สรุปการรีวิว
ปิด
ปิด
- ปกติมินเป็นคนชอบออกกำลังกายอยู่แล้วค่ะ แต่จะเป็นการออกกำลังกายด้วยตัวเองไม่ได้มีเทรนเนอร์มาคอยดูแลให้ เพื่อนที่เป็นสายออกกำลังกายเลยเตือนว่าถ้าเล่นเองและไม่มีคนช่วยดูก็อาจจะทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ มินเลยอยากหาผู้ช่วยที่จะมาดูแลในส่วนนี้ค่ะ
- มินเลือกเข้าโปรแกรม All You Can Fits ที่ โรงพยาบาลพญาไท 1 เนื่องจากเป็นโปรแกรมตรวจที่น่าสนใจ ทำให้เราได้รู้จักโครงสร้างร่างกายของตัวเองมากขึ้น และได้ท่าออกกำลังกายที่เหมาะสมกับตัวเองด้วย
- โปรแกรม All You Can Fits เป็นโปรแกรมที่สามารถตรวจได้ทุกคนเลยค่ะ โดยเฉพาะผู้ที่ออกกำลังกายอยู่แล้วและอยากเข้าใจโครงสร้างร่างกายของตัวเองมากขึ้น รวมถึงนักกีฬาที่อยากจะเพิ่มศักยภาพของตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- รีวิวนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ #HDreview ได้รับการสปอนเซอร์จากทาง HDmall.co.th และ โรงพยาบาลพญาไท 1
- ดูรายละเอียด ราคาโปรแกรม All You Can Fits ที่ โรงพยาบาลพญาไท 1
- ดูโปรแกรมทั้งหมดจาก โรงพยาบาลพญาไท 1 บน HDmall.co.th
- สอบถามแอดมินเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพ็กเกจได้ที่ไลน์ @HDcoth
เลือกหัวข้อที่สนใจได้ที่นี่
ปกติมินเป็นคนที่ชอบออกกำลังกายอยู่แล้วค่ะ ส่วนใหญ่จะเน้นเดินชันบนลู่วิ่งและมียกดัมเบลบ้างนิดหน่อย โดยทั้งหมดนี้เป็นการออกกำลังกายด้วยตัวเองและเล่นตาม Youtube หมดเลย ไม่ได้มีเทรนเนอร์มาคอยสอนคอยคุมให้
เพื่อนที่เป็นสายออกกำลังกายก็เลยเตือนว่า ถ้าออกกำลังกายเองแบบนี้และทำท่าทางที่ไม่ถูกต้อง ก็อาจจะส่งผลเสียทำให้ร่างกายของเราบาดเจ็บและไม่ช่วยให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้
ซึ่งมินเองก็เคยมีอาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจากการออกกำลังกายเหมือนกัน อีกอย่างก็ไม่รู้ด้วยว่าที่เราเล่นไปนั้นมันเหมาะกับร่างกายของตัวเองรึเปล่า
มินเลยคิดว่าถ้าเราได้รู้จักโครงสร้างร่างกายของตัวเองและมีผู้ช่วยมาคอยดูแลคอยแนะนำท่าทางออกกำลังกายที่ถูกต้องเหมาะสมกับเราให้ก็คงดี มินเลยลองเสิร์ชหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับการตรวจร่างกายดูค่ะ
และมินก็ได้มาเจอกับแพ็กเกจตรวจความแข็งแรงของร่างกาย โปรแกรม All You Can Fits ที่ โรงพยาบาลพญาไท 1 บน HDmall.co.th ซึ่งเป็นโปรแกรมตรวจที่น่าสนใจและตรงกับสิ่งที่มินกำลังตามหามากๆ
