ตากระตุกข้างขวา หรือ ตากระตุกข้างซ้าย ตามความเชื่อของคนไทยก็อาจเป็นลางได้ทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี ซึ่งอาจพิสูจน์ไม่ได้ แต่ในทางการแพทย์สามารถพิสูจน์ได้ว่า ตากระตุกเป็นอีกหนึ่งอาการที่ไม่ควรมองข้าม เพราะบางครั้งอาการกระตุกอาจเป็นสัญญาณของภาวะหรือโรคบางอย่างก็เป็นได้
สารบัญ
ความหมายของอาการตากระตุก
ตากระตุก (eyelid twitch) เป็นอาการกระตุกที่เกิดขึ้นกับเปลือกตาซึ่งเป็นได้ทั้งเปลือกตาล่างและเปลือกตาบน แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดขึ้นที่เปลือกตาด้านบน โดยปกติการกระตุกเกร็งของเปลือกตานั้นจะไม่รุนแรงมากนัก
ในผู้ป่วยบางรายก็มีปัญหาตากระตุกจนทำให้เปลือกตาปิดลงมาได้ อาจปิดข้างใดข้างหนึ่ง เช่น ตากระตุกข้างขวา บางรายอาจจะมีอาการอื่นๆ เพิ่มเติม ซึ่งเป็นสาเหตุของความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับระบบประสาท
ตากระตุกข้างขวาหรือซ้าย ตามความเชื่อโบราณ ถูกตีความว่าเป็นลางบอกเหตุ
- ตากระตุกข้างขวา อาจจะได้รับโชคลาภ, สิ่งของจากญาติมิตร หรือ ได้พบกับญาติที่ขาดการติดต่อกันไปนาน
- ตากระตุกข้างซ้าย อาจจะได้งานใหม่ หรือ เลื่อนตำแหน่ง หรือ มีโอกาสได้พบปะผู้ใหญ่ เจ้านาย หรือ ลูกค้าสำคัญ
รวมถึงตากระตุกตอนเช้า ตอนบ่าย และตอนเย็น ก็จะมีความเชื่อหลายอย่าง
อย่างไรก็ตาม ความเชื่อเหล่านี้ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ สาเหตุที่แท้จริงของอาการตากระตุก มักเกิดจาก ความเครียด ความเหนื่อยล้า การพักผ่อนไม่เพียงพอ การใช้สายตาหนัก หรือ ภาวะขาดวิตามินบางชนิด อาจเป็นลางบอกเหตุว่ากำลังเป็นโรคบางอย่างที่ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว
สาเหตุของอาการตากระตุก
อาการตากระตุก มักเกิดจากการนำไฟฟ้าของกระแสประสาทจากสมองมาที่กล้ามเนื้อเปลือกตา ซึ่งในปัจจุบันยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่า อาการนี้เกิดจากสาเหตุอะไร เพราะในบางครั้งอาการตากระตุกก็อาจเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว หรือไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า แต่ทั้งนี้ก็ยังมีสาเหตุร่วมที่สามารถอธิบายได้ดังนี้
1. ความเครียด
หากเกิดความเครียด ร่างกายจะตอบสนองโดยทำให้เกิดอาการตากระตุกขึ้นได้ เนื่องจากความเครียดมีผลต่อการหลั่งฮอร์โมนบางตัว ซึ่งฮอร์โมนเองก็ส่งผลต่อกล้ามเนื้อได้โดยตรงนั่นเอง
2. นอนไม่เป็นเวลา
โดยปกติแล้ว กลางคืนเป็นช่วงเวลาที่ควรนอนหลับพักผ่อน แต่บางคนกลับใช้เวลากลางคืนในการทำงาน หรืออ่านหนังสือ ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อตาต้องใช้งานมากกว่าปกติ ส่งผลให้กล้ามเนื้อเกิดอาการล้าและนำมาซึ่งอาการตากระตุกได้
3. ตาแห้ง
อาการตาแห้งสามารถเกิดได้จากการจ้องคอมพิวเตอร์นานกว่า 7 ชั่วโมงขึ้นไป ซึ่งทำให้สารธรรมชาติที่ช่วยในการหล่อลื่นดวงตาลดลงจนทำให้เกิดอาการตาแห้งได้ โดยเหตุนี้อาจทำให้เกิดอาการตากระตุกตามมา
4. ขาดวิตามิน B12
อาการตากระตุกสามารถเกิดขึ้นจากการที่ร่างกายได้รับวิตามินบี 12 ไม่เพียงพอ ทำให้กล้ามเนื้อและเส้นประสาทมีปัญหาและเกิดอาการกระตุกขึ้น
5. โรคภูมิแพ้
โรคภูมิแพ้ส่วนใหญ่มีความเกี่ยวข้องต่อการเกิดอาการตาแห้งและคันได้ซึ่งเป็นอาการที่ส่งผลกระตุ้นต่อการเกิดอาการตากระตุก เนื่องจากฮีสตามีนจะถูกปล่อยผ่านทางเนื้อเยื่อ อันเป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญ
