ตุ่มแดงที่ขา เกิดจากอะไร รวมสาเหตุ ปัจจัยเสี่ยง

การพบตุ่มแดงที่ขา มักจะไม่ได้เกิดจากโรคร้ายที่ทำให้น่าตกใจ แต่ตุ่มเหล่านี้อาจจะทำให้รู้สึกคันและผิวขาดูไม่สวย แต่ในบางกรณีตุ่มแดงอาจเป็นอาการของโรคที่ร้ายแรงได้

ตุ่มแดงที่ขาเกิดจากอะไร?

ตุ่มแดงที่ขา อาจเกิดจากการถูกแมลงกัดต่อย ปฏิกิริยาภูมิแพ้  หรือโรคทางผิวหนัง ขึ้นกับอายุและประวัติทางสุขภาพของผู้ป่วย สาเหตุที่พบบ่อยของการเกิดตุ่มแดง อาจมีดังต่อไปนี้

1. โรคขนคุด

โรคขนคุด (Keratosis Pilaris) เป็นภาวะที่พบได้ทั่วไป โดยจะทำให้เกิดตุ่มที่มีสีแดงหรือขาวขนาดเล็ก มีลักษณะเหมือนกับผดบริเวณต้นขาและแขน แต่มักจะไม่ได้ทำให้รู้สึกคันแต่อย่างใด

โรคขนคุดจะเกิดเวลาที่รูขุมขนอุดตันจากเคราติน (Keratin) ซึ่งเป็นโปรตีนที่พบในผิวหนัง เส้นผมและเล็บ คุณมีโอกาสเกิดโรคนี้สูงหากคุณมีผิวหนังที่แห้งหรือผิวหนังอักเสบ

ถึงแม้ว่าโรคนี้อาจจะไม่รุนแรง หรือเป็นอันตรายมากนัก แต่ก็ควรต้องปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาที่ควรใช้ในการรักษา และสำหรับผู้ป่วยรายที่มีอาการรุนแรงอาจจะต้องใช้เลเซอร์ในการรักษาด้วย

2. รูขุมขนอักเสบ

มักจะพบส่วนที่เพิ่งโกนขน หรือในตำแหน่งที่เสื้อผ้าเสียดสีกับผิวหนังบ่อยๆ มีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆ สีแดงคล้ายสิวตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราที่รูขุมขน ซึ่งมักเกิดจากการโกนขน การใส่เสื้อผ้ารัดๆ ร่วมกับความอับชื้น ความร้อนและเหงื่อ

3. ผิวหนังอักเสบ

มีลักษณะเป็นจุดสีแดงร่วมกับปื้น อาจแห้งและแตกด้วย หรือเป็นตุ่มน้ำที่มีน้ำไหลออกมาก็ได้ ทำให้รู้สึกคันมาก และมักจะมีอาการกำเริบเป็นช่วงๆ

ตัวอย่างปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดผิวหนังอักเสบ

  • ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด
  • น้ำหอม
  • สบู่และน้ำยาซักผ้า
  • เครื่องสำอาง
  • ขนสัตว์
  • เหงื่อและความร้อน
  • ความเครียด
  • พันธุกรรม
  • ที่อยู่อาศัยอยู่ในเขตเมืองที่มีมลภาวะสูงและมีอากาศเย็น
  • มีคนในครอบครัวเป็นโรคหอบหืด หรือโรคภูมิแพ้

90% ของผู้ป่วยมักจะเป็นเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 5 ปี และ 50% ของผู้ใหญ่ที่เป็นโรคนี้ จะมีอาการตั้งแต่วัยเด็กจนกระทั่งเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตามอาการเหล่านี้มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย

มียาหลายชนิดที่สามารถใช้รักษาภาวะนี้ได้ เช่น

แพทย์จะช่วยวางแผนวิธีการรักษาที่เหมาะกับคุณ โดยเฉพาะการระบุสารที่อาจจะกระตุ้นให้เกิดอาการ เพื่อให้คุณลดการสัมผัสกับผิวบริเวณที่อักเสบได้ และโรคนี้ยังสามารถเกิดการติดเชื้อจากโรคอื่นได้ด้วย