เพราะโปรแกรมนี้จะทำให้มินได้รู้และเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างร่างกายของตัวเองมากขึ้น แถมยังมีนักกายภาพบำบัดมาออกแบบท่าออกกำลังกายที่เหมาะสมกับร่างกายของเราให้ด้วย ที่สำคัญคือแพ็กเกจนี้กำลังมีโปรโมชั่นราคาพิเศษอยู่ มินเลยไม่รอช้าตัดสินใจเลือกใช้บริการนี้ทันทีค่ะ
รีวิว ตรวจความแข็งแรงของร่างกาย โปรแกรม All You Can Fits ที่ รพ. พญาไท 1
มาถึงที่โรงพยาบาลพญาไท 1 ก็ติดต่อเจ้าหน้าที่หน้าเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ว่ามาใช้บริการตรวจความแข็งแรงของร่างกาย โปรแกรม All You Can Fits จองกับ HDmall.co.th เอาไว้
เจ้าหน้าที่ก็จะให้ไปที่ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูและกายภาพบำบัด อาคาร 1 ชั้น 6 พอขึ้นมาแล้วก็ยื่นคูปองที่ได้รับจาก HDmall.co.th ให้เจ้าหน้าที่ดูได้เลยค่ะ
จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะให้เราไปเปลี่ยนเป็นชุดออกกำลังกายก่อน เพราะฉะนั้นใครที่มาตรวจโปรแกรม All You Can Fits ก็อย่าลืมเอาเสื้อออกกำลังกายมาเปลี่ยนด้วยนะคะ
หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว ก่อนเริ่มตรวจก็จะมีนักกายภาพบำบัดนำเอกสารตรวจคัดกรองก่อนออกกำลังกายและสิ่งที่คาดหวังจากการเข้าโปรแกรม All You Can Fits มาให้กรอกข้อมูลก่อน จากนั้นก็จะแนะนำเกี่ยวกับโปรแกรมตรวจให้ฟังค่ะ
นักกายภาพบำบัดอธิบายให้ฟังว่า โปรแกรม All You Can Fits เป็นโปรแกรมที่สามารถตรวจได้ทุกคนเลย โดยเฉพาะผู้ที่ออกกำลังกายอยู่แล้วและอยากเข้าใจโครงสร้างร่างกายของตัวเองมากขึ้น รวมถึงนักกีฬาที่อยากจะเพิ่มศักยภาพของตัวเองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
โดยโปรแกรม All You Can Fits จะมีทั้งหมด 3 ขั้นตอนหลักๆ คือ Check-Body Check-Posture และ Check-Muscle หลังจากทำครบทั้ง 3 ขั้นตอนแล้วก็จะเป็นการอธิบายผลทั้งหมดและออกแบบท่าออกกำลังกายเฉพาะบุคคลให้ค่ะ
พอมินได้ฟังข้อมูลต่างๆ จากนักกายภาพบำบัดจบแล้ว มินก็พร้อมที่จะเริ่มตรวจความแข็งแรงของร่างกายแล้วค่ะ ขั้นตอนต่อไปเราก็ไปตรวจความแข็งแรงของร่างกาย โปรแกรม All You Can Fits กันเลย
ขั้นตอน Check-Body ตรวจเช็กรูปร่าง
