ก่อนจะรู้จัก ยาช่วยย่อย ควรทำความรู้จักอาการอาหารไม่ย่อย (Dyspepsia) ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดท้องส่วนบน ท้องอืด จุกเสียดแน่นท้องบริเวณลิ้นปี่ รู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว คลื่นไส้ เรอ อาเจียน บางคนอาจมีอาการแสบร้อนกลางอกหลังรับประทานอาหาร พบได้บ่อยในผู้ที่รับประทานอาหารแล้วนอนทันที หรือกินอาหารไม่เป็นเวลา น้ำย่อยจึงหลั่งไม่เหมาะสม และผู้ที่มีระบบย่อยอาหารผิดปกติ
อาการเหล่านี้ส่วนใหญ่จะดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป แต่ในผู้ป่วยบางรายก็เป็นอยู่นาน
อาการที่เกิดจากอาหารไม่ย่อยสามารถรักษาให้หายได้ด้วยยาช่วยย่อย หรือการปรับพฤติกรรมในการใช้ชีวิต
สารบัญ
ถ้าไม่กินยาช่วยย่อย จะรักษาอาการอาหารไม่ย่อยเองได้อย่างไร?
เมื่อมีอาการอาหารไม่ย่อยแล้วไปปรึกษาแพทย์ ก่อนสั่ง ยาช่วยย่อย ให้รับประทาน แพทย์มักแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการใช้ชีวิต เช่น
- ลดการรับประทานอาหารเผ็ดร้อน อาหารรสจัด มีไขมันมาก และอาหารย่อยยาก
- งดการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์ หรือน้ำอัดลม และการสูบบุหรี่ ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหากรดหลั่งเกินในกระเพาะอาหาร
- ไม่นอนทันทีภายหลังการรับประทานอาหาร เปลี่ยนเป็นนั่งพักอย่างน้อย 30 นาทีก่อน
หากลองปรับพฤติกรรมแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น แพทย์อาจจ่ายยาเพื่อรักษา ซึ่งผู้ที่เคยรับประทานยาช่วยย่อยอาจจำลักษณะยาได้ว่ามีแบบรูปสามเหลี่ยม 3 ชั้น บางครั้งได้เป็นเม็ดยาเคลือบสีขาว หรือยาช่วยย่อยเม็ดสีส้ม ยาเหล่านั้นมีวิธีรับประทานเหมือนกัน แต่ภายในประกอบด้วยสารต่างชนิดกัน
ยาช่วยย่อยที่นิยมใช้
- ยาที่ประกอบด้วยเอนไซม์: ยาเหล่านี้จะช่วยเสริมเอนไซม์ที่ร่างกายผลิตเอง ทำให้การย่อยอาหารเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- ยาที่ลดกรดในกระเพาะอาหาร: ยาเหล่านี้จะช่วยลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้บรรเทาอาการแสบร้อนกลางอกและอาหารไม่ย่อยได้
- ยาสมุนไพร: ยาหอมนวโกฐ, ยาสมุนไพรสูตรต่างๆ ซึ่งมักมีส่วนผสมของสมุนไพรหลายชนิดที่ช่วยในการย่อยอาหารและลดอาการท้องอืด
วิธีรับประทานยาช่วยย่อยที่ถูกต้อง
ยาช่วยย่อยส่วนใหญ่มีวิธีรับประทานเหมือนกัน คือ ให้รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด วันละ 3 เวลา หลังอาหาร เวลามีอาการอาหารไม่ย่อย จุกเสียด หรือแน่นท้อง เป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัย ไม่พบผลข้างเคียง
ที่สำคัญ ก่อนเลือกใช้ยาช่วยย่อย ควรปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์เพื่อให้ได้ยาที่เหมาะสมกับอาการและสภาพร่างกาย อ่านฉลากยาอย่างละเอียดเพื่อทราบถึงส่วนประกอบ วิธีใช้ และข้อควรระวัง ไม่ควรใช้ยาเกินขนาดหรือใช้ยาติดต่อกันเป็นเวลานาน หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์