคร?
- ผู้ที่มีปัญหาฟันเหลือง ฟันมีสีเข้ม ฟันไม่เป็นสีขาวสวยอย่างที่ต้องการ
- ผู้ที่มีปัญหาฟันเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน
- ผู้ที่มีปัญหาฟันซ้อนกัน ฟันเก
- ผู้ที่มีปัญหาฟันหัก ฟันบิ่น ฟันสึก
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหน้าฟันไม่เรียบ
- ผู้ที่มีปัญหาฟันห่าง
- ผู้ที่มีปัญหาไม่สามารถฟอกฟันขาวได้
- ผู้ที่มีปัญหาปลายของฟันไม่สบและเรียบเสมอกัน
- ผู้ที่ต้องการมีฟันที่สวยงาม น่ามอง
เคลือบฟันมีกี่แบบ?
วัสดุที่นำมาใช้เคลือบฟันสามารถแบ่งได้หลักๆ 2 แบบ มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป ดังนี้
1. วีเนียร์คอมโพสิต เรซิน (Composite Resin Veneer)
วีเนียร์คอมโพสิต เรซิน เป็นเคลือบฟันจากวัสดุเรซิน (Resin) ผสมกับซิลิกา (Silica) คุณสมบัติคล้ายพลาสติก มีความคงทนแข็งแรง มันเงา สีเหมือนฟันธรรมชาติ ทันตแพทย์จะทำเคลือบฟันในลักษณะโบกฉาบบนผิวฟันที่กรอเตรียมไว้โดยตรง (Direct Veneer) ใช้เวลาในการทำไม่นาน อาจมีอายุการใช้งานได้ตั้งแต่ 2-10 ปี ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้ชีวิตของแต่ละคน
ข้อดีของวีเนียร์คอมโพสิต เรซิน
- มีความสวยงามเทียบเท่าหรือใกล้เคียงกับฟัน
- สามารถเลือกสีของฟันให้ดูขาวและสว่างขึ้นได้ตามความต้องการ
- ไม่ต้องกรอฟันมากเหมือนวีเนียร์เซรามิก หรือวีเนียร์พอร์ซเลน
- มีค่าใช้จ่ายถูกกว่าวีเนียร์เซรามิก หรือวีเนียร์พอร์ซเลน
- หากเกิดแตกหักหรือบิ่น สามารถซ่อมแซมได้
- ใช้เวลาในการทำไม่นาน
ข้อเสียของวีเนียร์คอมโพสิต เรซิน
- มีความแข็งแรงน้อยกว่าฟันธรรมชาติ
- มีรอยต่อกับฟันธรรมชาติ อาจทำให้มีเศษคราบอาหารมาเกาะติดได้ง่าย หากทำความสะอาดไม่ทั่วถึงจะทำให้มีกลิ่นปาก ฟันผุและเหงือกอักเสบในบริเวณนี้ได้
- หลังใช้งานไปแล้ว จะมีการเปลี่ยนสีของตัวเคลือบฟันได้และไม่เงางามเหมือนเดิม
- วัสดุที่ใช้จะมีความคงทน ความเรียบ ความมันเงาและความสวยงามน้อยกว่าวีเนียร์เซรามิก หรือวีเนียร์พอร์ซเลน
- มีอายุการใช้งานน้อยกว่าวีเนียร์เซรามิก หรือวีเนียร์พอร์ซเลน
- มีโอกาสแตกหัก ติดสี และเปลี่ยนสีได้ง่ายกว่าวีเนียร์าเซรามิก หรือวีเนียร์พอร์ซเลน
2. วีเนียร์เซรามิก หรือวีเนียร์พอร์ซเลน (Ceramic Veneer ; Porcelain Veneer)
วีเนียร์เซรามิก พอร์ซเลน คือเคลือบฟันที่ใช้วัสดุเซรามิกคล้ายฟันธรรมชาติมาก มีความแข็งแรงสูง และไม่ดูดสีจากเศษอาหาร ทันตแพทย์จะทำเคลือบฟันให้พอดีกับซี่ฟันมาก่อน (Indirect Veneer) จากนั้นจึงนำมาติดเข้ากับผิวฟันที่กรอเตรียมไว้ โดยอาจมีอายุการใช้งานนานกว่า 10 ปี ขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวัน
ข้อดีของวีเนียร์เซรามิก พอร์ซเลน
- ผิวหน้าฟันจะเรียบและมันเงาสวยเป็นธรรมชาติ เนื่องจากเป็นวัสดุโปร่งแสง
- มีคราบเศษอาหารติดได้ยาก ซึ่งจะทำให้เกิดการอักเสบของเหงือกได้น้อย
- สามารถปรับเปลี่ยนการเรียงตัวของฟันแทนการจัดฟันได้ในบางกรณี เช่น ฟันซ้อน ฟันเก เป็นต้น
- สามารถเปลี่ยนสีของฟันให้ขาวและสว่างขึ้นได้อย่างถาวรตามความต้องการ มีความสวยงามตลอดอายุการใช้งาน