Check-Body จะเป็นการตรวจเช็กรูปร่าง สัดส่วน ปริมาณกล้ามเนื้อ ไขมัน และน้ำในร่างกาย เพื่อวางโปรแกรมการกินอาหารและการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับเรามากขึ้น
โดยขั้นตอนแรกนักกายภาพบำบัดจะวัดความดัน วัดค่าออกซิเจน และชีพจรก่อนว่าเป็นยังไงบ้าง ซึ่งของมินค่าทุกอย่างก็ออกมาปกติดีไม่มีปัญหาอะไรค่ะ
ขั้นตอนถัดไป นักกายภาพบำบัดจะนำเครื่องวัดองค์ประกอบร่างกาย Omron ที่มีลักษณะคล้ายๆ กับเครื่องชั่งน้ำหนักมาวางไว้และให้ถอดรองเท้าขึ้นไปยืนบนเครื่อง
พอขึ้นไปยืนแล้ว เครื่องก็จะส่งข้อมูลองค์ประกอบร่างกายของเราเข้าไปประมวลผลใน IPad อีกทีนึง ขั้นตอนนี้ก็จะทำให้เรารู้ถึงค่าองค์ประกอบต่างๆ ของร่างกายทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นไขมัน กล้ามเนื้อ และการเผาผลาญของร่างกาย
หลังจากวัดองค์ประกอบร่างกายเสร็จแล้ว ขั้นตอนต่อไปนักกายภาพบำบัดก็จะนำสายวัดมาวัดที่รอบเอวเพื่อดูว่ารอบเอวของเราเกินมาตรฐานรึเปล่า ซึ่งของมินวัดออกมาได้ที่ 68 เซนติเมตร ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานค่ะ
ขั้นตอน Check-Posture ตรวจเช็กโครงสร้างร่างกาย
Check-Posture จะเป็นการตรวจเช็กโครงสร้างร่างกาย เพื่อดูภาพรวมสรีระร่างกายของเราว่าเป็นยังไงบ้าง มีตรงไหนต้องปรับปรุงแก้ไขรึเปล่า
ขั้นตอนการตรวจ Check-Posture นักกายภาพบำบัดก็จะให้มินไปยืนหน้าฉาก Posture Grid จากนั้นก็จะนำแว่นตาป้องกันแสงเลเซอร์มาให้ใส่ เนื่องจากนักกายภาพบำบัดจะต้องยิงแสงเลเซอร์มาที่ตัวเราเพื่อวัดโครงสร้างร่างกายด้วย
หลังจากเตรียมตัวเสร็จแล้ว นักกายภาพบำบัดก็แจ้งว่าจะถ่ายรูปเก็บไว้ทั้งหมด 4 รูป นั่นก็คือมุมด้านหน้า มุมด้านข้างซ้ายขวา และมุมด้านหลัง
จากนั้นก็จะให้เราย่ำเท้าไปมาซ้ายขวาเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลายก่อน เสร็จแล้วก็ให้ยืนตรงนิ่งๆ และถ่ายภาพเก็บไว้ทั้ง 4 มุมเลยค่ะ
ขั้นตอน Check-Muscle ตรวจเช็กกล้ามเนื้อ
Check-Muscle คือขั้นตอนการตรวจเช็กกล้ามเนื้อ เพื่อดูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแต่ละส่วนและนำมาออกแบบโปรแกรมออกกำลังกายที่เหมาะสมร่างกายของเรา โดยขั้นตอนนี้จะมีฐานทดสอบกล้ามเนื้อทั้งหมด 5 ฐานดังนี้ค่ะ
1. ตรวจสมรรถภาพความแข็งแรงของหลังและขา
ขั้นตอนนี้นักกายภาพบำบัดจะให้เราขึ้นไปยืนบนแท่นของเครื่อง Leg Dynamometer พร้อมกับให้ทำท่าเหมือนท่า Squad และจับสลักเอาไว้
