PRK กับ LASIK ต่างกันอย่างไร?

เมื่อพูดถึงการใช้เลเซอร์ผ่าตัดแก้ปัญหาสายตาสั้น ยาว เอียง หลายคนมักคุ้นเคยกับชื่อ LASIK (Laser-assisted in situ keratomileusis) แต่ความจริงแล้วเทคนิคการผ่าตัดแก้ปัญหาสายตายังมีแบบอื่นด้วย

มีคำถามเกี่ยวกับ PRK? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

PRK (Photorefractive keratectomy) ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีซึ่งแม้จะหลักการจะคล้ายกัน คือการใช้เลเซอร์ปรับความโค้งของกระจกตาจนสามารถหักเหแสงได้เป็นปกติ แต่ 2 วิธีนี้ก็ยังมีส่วนที่แตกต่างกันหลายข้อ

ในบทความนี้ HDmall จะมาเปรียบเทียบให้เห็นทั้งความเหมือน และความต่างของทั้ง PRK และ LASIK ให้เห็นกันชัดๆ

LASIK กับ PRK เหมือนกันอย่างไร

1.LASIK และ PRK ใช้รักษาสายตาที่ผิดปกติได้เหมือนกัน

ทั้ง LASIK และ PRK มีจุดประสงค์ในการใช้รักษาปัญหาสายตา 3 ประเภทหลักๆ ดังนี้

  • สายตาสั้น (Myopia) หรือคนที่มองเห็นวัตถุระยะไกลไม่ชัด
  • สายตายาว (Hyperopia) หรือคนที่มองเห็นวัตถุระยะใกล้ไม่ชัด รวมทั้งผู้ที่มีสายตายาวเมื่ออายุมากขึ้น
  • สายตาเอียง (Astigmatism) หรือคนที่มองเห็นภาพเบลอ

2.LASIK และ PRK ให้ผลการรักษาดีระดับเดียวกัน

หากทำโดยผู้ชำนาญการที่ได้รับอนุญาตถูกต้อง ทั้ง LASIK และ PRK ก็จะให้ผลการรักษาสายตาได้ดีในระดับเดียวกัน และผลจะคงอยู่ถาวรเหมือนกัน โดยหลังจากทำเสร็จจะเห็นภาพชัดเจนขึ้นในระดับหนึ่งทันที

ความแตกต่างในภายหลังที่อาจเกิดขึ้น เช่น อาการแทรกซ้อนต่างๆ ขึ้นอยู่กับการดูแลสุขภาพและดวงตาของแต่ละคน

3.LASIK และ PRK มีความเสี่ยงต้องพิจารณาเหมือนกัน

ทั้ง LASIK และ PRK มีความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลายข้อ ดังนี้

  • อาจเกิดอาการตาแห้ง หลังจากผ่าตัดแก้ไขสายตาแล้ว อาจทำให้ดวงตาสามารถผลิตน้ำตาได้น้อยลง และเกิดอาการตาแห้งได้ อาการอาจคงอยู่ประมาณ 1-6 เดือน แต่มีโอกาสเป็นตลอดไปได้เช่นกัน มักพบในการทำ LASIK มากกว่า ในกรณีที่ผู้ใช้บริการมีปัญหาตาแห้งอยู่แล้ว ควรรักษาอาการให้ดีขึ้นก่อนเริ่มการรักษาสายตา
  • ตาอาจสู้แสงได้น้อยลง เมื่อเจอแสงจ้า แสงสะท้อน เห็นวงแสงรอบแหล่งกำเนิดแสง หรืออาจเห็นภาพซ้อนได้ในบางครั้ง นอกจากนี้อาจเห็นภาพได้ไม่ชัดในตอนกลางคืน แต่อาการเหล่านี้มักจะหายไปเองในไม่กี่สัปดาห์ หากไม่ดีขึ้นควรรีบกลับไปพบแพทย์
  • อาจยังคงเห็นภาพไม่ชัดอยู่ หากแพทย์นำเนื้อเยื่อกระจกตาออกน้อยเกินไป โดยเฉพาะการแก้ไขในผู้ที่สายตาสั้น อาจทำให้เห็นภาพไม่ชัดอยู่
  • อาจเกิดอาการกระจกตาโก่ง (Ectasia) จากแรงดันด้านในดวงตา มีโอกาสเกิดกับการรักษาผู้ที่สายตาสั้นมากๆ กรณีนี้ถือเป็นอาการที่จำเป็นต้องรับการรักษาเพื่อป้องกันการสูญเสียการมองเห็น
  • อาจสายตาเอียง มีโอกาสเกิดขึ้นกรณีที่แพทย์นำเนื้อเยื่อกระจกตาออกไปไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะกับการทำ LASIK แบบ Microkeratome แต่ปัจจุบันนี้การทำ LASIK แบบ Femtosecond laser ช่วยลดโอกาสเกิดปัญหานี้ลงได้มาก
  • อาจสูญเสียการมองเห็น ทุกการผ่าตัดดวงตามีความเสี่ยงเล็กน้อยที่จะเกิดอาการแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อ โดยเฉพาะวิธี PRK ที่มีแผลอยู่บนกระจกตากระมาณ 3-7 วัน หากดูแลรักษาผิดวิธีอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น เห็นภาพเบลอได้

