ฟันขาว มีกี่วิธี กี่แบบ ฟอกเองได้ไหม เตรียมตัวอย่างไร


ฟันขาว มีกี่วิธี ฟอกเองได้ไหม

ปัญหาฟันเหลือง สีฟันขุ่นไม่ขาวใส เป็นอีกปัญหาเกี่ยวกับภาพลักษณ์ที่หลายคนกำลังเผชิญ ซึ่งส่งผลทำให้เกิดความไม่มั่นใจ ไม่กล้ายิ้มให้ใครเห็น เพราะกังวลเกี่ยวกับสีฟันที่ไม่สวยงาม 

เทคโนโลยีการฟอกสีฟัน จึงเป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ผู้คนในปัจจุบันนิยมทำกัน เพื่อให้สีเนื้อฟันออกมาขาวสว่าง เสริมความมั่นใจให้กับบุคลิกภาพ และขจัดปัญหาสีฟันขุ่นหมองให้หมดไป

ความหมายของการฟอกสีฟัน

การฟอกสีฟัน หรือฟอกฟันขาว (Teeth Whitening) คือ การเปลี่ยนสีฟันที่ขุ่นหมองให้กลับมาขาวสดใสโดยใช้ผลิตภัณฑ์ หรือสารต่างๆ สำหรับฟอกสีฟัน 

สำหรับสารฟอกสีฟันที่ส่วนมากนิยมใช้กัน คือ สารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ (Hydrogenperoxide) ซึ่งเป็นสารที่จะเข้าไปทำปฏิกิริยา ทำให้เม็ดสีบนเนื้อฟันแตกตัวออก และทำให้ฟันดูขาวสว่างขึ้น โดยไม่ส่งผลต่อสารเคลือบฟันธรรมชาติ และโครงสร้างของฟัน

การฟอกสีฟันจึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีฟันเหลือง หรือฟันสีคล้ำ ขุ่น ที่ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุมาจากคราบฟัน หรือเป็นสีฟันธรรมชาติ และยังเป็นวิธีที่สามารถทำเองได้ที่บ้าน หรือไปทำที่คลินิกทันตกรรมก็ได้

ฟันเหลืองเกิดจากอะไร

สาเหตุที่ทำให้ฟันเหลือง คล้ำ หรือขุ่นหมอง เกิดได้ทั้งจากปัจจัยภายในตัวฟัน (Intrinsic) และปัจจัยภายนอกตัวฟัน (Extrinsic)

  • ปัจจัยภายในตัวฟัน เช่น ฟันตายทำให้ไม่มีเลือดและประสาทมาหล่อเลี้ยง ฟันจึงมีสีทึบ หรือมีการสะสมของสารมีสีขณะสร้างฟัน ทำให้ฟันมีสีขุ่นโดยธรรมชาติ การได้รับยาบางชนิดในช่วงวัยเด็ก การเป็นโรคที่ส่งผลต่อความผิดปกติของโครงสร้างฟัน
  • ปัจจัยภายนอกตัวฟัน เช่น ได้รับอุบัติเหตุที่ฟัน เช่น การกระแทก มีการสะสมของคราบ หรือสีบนฟัน ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมต่างๆ ได้แก่
    • การทำความสะอาดช่องปากไม่ดีพอ หลังการรับประทานอาหาร และเครื่องดื่ม เช่น แปรงฟันไม่สะอาด ทำให้มีคราบอาหาร แบคทีเรีย และหินปูนสะสมบนเนื้อฟัน
    • การรับประทานอาหารที่มีสี เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม ไวน์ ลูกอม
    • การสูบบุหรี่เป็นประจำ
    • การรับยาบางชนิดเป็นเวลานาน เช่น กลุ่มยาเตตระไซคลิน (Tetracycline)
    • การมีอายุมากขึ้น ทำให้เกิดการสะสมของเม็ดสีในเนื้อฟัน

สาเหตุที่กล่าวมานี้ทำให้ฟันเหลือง ไม่สดใส แม้จะเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ยาก แต่เราสามารถเปลี่ยนสีฟันให้กลับมาขาวสดใส และมีรอยยิ้มที่มั่นใจได้ด้วยการฟอกสีฟัน 