ดังนั้น หากคุณเป็นโรคผิวหนังอักเสบ ควรหลีกเลี่ยงการอยู่รอบๆ คนที่เป็นโรคเริมหรืออีสุกอีใส เพราะจะทำให้คุณเสี่ยงต่อการเป็นโรคผิวหนังเอคซีมา เฮอร์เพติคัม (Eczema herpeticum) ซึ่งเป็นการติดเชื้อที่รุนแรง และติดต่อได้รวดเร็วมาก

4. ลมพิษ

ตุ่มแดงจากอาการลมพิษจะมีลักษณะเป็นผื่นแดง นูน คัน หรืออาจจะมีสีเดียวกับผิวก็ได้ และเมื่อกดผิวลง สีจะจางลงเป็นสีขาว สามารถพบที่ตำแหน่งใดก็ได้ในร่างกาย และพบได้ในผู้คนทุกช่วงอายุ

คุณสามารถเกิดลมพิษได้หลังจากสัมผัสกับสารที่กระตุ้นให้เกิดอาการ เช่น

  • อาหารบางชนิด
  • ยา
  • ละอองเกสร
  • ถุงมือยาง
  • ความร้อนหรือความเย็น
  • แมลง ซึ่งส่วนใหญ่มักทำให้เกิดอาการรุนแรง เช่น
    • ยุง
    • หมัด
    • ไรอ่อน
    • เห็บ
    • ตัวเรื้อน
    • หิด

การใช้คาลาไมน์โลชั่น (Calamine lotion) หรือยาสเตียรอยด์ อาจจะช่วยบรรเทาอาการคันจากการถูกแมลงกัดได้ แต่การป้องกันการถูกแมลงกัด จะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด โดยอาจจะใช้ยากันแมลงหรือใส่เสื้อผ้าให้คลุมผิวหนังให้ได้มากที่สุด

นอกจากนี้ลมพิษ อาจเกี่ยวข้องกับโรคบางโรคด้วย เช่น

  • ไข้หวัด
  • โพรงจมูกอักเสบ
  • โรคโมโนนิวคลิโอซิส (Mononucleosis)
  • โรคตับอักเสบ
  • โรคแพ้ภูมิตัวเอง

การสังเกตการติดเชื้อ

โดยทั่วไปการมีตุ่มแดงขึ้นตามขา ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล แต่การเป็นโรคทางผิวหนัง จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดการติดเชื้อที่รุนแรงได้

จึงควรรักษาตุ่มแดงตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และคอยสังเกตว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ เช่น

  • มีอาการบวมรอบๆ
  • ตุ่มแดงด้วย
  • มีจำนวนตุ่มมากขึ้น
  • มีผื่นแดงขึ้น
  • มีอาการปวด
  • แสบ
  • มีไข้
  • ตุ่มสีแดงกลายเป็นตุ่มน้ำ

ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ 

นอกจากปัจจัย และสาเหตุที่ทำให้เกิดตุ่มแดงตามกล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่ทำให้เกิดตุ่มแดงได้ เช่น

  • โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์เรื้อรัง (Chronic Lymphocytic Leukemia: CLL)
  • โรคเบาหวาน (Diabetes)
  • โรคเอดส์ หรือโรคต่างๆ ที่ทำให้คุณเสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มขึ้น
  • มีสิวหรือผิวหนังอักเสบ
  • ผิวหนังได้รับบาดเจ็บ
  • แช่น้ำร้อน หรืออาบน้ำร้อนบ่อยๆ
  • มีน้ำหนักเกิน

ภาวะการเกิดตุ่มแดงที่ขามักจะทำให้คัน และไม่สบายตัว แต่ไม่ได้เป็นอันตราย ยกเว้นแต่มีการติดเชื้อ หรือการอักเสบรุนแรงขึ้น เช่น ฝีฝักบัว (Carbuncle) หรือ เซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ (Cellulitis) ซึ่งส่วนมากอาการมักจะหายได้เอง อย่างไรก็ตาม หากมีอาการเหล่านี้มากว่า 10 วัน หรืออาการแย่ลง ควรไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยสาเหตุของการเกิดตุ่มแดงต่อไป


เปรียบเทียบราคาแพ็กเกจตรวจสุขภาพ

Scroll to Top