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงหลายข้อ แต่ปัจจุบันนี้เทคโนโลยี เครื่องมือและความรู้ทางการแพทย์พัฒนาขึ้นมาก ทำให้โอกาสเกิดผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ลดลงมากแล้วเช่นกัน

LASIK กับ PRK ต่างกันอย่างไร

ความแตกต่างกันระหว่าง LASIK และ PRK มีด้วยกัน 5 ข้อ หลักๆ ที่ควรใช้ในการปรึกษาแพทย์ ดังนี้

1.LASIK และ PRK ใช้เทคนิคการทำแตกต่างกัน

LASIK จะใช้เลเซอร์ หรือใบมีดขนาดเล็กพิเศษในการเปิดกระจกตาออกเป็นแผ่นบางๆ จากนั้นจะใช้เลเซอร์ปรับความโค้งของกระจกตาด้านในให้มีค่าสายตากลับมาเป็นปกติ

เมื่อปรับแล้วจึงนำแผ่นกระจกตาที่เปิดไว้ปิดกลับเข้ามาเหมือนเดิม โดยไม่มีการเย็บปิดปากแผลแต่อย่างใด เพราะกระจกตาจะซ่อมแซมตัวเองในไม่กี่เดือนต่อมา

ส่วน PRK เป็นการลอกเนื้อเยื่อบุผิวตาชั้นบนสุด (Epithelium) ออกไปเลย จากนั้นแพทย์จะใช้เลเซอร์ปรับความโค้งของกระจกตาด้านในเพื่อให้ค่าสายตากลับมาเป็นปกติ โดยไม่ได้เอาเยื่อบุผิวตานั้นกลับมาปิดคืน

2.LASIK และ PRK ขั้นตอนการทำแตกต่างกัน

การทำ LASIK มีด้วยกัน 4 ขั้นตอนหลักๆ ดังนี้

  1. จักษุแพทย์จะเริ่มด้วยการหยอดยาระงับความรู้สึกที่เนื้อเยื่อตา
  2. จากนั้นจะใช้เครื่องมือแยกชั้นกระจกตา ไมโครเคราโทม (Microkeratome) แต่ส่วนที่แยกชั้นกระจกตานั้นเพียงแค่เปิดออกลักษณะคล้ายหน้าต่างเท่านั้น ไม่ได้หลุดออกอย่างสิ้นเชิง อีกหนึ่งเทคนิคของการทำ LASIK คือการใช้เครื่องแยกชั้นกระจกตาแบบเฟมโต เลเซอร์ เลสิก (Femtosecond laser assisted LASIK) ซึ่งช่วยให้แพทย์กำหนดความกว้าง ความลึก ของการแยกชั้นกระจกตาได้ทำให้สามารถแก้ไขสายตาได้มากขึ้น
  3. จากนั้นจะใช้เลเซอร์ Excimer laser ซึ่งเป็นเลเซอร์พลังงานต่ำ ความร้อนสะสมที่กระจกตาน้อยในการปรับค่ากระจกตาด้านในเพื่อให้มองเห็นภาพชัดขึ้น
  4. จากนั้นจะปิดชั้นกระจกตาที่เปิดคาไว้กลับมาที่เดิมโดยไม่ต้องเย็บปิด เพราะเนื้อเยื่อกระจกตาจะสมานกันได้เอง
  5. แพทย์จะปิดฝาครอบตาเพื่อป้องกันการขยี้ตาและสัมผัสดวงตา 1 คืนก่อนจะถอดออก

เนื่องจากการทำ PRK นั้นเป็นวิธีที่มีมาก่อน LASIK จึงทำให้มีขั้นตอนมากกว่าเล็กน้อย หลักๆ มี 6 ขั้นตอนดังนี้

