อธิบายค่า Coagulogram, APTT, PT, TT จากการตรวจเลือด

การตรวจเลือดเพื่อวิเคราะห์การแข็งตัวของเลือด หรือที่เรียกว่า Coagulogram เป็นการตรวจเพื่อดูว่าระบบการแข็งตัวของเลือดทำงานได้ปกติหรือไม่ การตรวจนี้มีหลายตัวชี้วัดที่สำคัญ ได้แก่ APTT, PT, และ TT แต่ละตัวชี้วัดมีหน้าที่ในการบอกข้อมูลที่แตกต่างกัน

1. COAGULOGRAM

คำแนะนำวิธีส่งเลือด : แช่น้ำแข็งขณะนำส่ง (citrate blood 2.7 ml. จุกสีฟ้า mix)

วัตถุประสงค์

เพื่อแสดงให้เห็นถึงวิธีการสร้างตารางในการนำเลือดไปตรวจสอบวัดผลการรักษาอาการเลือดไหลไม่หยุด หรือเลือดขาดคุณสมบัติในการสร้างลิ่มเลือด (clotting) ซึ่งอาจเป็นอันตรายในกรณีที่หากเกิดบาดแผลแล้วเลือดอาจจะไหลออกหมดตัว

COAGULOGRAM จึงอาจถูกเรียกง่ายๆว่า ตารางการสร้างลิ่มเลือด หรือเป็นแบบฟอร์มว่างๆ เพื่อเตรียมไว้ให้แพทย์ท่านกรอกระบุว่า จะเจาะตรวจเลือดตัวใดบ้าง

คำอธิบายอย่างสรุป

  1. COAGULOGRAM คือ การใช้ตารางช่วยความจำเพื่อลงบันทึกการรักษาหรือการแก้ไขสภาวะเลือดใสเกินไป โปรดดูตัวอย่างตาราง COAGULOGRAM ของการรักษาผู้ป่วยรายหนึ่งในหน้าถัดไป
  2. คำอธิบายตาราง COAGULOGRAM (ในตัวอย่าง)
  • บรรทัดบนช่องแรก ที่พิมพ์ว่า “Hemostasis indicators” นั้นหมายความว่า “ตัวบ่งชี้ปัจจัยต่อการไหลออกของเลือด” ซึ่งจะแสดงผลถึงการไหลของเลือดว่า ไหลออกเร็ว ช้า หรือหยุดไหล ด้วยมีปัจจัยใดแสดงให้เห็นบ้างทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า ในช่องนี้จะมีตัวบ่งชี้หลายตัวที่เรารู้จักผ่านตากันมาแล้วที่เกี่ยวข้องกับการไหลหรือหยุดของเลือด เช่น
    • Hematocrit คือ ความหนาแน่นของเม็ดเลือดแดง หากมีความหนาแน่นมากก็จะมีส่วนช่วยให้เลือดหยุดไหลง่าย ถ้ามีน้อยเลือดก็หยุดไหลยาก
    • Blood clotting time ซึ่งเป็นค่าเวลามาตรฐานที่ใช้อ้างอิงว่าเลือดควรจะแข็งตัวด้วยเวลานานเท่าใด
    • Retraction of blood clot ซึ่งเป็นค่าการยุบตัวของก้อนเลือด
    • นอกจากนั้น ยังมีตัวบ่งชี้อื่นๆ ที่แพทย์ผู้ตรวจ ท่านเห็นสมควรนำมาใช้พิจารณาในแต่ละกรณีของผู้ป่วย ดังนั้น COAGULOGRAM ของแต่ละคนจึงอาจใช้ตัวบ่งชี้ต่างกัน โดยเหตุนี้จึงไม่จำเป็นต้องล้วงลึก จดจำหรือทำความเข้าใจแต่อย่างใด
  • บรรทัดบนในช่องที่สอง ที่พิมพ์คำว่า “Norm” ก็คือ normal หมายความว่า “ค่าปกติของปัจจัยตัวบ่งชี้แต่ละตัว”
  • บรรทัดบนในช่องที่สาม ที่พิมพ์ว่า “Prior to therapy” หมายความว่า “ค่าที่ควรตรวจพบได้ก่อนการำบัดรักษา”
  • บรรทัดบนในช่องถัดไป ก็จะเสดงผลการใช้ยารักษาโดยระบุจำนวนวันที่ตรวจ ตามที่แพทย์ผู้ดูแลรักษาท่านจะเห็นสมควร
  1. คำว่า “แช่น้ำแข็งขณะนำส่ง (citrate blood 2.7 ml. จุกสีฟ้า mix)” นั้นหมายความว่า เป็นคำแนะนำเจ้าหน้าที่ผู้เจาะดูดเลือดจากตัวเราให้ปฏิบัติดังนี้
  • ดูดเลือดออกมาเพียง 2.7
  • ให้ใส่น้ำยา Sodium Citrate เพื่อป้องกันเลือดแข็งตัว (เนื่องจากน้ำยามีหลายชนิด)
  • ให้ปิดหลอดที่บรรจุเลือดด้วยจุกหรือฝาครอบ สีฟ้า
  • mix ก็คือให้เขย่าเลือดและน้ำยาผสมกันอย่างสมบูรณ์
  • ให้นำหลอดเลือดแช่ลงในน้ำแข็งตลอดเวลาขณะนำส่งห้องปฏิบัติการ (laboratory)