จากนั้นนักกายภาพบำบัดก็จะให้ออกแรงที่หลังและขาเพื่อดึงสลักขึ้นมา โดยเราจะต้องทำการทดสอบนี้ทั้งหมด 2 รอบ และต้องออกแรงดึงสลักขึ้นมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
หลังจากดึงสลักขึ้นมาจนสุดแรงแล้ว เครื่องก็จะแสดงตัวเลขขึ้นมาว่ากำลังหลังและขาของเราได้ค่าอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่
สำหรับรอบแรกมินก็ได้ค่าอยู่ที่ 70.5 ค่ะ ซึ่งค่ามาตรฐานของผู้หญิงอายุช่วง 34 ปี จะต้องได้อยู่ที่ 86.60 ถึงจะถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี นักกายภาพบำบัดเลยแนะนำว่ารอบ 2 ให้ออกแรงมากกว่านี้และดึงขึ้นมาแรงๆ ทีเดียวเลย
หลังจากทดสอบรอบ 2 เสร็จแล้ว ปรากฎว่ารอบนี้ค่าของมินก็ขึ้นมาอยู่ที่ 76 เลยค่ะ ถือว่าค่ากำลังหลังและแขนเพิ่มขึ้นจากรอบแรกมาพอสมควรแต่ก็ยังไม่ถึงเกณฑ์มาตรฐานอยู่ดี
นักกายภาพบำบัดเลยบอกว่าได้เท่านี้ก็ถือว่าโอเคแล้ว ค่อยๆ ออกกำลังกายพัฒนากล้ามเนื้อต่อไปก็จะทำให้มีแรงมากขึ้นได้ค่ะ
2. ตรวจสมรรถภาพความแข็งแรงของมือและลำแขน
ขั้นตอนการตรวจความแข็งแรงของมือและลำแขน นักกายภาพบำบัดก็จะใช้เครื่อง Hand Grip Dynamometer ในการทดสอบ
ขั้นตอนแรกนักกายภาพบำบัดจะถามก่อนว่าปกติแล้วเราถนัดแขนข้างไหน มินก็บอกไปว่าถนัดข้างขวา จากนั้นเค้าก็จะให้ถือเครื่องและออกแรงบีบก้านจับไว้ให้แน่นที่สุด โดยจะทดสอบด้วยกันทั้งหมด 2 รอบ
สำหรับรอบแรกมินได้ค่าอยู่ที่ 22.5 ซึ่งถือว่ายังไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน เพราะเกณฑ์มาตรฐานจะต้องได้ 31.05
พอมารอบ 2 มินก็พยายามออกแรงให้เยอะที่สุดแต่ก็ดันได้น้อยลงอยู่ที่ 21.6 เนื่องจากแขนและมือมันล้าจากรอบแรกไปแล้ว อันนี้นักกายภาพบำบัดแนะนำให้ออกกำลังกายกล้ามเนื้อมือและแขนให้มากขึ้นค่ะ
3. ตรวจสมรรถภาพความยืดหยุ่นของหลังและลำตัวส่วนล่าง
ขั้นตอนนี้นักกายภาพบำบัดจะให้นั่งลงไปกับพื้นและเหยียดขาตรงไปข้างหน้า เข่าไม่งอ จากนั้นก็เหยียดแขนให้ปลายนิ้วไปแตะที่หัวก้านกลมๆ พร้อมกับโน้มตัวไปข้างหน้าให้ไกลที่สุดเลยค่ะ
การทดสอบนี้ก็จะทำทั้งหมด 2 รอบเช่นเดียวกัน หลังจากที่ทดสอบรอบแรกไปแล้ว มินก็ได้ค่าอยู่ที่ 1.8 จากค่ามาตรฐานที่ต้องได้คือ 13.20 ซึ่งถือว่าน้อยกว่ามาตรฐานไปเยอะพอสมควรเลย รอบสองมินเลยลองยืดใหม่แต่ก็ได้ขึ้นมาแค่ 3.9 เท่านั้น