ภาวะตากระตุกแบบเรื้อรัง
อาการตากระตุกแบบเรื้อรัง สามารถที่จะเรียกได้ว่า “โรคตากระปริบ (Bleb pharospasm)” ซึ่งเป็นอาการของตากระตุกเช่นเดียวกัน โดยจะเกิดการกระตุกของหนังตาทั้ง 2 ข้าง โดยมีสาเหตุ ได้แก่
- การดื่มแอลกอฮอล์ หรือคาเฟอีนมากจนเกินไป
- เยื่อบุตาอักเสบ
- การระคายเคืองกับสิ่งแวดล้อม
- ภาวะไวต่อแสง
ลักษณะอาการตากระตุก
อาการตากระตุกมักจะเป็นกับเปลือกตาบน แต่ละรายจะมีระดับความรุนแรงในการกระตุกที่แตกต่างกันไป แต่ส่วนมากมักพบอยู่ในระดับไม่รุนแรง ในบางรายก็อาจก่อให้เกิดความรำคาญเพราะมีการกระตุกของใบหน้าควบคู่กันด้วย
อาการตากระตุกไม่ว่าจะข้างขวาหรือข้างซ้าย เมื่อเป็นแล้วมักจะไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดใดๆ และไม่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย อีกทั้งยังสามารถหายได้เองโดยที่ไม่ต้องเข้ารับการรักษา
ในบางกรณีการเกิดตากระตุก อาจเป็นสัญญาณแฝงของโรคเรื้อรัง หรือมีความรุนแรงควบคู่ ก็มักจะพบอาการเหล่านี้ได้น้อย โดยเฉพาะผู้ป่วยบางรายที่มักจะมีอาการกระตุกในส่วนอื่นๆ ของใบหน้าที่เกิดขึ้นร่วมด้วย
ภาวะแทรกซ้อนของอาการตากระตุก
- โรคอัมพาตใบหน้า (Bell’s palsy) มักจะเกิดร่วมกับอาการตากระตุก โดยจะเกิดจากการที่เส้นประสาทบนใบหน้าอักเสบและบวม
- ภาวะกล้ามเนื้อบิดเกร็ง (dystonia) เป็นภาวะที่กล้ามเนื้อเกิดความผิดปกติในการเคลื่อนไหว โดยที่ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้และจะมีการเป็นซ้ำๆ
- โรคคอบิดเกร็ง (cervical dystonia) อาการจะมีความคล้ายคลึงกันกับภาวะกล้ามเนื้อบิดเกร็งทั่วไป แต่ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นบริเวณกล้ามเนื้อคอ
- โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (Multiple sclerosis) เป็นโรคที่เกิดจากปลอกประสาทในระบบประสาทอักเสบ
- โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) เป็นโรคที่ทำให้ร่างกายเกิดอาการสั่นอยู่ตลอดเวลา
- โรคทูเร็ตต์ (Tourette’s syndrome) เป็นกลุ่มอาการชนิดหนึ่งที่มีความผิดปกติทางระบบประสาทจนทำให้เกิดอาการกระตุกของกล้ามเนื้อ
- Meige Syndrome เป็นโรคทางระบบประสาทที่พบได้น้อย ทำให้มีการเคลื่อนไหว หดเกร็งของกล้ามเนื้อที่ผิดปกติในบริเวณ แก้มทั้ง 2 ข้าง ปาก ลิ้น และลำคอ
การวินิจฉัยตากระตุก
การวินิจฉัยอาการตากระตุก แพทย์จะสอบถามประวัติของผู้ป่วยก่อน จากนั้นจะตรวจร่างกาย ตรวจตาเพื่อแบ่งแยกโรคในดวงตาได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น บางรายอาจจ้องการตรวจด้านอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น
ตรวจสมองด้วยการทำ MRI (Brain MRI)
การทำ MRI เป็นการตรวจดูสมองว่าภายในมีเนื้องอก หรือมีความผิดปกติใดๆ หรือไม่ โดยเฉพาะในส่วนของเส้นประสาทที่ส่งผลต่อกล้ามเนื้อกระตุก เพื่อจะได้หาหนทางในการรักษาต่อไป
การตรวจคลื่นไฟฟ้าในสมอง (Electroencephalo graphy)
การตรวจคลื่นไฟฟ้าในสมอง เป็นการตรวจเพื่อหาบริเวณที่ปล่อยคลื่นไฟฟ้าออกมาจนส่งผลทำให้เกิดอาการตากระตุก โดยจะมีการบันทึกสัญญาณไฟฟ้าที่ถูกปล่อยออกมาร่วมด้วย
วิธีรักษาโรคตากระตุก