อย่างไรก็ตาม การฟอกสีฟันไม่มีผลต่อวัสดุอุดเดิม และครอบฟันเดิม ฉะนั้นเมื่อฟอกสีฟันแล้ว หากต้องการความสวยงามควรเปลี่ยนวัสดุเหล่านั้นให้มีสีเหมือนฟันที่ฟอกแล้ว

การฟอกสีฟันขาวมีกี่วิธี

การฟอกฟันขาวแบ่งได้เป็น 5 วิธี ได้แก่

1. การฟอกสีฟันที่คลินิกโดยทันตแพทย์ (In-office power bleaching)

เป็นวิธีฟอกสีฟันที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจน จะต้องทำที่คลินิกโดยทันตแพทย์เท่านั้น เนื่องจากต้องใช้น้ำยาฟอกสีฟันที่มีส่วนผสมของสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เข้มข้นสูง ประมาณ 35% ซึ่งคลินิกทันตกรรมแต่ละแห่งอาจมีเครื่องมือ และเทคโนโลยีต่างกันไป เช่น

  • ฟอกสีฟันด้วยเทคโนโลยี Zoom เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานแสงสีฟ้าชนิดเข้มข้นมากระตุ้นการทำงานของน้ำยาฟอกฟันด้วย ทำให้สารในน้ำยาฟอกฟันแทรกซึมเข้าสู่ชั้นผิวฟัน และกำจัดคราบ หรือเม็ดสีบนเนื้อฟันได้ดีขึ้นโดยไม่ทำลายโครงสร้างของฟัน
  • การฟอกสีฟันแบบเลเซอร์ เทคโนโลยีที่ใช้ลำแสงเลเซอร์ ซึ่งเป็นแสงที่มีความยาวคลื่นเฉพาะ และมีความร้อนต่ำมาก มากระตุ้นประสิทธิภาพของน้ำยาฟอกสีฟันให้ทำงานได้ดีขึ้น
  • ฟอกสีฟันด้วยเทคโนโลยี Cool Light เป็นการใช้แสง "แสงเย็น" ซึ่งเป็นแสง LED ไปกระตุ้นประสิทธิภาพของน้ำยาฟอกสีฟันให้สามารถแทรกซึมเข้าไปในผิวฟัน และทำปฏิกิริยาให้เม็ดสีบนเนื้อฟันเกิดการแตกตัวได้ดีขึ้น

2. การฟอกสีฟันด้วยตัวเองที่บ้าน (At-home bleaching)

เป็นการฟอกสีฟันที่บ้านซึ่งทำได้ด้วยตัวเอง โดยทั่วไปจะใช้สารฟอกสีฟันเป็นไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ความเข้มข้นต่ำ ประมาณ 10% ร่วมกับการใช้อุปกรณ์อื่นๆ เช่น ไซริงค์ หรือถาดครอบฟันที่พิมพ์โดยทันตแพทย์ 

อย่างไรก็ตาม การฟอกสีฟันด้วยตัวเองมักให้ผลลัพธ์ที่ไม่ยั่งยืน ทางที่ดีจึงควรปรึกษาทันตแพทย์ก่อนที่จะตัดสินใจฟอกสีฟันเอง

3. การฟอกสีฟันที่คลินิกร่วมกับทำด้วยตัวเอง (In-office assisted bleaching)

เป็นการฟอกสีฟันที่คลินิกร่วมกับทำด้วยตนเองใช้ในกรณีที่สีฟันเริ่มต้นเหลือง หรือเข้มมาก ทันตแพทย์จะเริ่มจากการใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์เข้มข้นสูง เพื่อให้ฟันขาวขึ้นในระดับหนึ่งก่อน

หลังจากนั้น แพทย์จะให้อุปกรณ์ฟอกสีฟันให้ผู้เข้ารับบริการกลับไปฟอกที่บ้าน โดยน้ำยาฟอกที่ได้รับมาจะใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ที่มีความเข้มข้นต่ำกว่าสารที่ฟอกที่คลินิกในครั้งแรก 