  1. จักษุแพทย์จะหยอดยาระงับความรู้สึกให้
  2. จากนั้นแพทย์จะทำการเอาชั้นเยื่อบุตาออก (Epithelium) ซึ่งอาจใช้แอลกอฮอล์ร้อยละ 20 หยดลงกระจกตา เมื่อเยื่อบุผิวลอก จึงใช้มีดแบบไร้คม (Blunt spatula) นำเยื่อบุนั้นออกไป หรืออีกวิธีหนึ่งคือการใช้เลเซอร์ยิงนำเยื่อบุตาออกโดยตรง โดยไม่เหลือส่วนที่ติดกับดวงตาเหมือนการทำ LASIK ในขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 20-30 วินาที
  3. เมื่อนำเยื่อบุตาออกเสร็จแล้ว จะใช้ Excimer laser ปรับความผิดปกติในเนื้อเยื่อด้านในกระจกตา อาจใช้เวลา 30-60 วินาที
  4. เมื่อปรับสายตาเสร็จ แพทย์จะให้น้ำเย็นบริเวณที่ผ่าตัดเพื่อป้องกันอาการอักเสบและป้องกันกระจกตาขุ่น
  5. เมื่อเสร็จแล้วแพทย์จะใช้เลนส์สัมผัสแบบอ่อนที่ทำหน้าที่คล้ายกับคอนแทคเลนส์ ปิดบริเวณที่นำเยื่อบุตาออกไว้เพื่อช่วยให้เนื้อเยื่อด้านใต้สมานกัน
  6. หลังจากแผลสมานกันเรียบร้อย แพทย์จะนัดให้กลับมาถอดเลนส์สัมผัสแบบอ่อนออก ซึ่งอาจใช้เวลา 3-7 วัน ขึ้นอยู่กับแต่ละคน

3.LASIK และ PRK มีระยะการพักฟื้นแตกต่างกัน

ในบางกรณีหลังจากทำ LASIK เสร็จอาจเห็นภาพชัดขึ้นมากกว่าก่อนทำได้ทันที แม้จะไม่ได้ใส่แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์เลยก็ตาม แต่แพทย์ยังคงต้องใช้ฝาครอบตาเพื่อป้องกันการสัมผัส ในบางกรณีอาจรู้สึกแสบตาได้แต่อาการควรจะค่อยๆ หายไปในไม่กี่ชั่วโมง

มีคำถามเกี่ยวกับ PRK? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

หลังทำ LASIK แล้วจะสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แต่ห้ามโดนน้ำและแต่งหน้าบริเวณขอบตาอย่างน้อย 7 วัน เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

ในระหว่างพักฟื้นจากการทำ LASIK แพทย์จะให้ยาหยอดตาสำหรับเพิ่มความหล่อลื่นลดความระคายเคืองมาใช้ในช่วงแรก อาการทั้งหมดจะหายดีในไม่กี่วัน และมักไม่รู้สึกเจ็บหรือระคายเคืองมากนัก

ส่วนการทำ PRK ดวงตาของคุณจะมองเห็นภาพชัดขึ้นทันทีเช่นกันหลัง PRK เสร็จ แต่อาจยังมีบางส่วนเบลออยู่บ้าง แต่ภาพที่เห็นจะค่อยๆ ชัดขึ้นทุกวัน ผู้ที่ทำ PRK จะต้องใส่เลนส์สัมผัสแบบอ่อนบนดวงตาเพื่อปกปิดเยื่อบุตาที่นำออกไป ช่วงนี้อาจเกิดความระคายเคืองและไวต่อแสงไปอีกหลายวันจนกว่าเยื่อบุตาจะสมานกันจนเป็นปกติ

คุณอาจยังมองเห็นภาพเบลออยู่เล็กน้อยจนกว่าเลนส์สัมผัสแบบอ่อนจะถูกนำออกหลังจากผ่านเป็น 1 สัปดาห์ หรือจนกว่าเยื่อบุตาจะสมานกัน

แพทย์อาจให้ยาหยอดตาเพิ่มความหล่อลื่นลดการระคายเคือง และอาจให้ยาแก้ปวดมาใช้ร่วมด้วย และต้องรอจนกว่าจะหายดีจึงจะเริ่มขับรถได้

การพักฟื้นจาก PRK อาจใช้เวลาประมาณ 1 เดือนจึงจะหายดี แต่ระหว่างนี้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ และอาจต้องพบแพทย์อีกครั้งเมื่อดวงตารักษาเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้แพทย์เช็กความเรียบร้อย

4.LASIK กับ PRK อาจส่งผลเมื่อเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างกันเล็กน้อย

แม้การมองเห็นและความชัดเจนจากการปรับค่าสายตาจะคงอยู่อย่างถาวรเหมือนกัน แต่ในระยะยาว PRK ถือว่าปลอดภัยกว่า เพราะได้นำเนื้อเยื่อบุด้านบนออกไปเลย และเยื่อบุตาใหม่ค่อยๆ สมานกันในระหว่างพักฟื้น