- มีความคงทนแข็งแรงมาก และช่วยทำให้ฟันมีความแข็งแรงขึ้น
ข้อเสียของวีเนียร์เซรามิก พอร์ซเลน
- มีราคาค่อนข้างสูงกว่าวีเนียร์คอมโพสิต เรซิน
- ใช้ระยะเวลาทำมากกว่าวีเนียร์คอมโพสิต เรซิน
- อาจมีการกรอเนื้อฟันมากกว่าวีเนียร์คอมโพสิต เรซินเล็กน้อย
การเตรียมตัวก่อนเคลือบฟัน
เมื่อตัดสินใจทำเคลือบฟันแล้ว ควรมีการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนดังต่อไปนี้
- ตรวจสุขภาพฟันก่อนทำ
- หากมีปัญหาฟันและช่องปาก เช่น โรคเหงือก ฟันผุ หรือฟันติดเชื้อ ต้องรักษาให้หายก่อน
- ดูแลรักษาความสะอาดฟัน
- หากมีลักษณะการนอนกัดฟัน ต้องแจ้งให้ทันตแพทย์ทราบก่อนทำ
ขั้นตอนการทำเคลือบฟัน
หลังจากปรึกษาทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันตกรรมประดิษฐ์ (การบูรณะฟันและใส่ฟันเพื่อความสวยงาม) ประเมินภาพรวมเพื่อให้เหมาะกับรอยยิ้ม รูปหน้า บุคลิกภาพและความต้องการของผู้ที่รับบริการแล้ว จะมีการถ่ายใบหน้า รูปฟันและช่องปาก เพื่อออกแบบรูปฟันให้ออกมาสวย ทันตแพทย์จะอธิบายรายละเอียดก่อนและหลังทำ รวมถึงค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ทราบก่อน ซึ่งขั้นตอนในการทำวีเนียร์คอมโพสิต เรซิน และวีเนียร์เซรามิก หรือวีเนียร์พอร์ซเลน มีดังต่อไปนี้
1. ขั้นตอนการทำเคลือบฟันแบบวีเนียร์คอมโพสิต เรซิน
ใช้ระยะเวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง และทำเสร็จภายในครั้งเดียวโดยมีขั้นตอนดังนี้
- ทันตแพทย์ทำการเทียบสีฟัน เพื่อที่จะเลือกใช้สีของตัวเคลือบฟันให้ใกล้เคียงกับสีฟันของผู้รับบริการต้องการมากที่สุด
- เตรียมผิวหน้าฟัน ด้วยการขัดและกรอผิวหน้าฟันให้มีความหยาบ แต่จะใช้ยาชาก่อนการกรอผิวฟันหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของทันตแพทย์
- อุดวัสดุเคลือบฟันในลักษณะโบกฉาบลงไปบนผิวฟันที่เตรียมไว้ และทำการตกแต่งรูปร่างของฟันให้ได้รูปที่ต้องการ
- ฉายแสงด้วยแสงฮาโลเจน (Halogen) เป็นการกระตุ้นให้ตัวเคลือบฟันแข็งตัวและยึดติดกับผิวหน้าฟันแน่นขึ้น
- กรอวัสดุเคลือบฟันที่ติดแล้ว เพื่อแต่งรูปร่างและการขัดวัสดุให้มีความมันเงาสวยงามยิ่งขึ้น
2. ขั้นตอนการทำเคลือบฟันแบบวีเนียร์เซรามิก หรือวีเนียร์พอร์ซเลน
จะใช้ระยะเวลาในการทำประมาณ 1-2 สัปดาห์ หลังปรึกษากับทันตแพทย์เรียบร้อยแล้ว จะมีการไปพบแพทย์เพื่อทำเคลือบฟัน 2 ครั้ง และใช้เวลาประมาณครั้งละ 2-3 ชั่วโมง โดยขั้นตอนทุกส่วนมีดังต่อไปนี้
- ทันตแพทย์จะตรวจสภาพฟันและเหงือก รวมถึงการ X-Ray ตรวจสภาพรากฟัน และกระดูกรองรับรากฟันก่อน
- ทันตแพทย์จะนัดมาพิมพ์ฟัน และทำแบบจำลองที่เรียกว่า Wax up Model ให้ผู้รับบริการเห็นการออกแบบฟันก่อนทำจริง
- ทันตแพทย์ส่งแบบจำลองให้ห้องปฏิบัติการผลิตเคลือบฟัน โดยขั้นตอนนี้จะใช้ระยะเวลาประมาณ 3-5 วัน
- ในครั้งแรกทันตแพทย์จะติดตัวเคลือบฟันชั่วคราวให้กับผู้รับบริการก่อนในช่วงระหว่างรอเคลือบฟันตัวจริง โดยการพิมพ์ฟันแบบ 3 มิติและเลือกสีฟัน จากนั้นจะกรอผิวหน้าฟันประมาณ 0.5-1.0 มิลลิเมตร ขึ้นอยู่กับสภาพของฟันที่จะทำการติด และติดตัวเคลือบฟันชั่วคราวบนผิวฟันด้วยวัสดุคล้ายกาวยึดติดแบบชั่วคราวเช่นกัน