วิธีฟอกนิยมใช้กัน คือ ใส่น้ำยาฟอกลงไปในรีเทนเนอร์ตัวพิมพ์ฟันของทางคลิกนิก แล้วใส่ครอบฟันทิ้งไว้ประมาณ 2-4 ชั่วโมงต่อวัน หรือฟอกทิ้งไว้ระหว่างนอนตอนกลางคืน

4. การฟอกสีฟันด้วยผลิตภัณฑ์ฟอกสีฟันสำเร็จรูปทั่วไป (Over-the-counter bleaching)

เป็นการใช้ผลิตภัณฑ์ฟอกสีฟันสำเร็จรูปซึ่งมีวางจำหน่ายทั่วไป ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะมีไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ความเข้มข้นต่ำเป็นส่วนประกอบ เช่น เจลฟอกสีฟัน ยาสีฟัน และน้ำยาบ้วนปากสำหรับฟันขาว ซึ่งสามารถหาซื้อมาใช้เองได้โดยไม่ต้องปรึกษาทันตแพทย์ก่อน

5. การฟอกสีฟันเฉพาะซี่ (Walking bleaching)

เป็นการฟอกสีฟันเฉพาะซี่ซึ่งใช้ในกรณีที่ฟันตาย ทันตแพทย์จะใส่สารฟอกสีฟันเข้าไปในตัวฟันซี่นั้นๆ และปิดช่องทางเข้า สารฟอกสีฟันจะช่วยให้ฟันซี่ดังกล่าวค่อยๆ ขาวขึ้นเรื่อยๆ หากฟันยังมีสีคล้ำอยู่ก็สามารถเติมสารฟอกสีฟันเข้าไปเพิ่มได้

การเลือกวิธีฟอกสีฟันนั้นจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สุขภาพฟัน สีของเนื้อฟัน และทุนทรัพย์ เป็นต้น สำหรับผู้ที่อยากมีฟันขาวใสสุขภาพดีก็ควรเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเอง ควรศึกษาข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธีก่อนทำ เพื่อที่จะได้ฟอกสีฟันอย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจน

การทำวีเนียร์ อีกทางเลือกทำให้ฟันขาว นอกจากการฟอกสีฟัน

นอกจากการฟอกสีฟันที่เป็นการลงน้ำยากับคลื่นแสงพิเศษเพื่อเข้าไปกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงของสีเนื้อฟัน ก็ยังมีอีกเทคนิคที่สามารถช่วยเปลี่ยนแปลงสีฟันของคุณให้ขาวสว่างขึ้นได้ นั่นก็คือ การทำวีเนียร์ 

การทำวีเนียร์ (Veneer) คือ การเคลือบผิวหน้าฟันด้วยการแปะวัสดุที่มีสีคล้ายกับสีของฟัน แต่มีความขาวสว่าง และมีรูปร่างสวยงามกว่าลงไปที่หน้าฟัน โดยวัสดุที่นิยมใช้กันจะเป็นเรซินคอมโพสิต วัสดุพอร์ซเลน หรือวัสดุเซรามิก

การทำวีเนียร์มีจุดเด่นที่การฟอกสีฟันทำไม่ได้อยู่ นั่นก็คือ ช่วยขจัดปัญหาลักษณะรูปฟันที่ไม่สวยด้วย นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงสีฟัน เพราะการทำวีเนียร์เป็นการแปะวัสดุรูปร่าง และสีเหมือนฟันลงไปที่หน้าฟันเลย จึงช่วยบดบังตัวฟันแท้ที่อยู่ด้านหลังซึ่งอาจมีทั้งรูปร่าง และสีไม่สวยงาม

ผู้ที่เหมาะสำหรับการทำวีเนียร์จึงไม่ใช่แค่ผู้ที่มีสีฟันหมองคล้ำเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงผู้ที่มีฟันบิ่น หัก แตก ลักษณะฟันกว้าง และยาวไม่เท่ากัน ฟันแต่ละซี่มีการเรียงตัวห่างกันจนเกิดช่องว่างระหว่างซี่ฟันอย่างเห็นได้ชัด