2. Activated partial thromboplastin time (APTT)

วัตถุประสงค์

เพื่อตรวจสอบการสร้างลิ่มเลือดของบุคคลที่มีเลือดคน (ซึ่งอาจเป็นอันตรายจากสภาวะเสี่ยงโดยโรคหลอดเลือดหัวใจ) ว่าหากใช้น้ำยาเคมีพิเศษจะช่วยทดสอบกับเลือดที่ถูกดูดออกมาใส่หลอดแก้วของผู้นี้แล้วจะใช้เวลากี่วินาทีเลือดจึงจะแข็งตัว เช่น 30 วินาที

ทั้งนี้โดยหากเมื่อกินยาชนิดที่ช่วยให้ลิ่มเลือดละลายตัวแล้วควรรออีกประมาณ 60 นาทีจึงทำการทดสอบ APTT ใหม่อีกครั้งหนึ่งเช่นคราวนี้อาจจะได้ผลว่าทำให้เลือดแข็งตัวในเวลา 70 วินาที

คำอธิบายอย่างสรุป

  1. APTT ย่อมาจากคำว่า “activated partial thromboplastin time”Thromboplastin คือ บรรดาโปรตีนทั้งหลายที่อยู่ภายใน (ผนัง) หลอดเลือดทั้งโปรตีนในตัวผนังหลอดเลือดเองทั้งเกร็ดเลือดและทางเซลล์เม็ดเลือดนับว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดขึ้นจากระบบภายในร่างกาย (intrinsic system) เองแท้ๆ ที่จุดชนวนช่วยสร้างสภาวะลิ่มเลือดโดยเริ่มมาตั้งแต่ทำให้เลือดคนบางตำราจึงเรียก thromboplastin ว่าเป็นองค์ประกอบจากเนื้อเยื้อ (tissue factor)
    • Partial คือบางส่วน
    • Activated คือที่ทำให้เกิดขึ้น
    • Time คือเวลา (นับเป็นวินาที)

    ดังนั้น APTT คือ เวลานับที่เป็นวินาทีที่ได้จากการทดสอบ เพื่อจะทราบว่าเมื่อใส่สารเคมี (น้ำยา) มาตรฐานลงไปแล้วเลือดมันจะแข็งตัวด้วยเวลากี่วินาที

    หากไม่ใช้น้ำยามาตรฐานจากควบคุมเวลายากและใช้เวลานานเกินไป เวลาเป็นวินาทีที่ได้จากการทดสอบเลือกดังกล่าวของแต่ละคนนี้ย่อมไม่เท่ากันแต่ที่สำคัญคืออาจใช้เป็นปัจจัยในการวินิจฉัยว่าเลือด ข้นหรือ ใส เกินไปหรือไม่