- เมื่อได้เคลือบฟันตัวจริงมาแล้ว ทันตแพทย์จะนัดมาถอดตัวเคลือบฟันชั่วคราว แล้วใส่เคลือบฟันตัวจริงด้วยการใช้กาวซีเมนต์ชนิดพิเศษยึดติดกับผิวฟันของผู้ที่รับบริการ
- ทันตแพทย์ตรวจการเคลือบฟันที่ทำ และถ่ายรูปเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างก่อนและหลังเสร็จทำแล้วให้กับผู้ที่รับบริการดูอีกครั้ง และทำการนัดติดตามผลในการใช้งานประมาณ 1-2 สัปดาห์
การดูแลตัวเองหลังเคลือบฟัน
หลังจากทำการเคลือบฟันแล้ว สามารถรับประทานอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ ได้ตามปกติ แต่เพื่อที่จะถนอมตัวเคลือบฟันให้คงสภาพในการใช้งานให้นานขึ้น จึงควรที่จะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์และดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดดังต่อไปนี้
- หลีกเลี่ยงการเคี้ยวอาหารแข็ง และเลือกรับประทานอาหารที่เคี้ยวง่ายภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากทำเคลือบฟัน
- หลีกเลี่ยงการกัด ฉีก หรือเคี้ยวอาหารที่เหนียวและแข็งทุกชนิดตลอดการใช้งาน เพราะจะทำให้วัสดุเคลือบฟันหลุด บิ่น หรือแตกหักได้
- หลีกเลี่ยงการใช้ฟันในการงัดของแข็ง เช่น เปิดฝาขวด
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ โดยเฉพาะผู้ที่ทำเคลือบฟันด้วยวีเนียร์คอมโพสิต เรซินเพื่อป้องกันการเกิดคราบบุหรี่ติดฟันที่เคลือบไปแล้ว
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาสีฟันที่มีสารขัดฟันในปริมาณมาก เพราะอาจทำให้ที่เคลือบฟันไปแล้วเสียหายได้
- ทำความสะอาดฟันด้วยการใช้แปรงสีฟันที่มีขนอ่อนนุ่ม และแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยให้เน้นบริเวณขอบเหงือกฟันซี่ที่เคลือบฟันเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการเหงือกอักเสบและฟันผุ
- ทำความสะอาดด้วยไหมขัดฟันเป็นประจำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1-2 ครั้ง เพื่อความสะอาดของซอกฟัน
- บ้วนปากทำความสะอาดฟัน หลังการดื่มชา กาแฟ และไวน์ทุกครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่รับบริการทำเคลือบฟันด้วยวีเนียร์คอมโพสิต เรซิน เพื่อป้องกันการเกิดคราบสีติดฟัน และควรบ้วนปากด้วยน้ำยาผสมฟลูออไรด์ก่อนนอนทุกวัน โดยการอมไว้ในปากอย่างน้อย 1 นาที หลังจากนั้นไม่ควรดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารใน 30 นาที
- หมั่นตรวจดูฟันทุกวันก่อนนอน ว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ หากพบความผิดปกติ เช่น ที่เคลือบฟันหลุดไป ทำให้เกิดร่องระหว่างตัวเคลือบฟันกับฟันธรรมชาติ ให้ไปพบทันตแพทย์ทันที
- หากพบว่าการสบฟันไม่สนิท หรือมีการติดขัดที่เคลือบฟันไปแล้ว ทำให้ขยับปากได้ยาก ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อปรับแต่งเคลือบฟันให้สบกันสนิท และเรียบขึ้น