ผลข้างเคียงจากการฟอกสีฟัน

  • มีอาการเสียวฟัน เป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุด ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงแรก และมีอาการอยู่ประมาณ 1–3 วัน จึงค่อยๆ หายไป
    อาการเสียวฟัน เป็นอาการที่เกิดจากน้ำยาฟอกสีฟันไปทำให้เม็ดสีของฟันแตกตัวออกเป็นโมเลกุลเล็กๆ ทำให้เนื้อฟันถูกดึงน้ำออกไปด้วย และไปกระตุ้นปลายประสาทในเนื้อฟันที่ไวต่ออุณหภูมิทำให้รู้สึกเสียวฟัน 
  • เหงือกเป็นแผล หากน้ำยาฟอกสีฟันสัมผัสบริเวณเหงือกอาจทำให้เกิดแผลได้

ฟอกสีฟันด้วยตนเอง หรือฟอกกับทันตแพทย์ดีกว่ากัน?

หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วตนเองควรฟอกสีฟันกับทันตแพทย์ หรือฟอกด้วยตนเองก็ได้ คำตอบ คือ การฟอกสีฟันทั้ง 2 แบบมีข้อดีข้อเสียต่างกัน ดังต่อไปนี้

  • การฟอกสีฟันด้วยตนเอง ไม่ต้องไปพบทันตแพทย์ ราคาค่าอุปกรณ์จะถูกกว่ามาก หาซื้อได้ง่าย และสะดวกสบายกว่า สามารถจัดเวลาฟอกสีฟันได้เอง แต่มีข้อเสีย คือ น้ำยาฟอกสีฟันมักไม่เข้มข้น ทำให้ฟันอาจมีสีไม่ขาวสว่างขึ้นนัก เห็นผลช้า และมักขาวสว่างได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ

    นอกจากนี้ในระหว่างฟอกสีฟัน หากสุขภาพฟันมีความผิดปกติ คุณก็ไม่อาจรู้ด้วย เพราะไม่ได้ตรวจฟันก่อนฟอกสีฟัน

  • การฟอกสีฟันกับทันตแพทย์ จะได้รับการตรวจสุขภาพฟัน และขูดหินปูนก่อน แต่ค่าอุปกรณ์ และค่าฟอกสีฟันจะแพงกว่า และอาจต้องกลับมาให้ทันตแพทย์ตรวจสีฟันอีกครั้งหลังฟอกแล้วประมาณ 1 สัปดาห์ แต่สีฟันที่ฟอกมาจะมีโอกาสสว่าง และคงทนกว่าอุปกรณ์ฟอกสีฟันด้วยตนเอง

การดูแลหลังการฟอกสีฟัน

  • ทำความสะอาดช่องปากตามปกติด้วยการแปรงฟัน ใช้ไหมขัดฟัน และบ้วนปากเป็นประจำ อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง
  • อาจใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของโพแทสเซียมไนเตรต เพื่อป้องกันอาการเสียวฟันด้วย
  • หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่ทำให้เกิดสีและคราบบนฟัน เช่น ชา กาแฟ ไวน์ ซอส ลูกอม หากจำเป็นต้องดื่มเครื่องดื่มดังกล่าวควรใช้หลอดดูดแทนการดื่มจากแก้ว
  • งดรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรด เช่น ผลไม้รสเปรี้ยว และอาหารที่ร้อน หรือเย็นเกินไป
  • งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 1 สัปดาห์ หลังการฟอกสีฟัน
  • หากมีอาการเสียวฟันมากสามารถรับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการได้

เลือกคลินิกฟอกสีฟันอย่างไร

ไม่ว่าจะเป็นการจัดฟัน ขูดหินปูน หรือฟอกสีฟัน ผู้ใช้บริการจะต้องเลือกคลินิกทันตกรรมที่ได้รับมาตรฐานเพื่อความปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ที่ดี โดยมีวิธีคัดกรองง่ายๆ ดังนี้