    เลือดข้นเกินไป ย่อมเกิดอันตรายในสภาวะเสี่ยงจากการอุดตันภายในหลอดเลือดที่หัวใจหรือสมองทำให้อาจเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและโรคสมองขาดเลือด

    เลือดใสเกินไปก็ย่อมเกิดภาวะเสี่ยงของการไหลออกไม่หยุดของเลือดเมื่อเกิดบาดแผลภายนอกหรือภายในร่างกายก็ตาม

  2. คำในวงเล็บที่ว่า “ratio” นั้นคือ อัตราส่วนของเวลาภายหลังการกินยาที่ทำให้เลือดใสต่อเวลาเดิมยังได้อธิบายความหมายแล้วในหัวข้อวัตถุประสงค์

ค่าปกติของ APTT และของ ratio

APTT = 30-40 sec
Ration = 1.5-2.5

 

ค่าวิกฤตของ APTT

APTT: >70 sec >70 sec

ค่าผิดปกติของ APTT

  1. ในทางน้อย (เวลาสั้น) อาจแสดงผลว่า
    • เลือดข้นเกินไป เนื่องจากอาจกำลังเกิดสภาวะลิ่มเลือดกระจายทั่วไปภายในหลอดเลือด (disseminated intravascular coagulation, DIC) ก็ได้ซึ่งย่อมเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
    • อาจกำลังมีการก่อตัวของโรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งรังไข่ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งลำไส้ใหญ่ซึ่งตามตำราแจ้งว่าข้อมูลตรงนี้ยังไม่ใคร่ทราบกันแพร่หลายมากนัก
  2. ในทางมาก (เวลานานกว่าปกติ) อาจแสดงผลว่า
    • เลือดใสเกินไปอาจขาดโปรตีนสำคัญบางตัวในกระแสเลือด
    • อาจเกิดโรคตับแข็ง (cirrhosis of liver)
    • อาจขาดวิตามิน เค
    • อ่านมียาเฮพาริน (ทำให้เลือดใส) ตกค้าง
    • อาจเกิดบาดแผลและเลือดหยุดไหลยาก

    ข้อสรุปกรณีของคนมีน้ำเลือดใสหรือข้นกว่าปกตินั้นอาจเป็นคุณสมบัติปกติเฉพาะบุคคลหนึ่งบุคคลใดก็ได้ดังนั้นการพิจารณาเพียงค่าเวลาปกติคือ 30 – 40 วินาทีจึงอาจผิดพลาดคาดเคลื่อนได้โดยเหตุนี้จึงควรพิจารณาจากอัตราส่วนที่ได้มาจากการคำนวณง่ายๆที่ว่า

    อัตราส่วน  = หากได้ค่าอัตราส่วนอยู่ในเกณฑ์ปกติจึงควรถือว่าน่าพอใจกว่าค่าเวลา APTT ที่อยู่ในเกณฑ์ปกติ


3. Prothrombin Time (PT)

วัตถุประสงค์

เพื่อทราบระยะเวลาเป็น วินาที ที่เลือดซึ่งดูดมาใส่หลอดแก้วจะแข็งตัวโดยอาศัยตัวช่วยจาก ระบบปัจจัยภายนอก (extrinsic system) มาเพิ่มเติมทั้งนี้ด้วยการเติมน้ำยาแคลเซียมมาตรฐานตัวหนึ่งและเรียกปฏิกิริยานี้ว่า “recalcification” ให้เกิดในเลือด แล้วจึงจับช่วงเวลาการแข็งตัว

วัตถุประสงค์ทั่วไป คล้ายคลึงกับการหาค่า APTT ต่างกันตรงที่ใช้ปัจจัยภายใน หรือภายนอก ซึ่งมาช่วยให้เกิดการแข็งตัวของเลือดเท่านั้น การตรวจเลือดในข้อนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีพยาธิสภาพของโรคหัวใจ

คำอธิบายอย่างสรุป

  1. PT ย่อมาจากคำว่า “Prothrombin Time”Prothrombin เป็นสารประกอบผสมของโปรตีนและน้ำตาล (glycoprotein) ที่ลอยอยู่ในพลาสมา Prothrombin เป็นสารตั้งต้นของ thrombin ซึ่งอาจเป็นเอนไซม์ที่มีบทบาทสำคัญยิ่งในปฏิกิริยาเปลี่ยนโปรตีนตัวหนึ่งชื่อ “fibrinogen” (ปกติลอยอยู่ในน้ำเลือด) ไปสร้างให้เป็น “fibrin” ซึ่งก็คือลิ่มเลือดที่ปิด หรืออุดรอยเปิดของบาดแผลจนเราเห็นกลายเป็นรอยแผลนูนๆ ขึ้นมาเมื่อแผลหายสนิทแล้วนั่นเองPT จึงเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้จากการทดสอบเลือดที่เจาะเอามาใส่หลอดแก้วภายหลังการเติมน้ำยาแคลเซียมลงในเลือดจนปรากฏผลว่า เลือดแข็งตัว ซึ่งในคนที่มีสุขภาพเลือดเป็นปกติก็จะมีช่วงเวลามาตรฐานอยู่ค่าหนึ่งคือประมาณ 12 วินาที
  2. แต่ในน้ำเลือดที่ข้นของคนบางคนก็จะแข็งตัวเร็ว ต่อเมื่อให้กินยาละลายลิ่มเลือด (อย่างเดียวกันกับที่หาค่า APTT) ก็จะทำให้จับเวลาของช่วงการที่เลือดจะแข็งตัวยาวนานขึ้น
    ในการนี้ หากนำค่าเวลาทั้งสองมาทำเป็นอัตราส่วน คืออัตราส่วน  = เวลาแข็งตัวของเลือดหลังจากกินยา/เวลาแข็งตัวของเลือดตามปกติก่อนกินยา
  3. อัตราส่วนนี้อาจใช้เป็นดัชนีชี้ว่า น้ำเลือดมีความข้นมากเกินไปหรือไม่เนื่องจากความข้นของเลือดจะเป็นอันตรายต่อการปิด-เปิดของลิ้น (valve) ระหว่างห้องของหัวใจ และทำให้หัวใจต้องออกแรงมากขึ้นในการส่งเลือดดำไปยังปอด แม้แต่ส่งเลือดแดงไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย
  4. องค์การอนามัยโลก (World Health Organization,WHO) ได้ประกาศให้นานาชาติใช้ค่าอัตราส่วนมาตรฐาน ตั้งแต่เมื่อปี 1983 เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ยาละลายลิ่มเลือดหรือให้เลือดลดความข้น โดยให้เรียกค่านี้ว่า “อัตราส่วนปกติมาตรฐานนานาชาติ” (International Normalized Ratio) ใช้คำเรียกย่อๆว่า “INR”

WHO กำหนให้ค่า INR ว่าควรอยู่ระหว่าง 2.0-3.5

ทั้งนี้ WHO ยืนยันว่า ค่า INR ที่ได้กำหนดไว้นี้ใช้ได้กับผู้ป่วยโรคหัวใจเต้นสั่นรัว (atrial fibrillation) ผู้ป่วยใช้ลิ้นหัวใจเทียม (artificial heartvalves) และผู้ป่วยโรคหลอดเลือดดำอักเสบมีลิ่มเลือด (thromboplebitis)