- หากผู้ที่รับบริการนอนกัดฟัน จะต้องใส่เฝือกสบฟัน (Occlusal Splint) เพื่อป้องกันที่เคลือบฟันเสียหาย ตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด
- ควรทำความสะอาดและขจัดคราบผิวฟันด้วยการทำ Airflow ซึ่งเป็นวิธีการทำความสะอาดตามซอกฟันและกำจัดคราบหินปูนได้อย่างล้ำลึก ตามคำแนะนำของทันตแพทย์ (Airflow เป็นนวัตกรรมการขัดฟันด้วยการใช้แรงดันน้ำและผงขัดชนิดพิเศษพ่นไปที่บริเวณผิวฟันและซอกฟัน ซึ่งทำให้คราบสีต่างๆ หลุดออกมา ซึ่งอาจทำในวันที่พบทันตแพทย์ตรวจสุขภาพฟันหรือนัดมาทำในวันหลัง)
- ควรพบทันตแพทย์ตรวจสุขภาพฟันเป็นประจำทุกๆ 6 เดือน อย่างสม่ำเสมอ
ความเสี่ยงของการทำเคลือบฟัน
การเคลือบฟันที่ทำให้เกิดความเสี่ยงได้นั้น จะเกิดกับการทำที่ไม่ได้มาตรฐานอาจทำให้มีอาการดังต่อไปนี้
- ฟันผุ
- เหงือกอักเสบรุนแรง
- เหงือกร่น
- มีคราบหินปูน
- มีกลิ่นปาก
- เกิดการเสียวฟันที่แก้ไม่หาย
- กรณีมีการตกแต่งเหงือกร่วมด้วย อาจมีอาการเสียวฟัน ซึ่งหายได้เองภายใน 1-2 วัน และไม่ควรรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่เย็นจัด ร้อนจัด หรือความเป็นกรดสูง เช่นน้ำมะนาว
- กรณีมีการตกแต่งเหงือกร่วมด้วย อาจมีอาการเหงือกอักเสบ บวมเล็กน้อย อาการนี้สามารถหายได้เองภายใน 1-2 วัน หากเกิดอาการบวมให้ทานยาแก้ปวด และบ้วนปากด้วยน้ำเกลือร่วมด้วย
เคลือบฟันอยู่ได้กี่ปี?
อายุการใช้งานของเคลือบฟัน ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาและการใช้งานของผู้รับบริการเป็นหลัก หากทำได้ดีก็จะสามารถยืดอายุการใช้งานให้นานได้ ซึ่งปกติแล้วการเคลือบฟันแต่ละแบบก็จะมีอายุการใช้งานที่แตกต่างกันไปตามชนิดของวัสดุที่ใช้เคลือบฟันดังต่อไปนี้
- วีเนียร์คอมโพสิต เรซิน จะมีอายุการใช้งานโดยเฉลี่ย 2-5 ปี หากได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีและผู้ที่รับบริการใช้งานอย่างถูกวิธีก็อาจสามารถยืดอายุการใช้งานได้ถึง 10 ปี
- วีเนียร์เซรามิก หรือพอร์ซเลน เป็นเคลือบฟันที่มีอายุการใช้งานได้นานถึง 10 ปีขึ้นไป หลังจากนั้นอาจจะสึกกร่อนจากการใช้งาน แต่ก็ยังคงมีตัวเคลือบฟันอยู่ 80-90% ซึ่งก็ถือได้ว่าสามารถใช้งานได้อย่างถาวร
เคลือบฟันแตกควรทำอย่างไร?
ตัวเคลือบฟันนั้นทำมาจากวัสดุที่ค่อนข้างบาง ทำให้เกิดการแตก หัก หรือบิ่นได้ง่าย แต่หากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นมา จะต้องรีบไปพบทันตแพทย์โดยเร็ว เพื่อให้ประเมินความเสียหายของทั้งที่เคลือบฟันและฟันของผู้ที่รับบริการ ซึ่งในกรณีที่เสียหายไม่มากจะสามารถซ่อมแซมได้ แต่หากได้รับความเสียหายมากก็อาจจะต้องทำขึ้นมาใหม่แทน
การเคลือบฟันสามารถช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับฟัน ทำให้ฟันสวยดูมีสุขภาพดี และสามารถออกแบบรอยยิ้มให้สวยงามตามที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วทันใจ อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีและลดความเสี่ยงใดๆ ก็ตามที่อาจเกิดขึ้นมา ต้องทำเคลือบฟันกับทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทันตกรรมประดิษฐ์ (การบูรณะฟันและใส่ฟันเพื่อความสวยงาม) เท่านั้น