  • คลินิกจะต้องมีใบอนุญาตถูกต้อง คลินิกที่มีมาตรฐานน่าเชื่อถือ จะต้องได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข หรือสาธารณสุขจังหวัด จึงจะมั่นใจได้ว่าปลอดภัยต่อผู้ใช้บริการ
  • ทันตแพทย์มีความเชี่ยวชาญ การฟอกสีฟันต้องใช้เครื่องมือ และน้ำยาเคมีเฉพาะ ซึ่งหากทำโดยไม่ระวังอาจส่งผลข้างเคียงต่อผู้ใช้บริการได้ ดังนั้นทันตแพทย์ที่ดำเนินการต้องเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญในการฟอกสีฟันด้วยเช่นกัน

วิธีป้องกันการเกิดคราบฟัน

การฟอกสีฟันไม่ได้ทำให้ฟันขาวถาวร แต่ฟันที่ผ่านการฟอกจะมีสีคล้ำขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป โดยเฉพาะเมื่อเกิดคราบสะสมบนฟัน ดังนั้นเราควรมีวิธีป้องกันการเกิดคราบฟันเพื่อให้ฟันขาวสดใสอยู่กับเรายาวนานได้ดังนี้

  • ทำความสะอาดฟัน และช่องปากให้ดีอยู่เสมอ โดยการแปรงฟันอย่างถูกวิธีอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ใช้ไหมขัดฟัน และบ้วนปากด้วยน้ำเกลือ หรือน้ำยาบ้วนปากที่มีฟลูออไรด์ เพื่อลดการสะสมของคราบหินปูน และแบคทีเรียบนเนื้อฟัน
  • ลดการรับประทานอาหาร และเครื่องดื่มที่ทำให้เกิดคราบบนฟัน เช่น ชา กาแฟ ลูกอม
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
  • พบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันเป็นประจำทุกๆ 6 เดือน

อย่างไรก็ตาม การฟอกสีฟันไม่ใช่กระบวนการตามธรรมชาติจึงมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้ดังที่กล่าวมา จึงควรศึกษาก่อนตัดสินใจฟอกสีฟันเพื่อให้มั่นใจว่า จะมีสีฟันที่ขาวดั่งต้องการ ปลอดภัยต่อฟัน และช่องปากจริงๆ

คำถามที่พบบ่อย

1. หากฟันผุจำเป็นต้องอุดฟันก่อนหรือไม่?

คำตอบ: ต้องดูตำแหน่งที่ฟันผุก่อน หากตำแหน่งที่ผุอยู่ด้านในของฟันสามารถฟอกสีฟันได้ แล้วแนะนำให้มาอุดฟันหลังฟอกสีฟันเสร็จเพื่อที่จะได้เลือกสีวัสดุให้เหมาะกับสีฟันที่ขาวขึ้นแล้ว

2. หากอยู่ระหว่างจัดฟันสามารถฟอกสีฟันได้หรือไม่?

คำตอบ: หากใส่ชุดเครื่องมือจัดฟันติดแน่นแบบลวดโลหะ ฟอกสีฟันไม่ได้ หากใส่เครื่องมือจัดฟันแบบใส สามารถฟอกสีฟันได้แต่ไม่แนะนำ วิธีที่ดีที่สุดแนะนำให้ฟอกสีฟันหลังถอดเครื่องมือจัดฟันทุกแบบออกเรียบร้อยเเล้ว

3. การฟอกสีฟันสามารถทำให้วัสดุอุดฟัน หรือต่อฟันขาวขึ้นหรือไม่?

คำตอบ: ฟอกสีฟันจะเปลี่ยนเฉพาะ “ฟันจริง” เท่านั้น ส่วนวัสดุอุดฟันต่างๆ รวมไปถึงการครอบฟัน หรือเคลือบฟันจะยังคงเป็นสีเดิม หากต้องการฟอกสีฟันก็สามารถทำได้ แต่เฉดสีที่ได้จะไม่เท่ากัน แนะนำให้เปลี่ยนวัสดุที่ใช้ในการบูรณะฟันนั้นๆ ให้มีสีใกล้เคียงกับฟันที่ผ่านการฟอกสี

เปรียบเทียบราคาโปรโมชั่นแพ็กเกจฟอกสีฟัน


ที่มาของข้อมูล

ขยาย

ปิด

@‌hdcoth line chat