นักกายภาพบำบัดเลยแนะนำว่าหลังจากนี้ให้ฝึกยืดตัวเยอะๆ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับหลังและลำตัวค่ะ
4. ตรวจสมรรถภาพความยืดหยุ่นของหลังและลำตัวส่วนบน
ขั้นตอนการตรวจความยืดหยุ่นของหลังและลำตัวส่วนบน นักกายภาพบำบัดจะให้ยืนตรงเอาแขนข้างนึงยกขึ้นไพล่หลังและให้ปลายนิ้วของแขนข้างที่ยกขึ้นแตะปลายนิ้วของแขนอีกข้างที่ไพล่หลังด้านล่างอยู่
จากนั้นนักกายภาพบำบัดก็จะนำสายวัดมาวัดดูระยะของปลายนิ้วที่แตะกันเลยค่ะ หลังจากนั้นนักกายภาพบำบัดก็จะให้นั่งพักก่อนประมาณ 5 นาทีก่อนที่จะถึงฐานสุดท้าย
5. ตรวจสมรรถภาพความทนทานของระบบหัวใจและการไหลเวียนเลือด
ฐานสุดท้ายจะเป็นการตรวจสมรรถภาพความทนทานของระบบหัวใจและการไหลเวียนเลือดค่ะ โดยขั้นตอนนี้นักกายภาพบำบัดจะนำกล่องสี่เหลี่ยมมาวางไว้และให้ก้าวขึ้นลงตามจังหวะที่เค้าจะเปิดให้เป็นเวลา 3 นาที
แต่ก่อนที่เค้าจะให้มินทำ นักกายภาพบำบัดก็จะสาธิตให้ดูก่อนค่ะว่าต้องก้าวขึ้นลงเป็นจังหวะยังไงบ้าง จากนั้นก็จะให้เราเริ่มทำการทดสอบจริงๆ เลย
ความรู้สึกระหว่างที่ทดสอบ มินก็ต้องบอกเลยค่ะว่าเท่าที่ทำมาทุกขั้นตอนอันนี้เหนื่อยที่สุดแล้ว แต่ก็ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ทนได้นะคะ เพราะปกติมินเป็นคนที่ออกกำลังกายด้วยการเดินชันบนลู่วิ่งอยู่แล้วเลยไม่ค่อยมีปัญหาอะไรค่ะ
พอทดสอบเสร็จแล้ว นักกายภาพบำบัดก็จะนำเครื่องวัดชีพจรมาวัดอัตราการเต้นหัวใจของเราว่าหลังจากทดสอบไปแล้วหัวใจเต้นอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่
ขั้นตอนการปรึกษากับนักกายภาพบำบัด
หลังจากที่มินได้ตรวจความแข็งแรงของร่างกายครบทุกขั้นตอนแล้ว ต่อไปก็จะเป็นการดูผลตรวจและพูดคุยปรึกษากับนักกายภาพบำบัดกันค่ะ
โดยนักกายภาพบำบัดจะเปิดผลตรวจให้ดูบนหน้าจอใหญ่พร้อมกับอธิายว่าผลตรวจแต่ละอย่างออกมาเป็นยังไงบ้าง
เริ่มจากผลตรวจเช็กรูปร่างก่อนเลยค่ะ โดยรวมแล้วมวลไขมันและมวลกล้ามเนื้อของมินก็อยู่ในเกณฑ์ที่ปกติดีไม่มีปัญหาอะไร
แต่จะมีอยู่เรื่องนึงที่ต้องเพิ่มก็คือน้ำหนักตัวค่ะ เนื่องจากน้ำหนักตัวของมินอยู่ที่ 46.3 กิโลกรัม ถ้าดูในค่าของดัชนีมวลกายหรือ BMI ก็ถือว่ายังต่ำกว่าเกณฑ์อยู่ นักกายภาพบำบัดเลยแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักตัวค่ะ
ในส่วนของผลตรวจเช็กโครงสร้างร่างกาย นักกายภาพบำบัดก็จะเปิดรูปที่ถ่ายไว้ 4 มุมให้ดู โดยจะค่อยๆ ไล่จากมุมด้านหน้า ด้านข้างซ้ายขวา และมุมด้านหลัง