โรคตากระตุกข้างขวา ข้างซ้าย สามารถรักษาได้หลากหลายรูปแบบ มีทั้งวิธีที่ผู้ป่วยสามารถทำการรักษาได้ด้วยตนเองที่บ้าน และวิธีจากทางการแพทย์ ซึ่งมีดังนี้
การรักษาด้วยทางการแพทย์
การใช้ยา
การรักษาโรคตากระตุกในอับดับต้นๆ แพทย์จะแนะนำให้ใช้ยาเพื่อช่วยบรรเทาอาการ ในบางรายสามารถใช้ยาเหล่านี้เพื่อช่วยหยุดอาการตากระตุกชั่วคราวเท่านั้น ยาเหล่านั้นได้แก่ ยาลอราซีแพม (Lorazepam) ยาโคลนาซีแพม (ClonaZepam) และยาไตรเฮกซีเฟนิดิล (Trihexyphenidyl)
การฉีดโบท็อกซ์
การรักษาตากระตุกด้วยการฉีดโบท็อกซ์จะใช้ก็ต่อเมื่อผู้ป่วยเป็นโรคตากระตุกแบบเรื้อรัง โดยแพทย์จะฉีดโบท็อกซ์ หรือโบทูลินั่มท็อกซิน เพื่อช่วยหยุดอาการตากระตุก แต่ก็ช่วยหยุดอาการดังกล่าวได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น
การผ่าตัด
เช่นเดียวกันกับการฉีดโบท็อกซ์ซึ่งจะใช้กับผู้ที่ป่วยเป็นแบบเรื้อรัง โดยเป็นการผ่าตัดกล้ามเนื้อ และเส้นประสาทที่อยู่ในเปลือกตออก แต่เป็นวิธีที่ไม่ได้รับความนิยมในการรักษา
การฝังเข็ม
การรักษาอาการตากระตุกสามารถใช้การฝังเข็มเป็นตัวช่วยได้ แต่จะต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญในการฝังเข็มเท่านั้น การรักษาอาการตากระตุกด้วยการฝังเข็มนี้จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณรอบดวงตาได้
การรักษาด้วยตนเอง
การประคบ
เมื่อเกิดอาการตากระตุก การเลือกประคบร้อนและประคบเย็นสามารถที่จะช่วยบรรเทาอาการตากระตุกได้ โดยเริ่มแรกให้เลือกจากประคบอุ่นก่อน แล้วก่อนนอนให้ประคบเย็นโดยให้ทำทีละข้างที่เกิดอาการ และใช้ระยะเวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น
การนวด
เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ผู้เป็นโรคตากระตุกสามารถทำได้ด้วยตนเองโดยใช้การนวดกดจุด วิธีนวดเริ่มจากนวดเป็นวงกลมไปบริเวณรอบดวงตาโดยใช้แค่หัวแม่มือในการนวดเท่านั้น เพียงเท่านี้ก็จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณรอบดวงตาได้มากขึ้นแล้ว
วิธีป้องกันโรคตากระตุก
ไม่มีวิธีป้องกันอาการตากระตุกที่ได้ผลแบบแน่นอน เพราะหลายครั้งอาการตากระตุกมักเกิดขึ้นเองโดยที่เราไม่ทันตัว และส่วนมากก็มักจะหายไปได้เองอีกด้วย นอกจากผู้ที่เป็นแบบเรื้อรังที่มักจะเป็นระยะยาว
ทางที่ดีที่สุดแนะนำให้หันมาใส่ใจดูแลสุขภาพของตนเอง โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง เช่น ลดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เพื่อช่วยลดการกระตุ้นความเครียดให้เกิดขึ้น
วิธีดูแลตนเอง เมื่อเป็นโรคตากระตุก
โรคตากระตุกข้างขวา หรือ ข้างซ้าย สามารถที่จะดูแลตัวเองได้ง่ายๆ ซึ่งมีหลายวิธีที่สามารถนำมาใช้ โดยทำได้ดังนี้
- นอนพักผ่อนให้เพียงพอ โดยควรนอนหลับพักผ่อนให้ได้ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน
- จำกัดระยะเวลาในการใช้โทรศัพท์ และคอมพิวเตอร์ และก่อนเข้านอนก็ควรหลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ดังกล่าว
- จำกัดปริมาณคาเฟอีน และแอลกอฮอล์
- พยายามกำจัดความเครียด โดยใช้กิจกรรมผ่อนคลาย เช่น เล่นโยคะ นั่งสมาธิ ออกกำลังกาย
ตากระตุกแม้เป็นอาการที่ไม่อันตราย แต่ก็สามารถสร้างความรำคาญให้กับผู้ที่เป็นได้มากพอสมควร แนะนำให้พยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดอาการตากระตุก เพียงเท่านี้ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการดังกล่าวได้มากขึ้น