ค่าปกติของ PT และ INR

  1. ให้ยึดถือตามค่าที่แสดงไว้ในในรายงานผลการตรวจเลือด (ถ้ามี)
  2. ค่าปกติทั่วไป

PT = 11.0-12.5 sec

INR = 2-3.5

ค่าผิดปกติของ PT

  1. ค่าผิดปกติในทางที่ยาวนานขึ้น อาจแสดงผลว่า
    • อาจเกิดโรคตับ (เช่นตับแข็งตับอักเสบ ฯลฯ ) เนื่องจากตับเป็นผู้สร้างสารประกอบให้เกิดลิ่มเลือด (coagulation factors) แต่เมื่อตับอักเสบจึงอาจสร้างสารตัวนี้ได้ไม่พอเพียง
    • อาจขาดวิตามิน เค
    • ท่อน้ำดีอาจถูกปิดกั้นเนื่องจากวิตามิน เค จะถูกผลิตและส่งออกมาใช้ทางท่อน้ำดีเมื่อท่อน้ำดีผ่านไม่สะดวกจึงทำให้วิตามิน เค ไม่พอใช้
    • ผู้รับการตรวจอ่านมีสู่ภาวะปกติของตนเองที่แตกต่างจากผู้อื่นกล่าวคือปกติเลือดอาจจะใสเกินไป
  2. ค่าผิดปกติในทางที่ใช้เวลาน้อยกว่าปกติ อาจแสดงผล
    • เลือดอาจยังข้นเกินไป
    • อาจมีโรคเกี่ยวกับตับที่ผลิตโปรตีนส่งมาสู่กระแสเลือดมากเกินไป

ค่าผิดปกติของ INR

  1. ค่าผิดปกติในทางมาก อาจบงชี้ว่าเลือดใสเกินไป
  2. ถ้าผิดปกติในทางน้อย อาจบ่งชี้ว่าเลือดคนมากจนอาจมีลิ่มเลือด

4. Thrombin time (TT)

วัตถุประสงค์

เพื่อจะทราบว่า fibrinogen ซึ่งเป็นโปรตีนในกระแสเลือดที่มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างลิ่มเลือดมีสภาวะว่าเป็นปกติหรือไม่? เนื่องจากว่า thrombin นั้นเป็นเอ็นไซม์ที่จะช่วยเปลี่ยน  fibrinogen ให้เป็น fibrin (ลิ่มเลือดที่อุดบาดแผล)

การตรวจเลือดในข้อนี้จึงเป็นการตรวจสอบคุณสมบัติของเอนไซม์ thrombin ซึ่งจะมีผลต่อการสร้าง fibrin นั่นเอง

สรุปว่าการตรวจเลือดในหัวข้อนี้เป็นการตรวจประสิทธิภาพของเอนไซม์ทรอมบิน ซึ่งแตกต่างจากการตรวจปัจจัยภายใน (APTT) และปัจจัยภายนอก (PT) ซึ่งล้วนแต่มีบทบาทช่วยเลือกให้แข็งตัวเป็นลิ่มเลือดด้วยกันทั้งสิ้น

คำอธิบายอย่างสรุป

  1. TT คือ thrombin time
  2. การเจาะเลือดออกมาใช้ตรวจสอบก็กระทำคล้ายคลึงกับการตรวจหาค่า APTT และ PT แต่เมื่อได้เลือดออกมาอยู่ในหลอดแก้วแล้วจึงจะทดสอบด้วยการเติมน้ำยาเอนไซม์ทรอมบินมาตรฐานที่ผลิตจากมนุษย์ (standard human thrombin) หรือจากวัว (standard bovine thrombin) ซึ่งจะมีผลทำให้เลือดแข็งภายใน 2-3 วินาทีในกรณีเป็นเลือดของผู้มีสุขภาพเป็นปกติ
  3. ในกรณีต้องการทราบ thrombin ratio ก็ให้ผู้ถูกตรวจสอบกินยาละลายลิ่มเลือดประมาณ 60 นาทีแล้วเจาะเลือดออกมาตรวจใหม่ด้วยวิธีการเติมน้ำยาอย่างเดิมซึ่งย่อมจะได้ระยะเวลาที่ยาวขึ้น

เอาเวลาเป็นวินาทีหลังกินยา หารด้วยเวลาเป็นวินาทีก่อนกินยาก็จะได้ตัวเลขของอัตราส่วนเวลาที่ เรียกว่า thrombin time ratio

ค่าปกติของ TT และ TT ratio

  1. TT : 2 – 3 sec
  2. TT ratio : ให้ยึดถือตามค่ามาตรฐานปกติของใบรายงานผลการตรวจเลือด

ค่าผิดปกติทางน้อยและมาก ก็อาจแสดงผลคล้ายคลึงกับผลของ APTT และ PT ที่กล่าวถึงมาแล้ว


เปรียบเทียบราคาแพ็กเกจตรวจสุขภาพ

Scroll to Top