จากภาพที่นักกายภาพบำบัดเปิดให้ดู มินก็สังเกตได้ว่าตัวเองเหมือนยืนบิดเอียงไปด้านหลังข้างขวานิดนึง นักกายภาพบำบัดเลยบอกว่าเราอาจจะเป็นคนที่ชอบยืนทิ้งน้ำหนักข้างขวามากกว่าข้างซ้าย ต่อจากนี้ก็ให้ลองสังเกตตัวเองดูว่าเวลาทำงานนานๆ เรายืนทิ้งขาข้างนึงรึเปล่า
ส่วนภาพด้านข้าง อันนี้ก็เห็นได้ชัดเลยค่ะว่ามินมีศีรษะยื่นไปข้างหน้า หลังเว้า และไหล่ซ้ายงุ้มกว่าข้างขวา ปัญหานี้เดี๋ยวนักกายภาพบำบัดก็จะช่วยออกแบบท่าออกกำลังกายที่ช่วยในเรื่องนี้ให้อีกทีนึงค่ะ
สุดท้ายเป็นผลตรวจเช็กกล้ามเนื้อ โดยรวมแล้วก็มีกล้ามเนื้อหลายตัวเลยค่ะที่ค่ายังไม่ถึงเกณฑ์มาตรฐานและจะต้องเพิ่มความแข็งแรงรวมถึงความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้ออยู่ หลักๆ ที่จะต้องเพิ่มก็มีกล้ามเนื้อสะโพก ขา และหลังค่ะ
ส่วนความทนทานของหัวใจที่ได้ทดสอบไป มินก็มีอัตราการเต้นของหัวใจที่มากกว่าปกตินิดหน่อย นักกายภาพบำบัดเลยแนะนำว่าให้ลองปรับการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอที่ปกติมินจะชอบออกแต่เดินชัน เป็นออกให้มีความหลากหลายมากขึ้นกว่านี้ดูค่ะ
ขั้นตอนการออกแบบท่าออกกำลังกายเฉพาะบุคคล
หลังจากดูผลตรวจและพูดคุยปรึกษากับนักกายภาพบำบัดเสร็จแล้ว ต่อมาก็จะเป็นขั้นตอนการออกแบบท่าออกกำลังกายเฉพาะบุคคลค่ะ
ก่อนอื่นเลยโปรแกรม All You Can Fits เค้าก็จะให้ FITS Band อุปกรณ์สำหรับการฝึกออกกำลังกายมาด้วย 1 อัน ซึ่ง FITS Band อันนี้ก็จะมีลักษณะเป็นยางยืดที่สามารถพับเก็บได้และพกไปได้ทุกที่เลยค่ะ
ท่าแรกจะเป็นท่าเพิ่มกล้ามเนื้อสะบัก โดยนักกายภาพบำบัดจะให้เอามือจับตัวยางยืดไว้ให้ตึงพอดี แขนอยู่ข้างลำตัว และค่อยๆ กางแขนออกพร้อมกับดึงตัวยางยืด ตอนดึงออกให้หายใจออก ตอนมือเข้าหากันให้หายใจเข้า ทำทั้งหมด 3 เซต เซตละ 10-15 ครั้งค่ะ
สำหรับท่านี้นักกายภาพบำบัดก็บอกว่านอกจากจะช่วยเรื่องไหล่แล้ว ยังช่วยในเรื่องของกำลังแขนได้อีกด้วย เนื่องจากตอนที่เราดึงยางยืดออกก็จะต้องออกแรงแขนด้วยเช่นเดียวกัน
ความรู้สึกตอนทำ มินจะบอกว่าท่านี้ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นท่าที่ง่าย แต่พอได้ทำจริงแล้วก็ยากเอาเรื่องอยู่เหมือนกันค่ะ รู้สึกเหมือนได้ออกแรงเยอะมากๆ