ในขณะที่ LASIK ยังคงใช้ชั้นบนของกระจกตาอันเดิมไว้บนดวงตา ซึ่งมีโอกาสที่จะเกิดอาการแทรกซ้อนได้หากดวงตาได้รับความบาดเจ็บขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาของแต่ละคน

5.LASIK กับ PRK เหมาะสำหรับรักษาระยะสายตาที่แตกต่างกัน

LASIK และ PRK มีความเหมาะกับผู้ที่มีค่าสายตา ไดออปเตอร์ (Diopters) ซึ่งเป็นหน่วยที่แพทย์ใช้ในการเรียกค่าสายตาต่างกัน ดังนี้

  • PRK เหมาะกับผู้ที่มีค่าสายตาอยู่ระหว่าง -10.00 ถึง +6.00 Diopters
  • LASIK เหมาะกับผู้ที่มีมีค่าสายตาอยู่ระหว่าง -14.00 ถึง +6.00 Diopters

ทั้งนี้ แพทย์จะเป็นผู้ประเมินความเหมาะสมในการเลือกวิธีที่เหมาะกับเรามากที่สุด

การทำ LASIK และ PRK เหมาะกับใคร?

หากคุณมีเงื่อนไขตรงกับข้อดังต่อไปนี้ ทั้ง LASIK และ PRK อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะกับคุณ

  • มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
  • ผู้ที่ต้องการรักษาสายตาสั้น
  • ผู้ที่ต้องการรักษาสายตายาว
  • ผู้ที่ต้องการรักษาสายตาเอียง
  • ไม่ได้มีการมองเห็นเปลี่ยนแปลงกระทันหันในรอบปีที่ผ่านมา
  • ไม่ได้อยู่ในการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • รูม่านตาของคุณมีขนาดประมาณ 6 มิลลิเมตรเมื่ออยู่ในห้องมืด

การทำ LASIK และ PRK ไม่เหมาะกับใคร?

หากคุณมีเงื่อนไขใดตรงกับข้อดังต่อไปนี้ อาจต้องพิจารณาทางรักษาอื่นๆ

  • มีอาการแพ้เรื้อรังที่อาจส่งผลต่อการรักษาดวงตา
  • มีกระจกตาบาง ซึ่งยากต่อการผ่าตัดด้วยทั้ง 2 วิธีนี้
  • มีรูม่านตาใหญ่เกินไป (Large pupils) ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเห็นภาพผิดปกติ
  • มีภาวะตาขี้เกียจ (Amblyopia) ต้องพิจารณาร่วมกับแพทย์ในการตัดสินใจทำ เพราะบางรายอาจมีสายตาที่ดีขึ้นหลังทำการผ่าตัด แต่การผ่าตัดด้วย LASIK และ PRK ไม่ใช่วิธีรักษาภาวะตาขี้เกียจ
  • เป็นโรคหรืออาการใดๆ ที่อาจส่งผลต่อดวงตา เช่น โรคเบาหวาน ความดันลูกตาสูง ต้อหิน
  • เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองที่อาจส่งผลต่อการรักษา เช่น โรคข้ออักเสบ รูมาตอยด์
  • เคยผ่านการทำ LASIK หรือ PRK มาแล้ว หากทำอีกครั้งอาจเพิ่งความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแทรกซ้อน

โดยสรุปแล้ว การผ่าตัดแก้ไขสายตาทั้ง LASIK และ PRK เป็นทางเลือกในการแก้ปัญหาอย่างถาวรสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการสวมแว่นและคอนแทคเลนส์ในระยะยาว

ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีการผ่าตัดทั้ง 2 วิธีมีการพัฒนาขึ้นมาก ทำให้มีความปลอดภัยสูง และความเจ็บปวดน้อยลงมาก ใช้เวลาพักฟื้นไม่นาน แต่ควรเลือกทำกับสถานที่ให้บริการที่น่าเชื่อถือเท่านั้น

ดูแพ็กเกจทำเลสิกได้ที่ HDmall.co.th ศูนย์รวมบริการสุขภาพ ทำฟัน และความงามที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย พร้อมรับส่วนลดหรือแคชแบ็กหลังใช้บริการ


เปรียบเทียบราคาแพ็กเกจทำเลสิก

มีคำถามเกี่ยวกับ PRK? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

หากคุณติดตั้ง LINE บนคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว ระบบจะเปิดบัญชีทางการ LINE ของ HDcare โดยอัตโนมัติ

หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง LINE บนเดสก์ท็อป โปรดสแกน QR โค้ดด้วย LINE บนโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อเริ่มแชทกับ พยาบาล HDcare