ท่าต่อมาเป็นการสร้างความแข็งแรงแกนกลางของกล้ามเนื้อช่วงท้อง นักกายภาพบำบัดจะให้นอนหงายและชันเข่าขึ้น จากนั้นก็ให้หายใจเข้าท้องป่อง หายใจออกท้องแฟบ และพยายามทำให้หลังของเราติดพื้นมากที่สุด พร้อมกับม้วนสะโพกขึ้นเหมือนขมิบก้นเอาไว้แปปนึงตอนหายใจออก
ท่านี้ก็จะทำทั้งหมด 3 เซต เซตละ 10-15 ครั้งเช่นเดียวกันค่ะ ความรู้สึกตอนทำก็จะมีความเกร็งๆ หน้าท้องนิดนึง มินคิดว่านอกจากจะช่วยแก้ปัญหาหลังเว้าที่ทำให้มีหน้าท้องได้แล้ว น่าจะช่วยทำให้มินมีกล้ามหน้าท้องที่สวยงามด้วยแน่นอน
ท่าสุดท้ายนักกายภาพบำบัดจะให้ชันเข่าขึ้นมาทีละข้างและเอามือทั้งสองข้างจับที่ขา จากนั้นก็โน้มขาเข้าหาลำตัวนิดนึงและยกขาขึ้นพร้อมกับกระดกเท้าค่ะ
ท่านี้ก็จะให้อารมณ์เหมือนกับยืดกล้ามเนื้อข้างหลังเลยค่ะ แต่จะเป็นท่าแบบนอนแทน ความรู้สึกตอนทำก็จะรู้สึกตึงๆ ที่หลังกับขานิดหน่อย ทำทั้งหมด 3 เซต เซตละ 10-15 ครั้งเหมือนกันค่ะ
ความประทับใจหลังเข้าโปรแกรม All You Can Fits ที่ รพ. พญาไท 1
สำหรับความประทับใจหลังเข้าโปรแกรม All You Can Fits ที่ รพ. พญาไท 1 อย่างแรกเลยมินก็รู้สึกว่าคิดไม่ผิดเลยค่ะที่ตัดสินใจมาตรวจความแข็งแรงของร่างกาย โปรแกรม All You Can Fits
เพราะการมาตรวจในครั้งนี้ก็ทำให้มินได้เข้าใจโครงสร้างร่างกายของตัวเองมากขึ้น ได้รู้ว่าเราควรจะต้องปรับหรือแก้ไขอะไรบ้าง แถมยังได้คำแนะนำดีๆ พร้อมกับท่าออกกำลังกายที่เหมาะสมกับเราจากนักกายภาพบำบัดอีกด้วย
นอกจากนั้นแล้วโปรแกรม All You Can Fits เค้ายังให้ FITS Band อุปกรณ์สำหรับการฝึกออกกำลังกายและ Education VDO วิดีโอสอนวิธีออกกำลังกายอย่างถูกวิธีกลับบ้านมาด้วย เรียกได้ว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถออกกำลังกายได้หมดเลยค่ะ
และที่พิเศษสุดๆ อีกอย่างนึงที่มินประทับใจก็คือ โปรแกรมนี้เราสามารถปรึกษากับ Health Coach ได้ฟรีตลอดระยะเวลา 3 เดือนผ่านทางออนไลน์เลย ถือว่าเป็นความใส่ใจที่ทางโรงพยาบาลพญาไท 1 เค้ามอบให้แบบจัดเต็มมากๆ ค่ะ
มินคิดว่าใครที่เป็นสายสุขภาพ สายออกกำลังกาย หรือใครที่อยากปรับสมดุลร่างกาย เพิ่มความแข็งแรงของสมรรถภาพร่างกายอยู่ มินก็แนะนำให้มาเข้าโปรแกรม All You Can Fits ที่ โรงพยาบาลพญาไท 1 เลยค่ะ รับรองว่าได้สุขภาพที่ดีและได้รู้จักร่างกายของตัวเองมากขึ้นแน่นอน
เพื่อนๆ สามารถเข้าไปจองแพ็กเกจดีๆ แบบนี้บน HDmall.co.th ได้เลยนะคะ ในนี้เค้ารวบรวมแพ็กเกจราคาดีๆ โปรโมชั่นโดนๆ จากโรงพยาบาลพญาไท 1 ไว้อยู่เพียบเลย ห้ามพลาดเด็ดขาดเลยค่ะ