ปัญหาภาวะมีบุตรยากเป็นสิ่งที่คู่รักหลายคู่ต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเกิดจากฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชาย ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เรื่องของการมีลูกไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นปัญหาที่ต้องช่วยกันแก้ไขทั้งสามฝ่าย ทั้งสามี ภรรยา และคุณหมอ
หลายคู่ที่พยายามมีลูกด้วยวิธีธรรมชาติแล้วยังไม่ประสบความสำเร็จ อยากมีลูกแต่ไม่ท้องสักที ลองมาทุกวิธีก็ยังไม่ได้ผล ในบทความนี้ คุณหมอโต นพ.ธีรยุทธ์ จงวุฒิเวศย์ (ว.24796) แพทย์ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีเพื่อการมีบุตร โรงพยาบาลพญาไท 2 จะมาไขข้อสงสัยเพื่อคลายความกังวลใจของหลายๆ ครอบครัว รวมถึงอธิบายขั้นตอนการทำ ICSI และบอกเล่าประสบการณ์จริงจากเคสที่ประสบความสำเร็จกัน
สารบัญ
สาเหตุของภาวะมีบุตรยากคืออะไร?
ปัญหาการมีลูกยากหรือภาวะมีบุตรยาก มักเกิดจากปัจจัยของทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาไข่ไม่ตกหรือไข่ตกช้า ซึ่งพบได้บ่อยในผู้หญิง รวมถึงปัญหาท่อนำไข่อุดตันหรือคุณภาพไข่ที่ลดลงตามอายุ ส่วนฝ่ายชายก็มักจะมีปัญหาเรื่องสเปิร์มมีคุณภาพอ่อนกว่าปกติ ทำให้การปฏิสนธิเป็นไปได้ยาก
แม้ว่าในบางคู่อาจจะตรวจไม่พบความผิดปกติที่ชัดเจน แต่ก็อาจมีปัญหาที่เรามองด้วยตาเปล่าไม่เห็นซ่อนอยู่ได้ การเข้าพบแพทย์ผู้ชำนาญจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยหาสาเหตุและเลือกวิธีการรักษาได้ตรงจุด
แนะนำวิธีรักษาภาวะมีบุตรยาก 3 ขั้นตอน
1. รักษาภาวะมีบุตรยากด้วยวิธีธรรมชาติ
ถ้าฝ่ายหญิงยังสามารถตกไข่ได้อยู่ คุณหมออาจแนะนำให้ใช้การนับวันตกไข่หรือใช้ชุดตรวจการตกไข่เพื่อเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์
นอกจากนี้คุณหมออาจให้ยากระตุ้นรังไข่เพื่อให้ไข่ตกมากกว่าหนึ่งใบในแต่ละรอบ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์มากกว่าการตกไข่รอบธรรมชาติที่มีไข่แค่หนึ่งใบ
โดยระยะเวลาของการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติขึ้นอยู่กับอายุ ถ้าฝ่ายหญิงอายุน้อยกว่า 35 ปี อาจให้ลองใช้วิธีนี้ได้นานถึง 1 ปี แต่ถ้าอายุ 35-40 ปี อาจให้ลองใช้วิธีนี้ประมาณ 6 เดือน และถ้าอายุ 40 ปีขึ้นไป หากผ่านไป 2-3 เดือนแล้วยังไม่เกิดการตั้งครรภ์ คุณหมอจะแนะนำให้เข้าสู่กระบวนการรักษาในขั้นตอนอื่นๆ ต่อไป
2. การฉีดน้ำเชื้อผสมเทียม (IUI)
IUI หรือ Intrauterine Insemination คือ การฉีดสเปิร์มหรือน้ำเชื้ออสุจิของฝ่ายชายเข้าโพรงมดลูกของฝ่ายหญิง ซึ่งเป็นขั้นตอนที่หากลองวิธีธรรมชาติไม่สำเร็จ แพทย์อาจแนะนำการทำ IUI ให้กับผู้ที่มีภาวะมีบุตรยาก
สำหรับการทำ IUI จะเป็นการกระตุ้นรังไข่ของฝ่ายหญิงเพื่อให้มีการโตและตกของไข่หลายๆ ใบ โดยคุณหมอจะใช้ยากระตุ้นรังไข่ ส่วนฝ่ายชายคุณหมอจะนัดเก็บสเปิร์มในวันที่ฝ่ายหญิงกำหนดให้มีการตกไข่ เพื่อคัดแยกเอาเฉพาะตัวสเปิร์มที่แข็งแรงและเคลื่อนไหวได้ดี จากนั้นจะฉีดเข้าสู่โพรงมดลูกโดยตรง
IUI จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ตั้งครรภ์มากกว่าการมีเพศสัมพันธ์โดยธรรมชาติประมาณสองเท่า หรือประมาณ 20%
อย่างไรก็ตาม คุณหมอโตจะแนะนำให้ทำ IUI 2-3 ครั้ง เพราะในครั้งที่ 2 และ 3 จะมีโอกาสตั้งครรภ์สูงที่สุด หากทำต่อไปเรื่อยๆ โอกาสตั้งครรภ์จะไม่สูงขึ้นกว่าการทำ IUI ในครั้งที่ 3
3. การทำเด็กหลอดแก้ว IVF และการทำอิ๊กซี่ (ICSI)
ขั้นตอนสุดท้ายถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง นั่นก็คือการทำเด็กหลอดแก้วหรือ IVF และอิ๊กซี่ (ICSI)
สำหรับการทำ IVF หรือการทำเด็กหลอดแก้ว (In Vitro Fertilization) คือการเอาไข่จากฝ่ายหญิงและสเปิร์มจากฝ่ายชายมาปฏิสนธิกันนอกร่างกายในห้องปฏิบัติการแล้วเลี้ยงให้โตเป็นตัวอ่อนในระยะบลาสโตซิสต์ จากนั้นก็ย้ายกลับเข้าโพรงมดลูกของฝ่ายหญิง เพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์
ส่วนอิ๊กซี่ หรือ ICSI (Intracytoplasmic Sperm Injection) คือการทำเด็กหลอดแก้วแบบหนึ่ง โดยนักวิทยาศาสตร์จะเลือกสเปิร์มตัวที่แข็งแรงที่สุด 1 ตัวและฉีดเข้าไปในเซลล์ไข่โดยตรงเพื่อให้เกิดการปฏิสนธิแล้วเลี้ยงจนเป็นตัวอ่อน จากนั้นก็ย้ายกลับเข้ามดลูกเหมือนขั้นตอนการทำ IVF
ทั้งสองวิธีนี้ถือว่ามีโอกาสประสบความสำเร็จสูง เนื่องจากสามารถคัดเลือกตัวอ่อนที่พร้อมฝังในมดลูกได้ทันที โดยเฉพาะการทำอิ๊กซี่ (ICSI) ที่คุณหมอจะคัดเลือกสเปิร์มที่แข็งแรงและมีคุณภาพดีที่สุดเพียง 1 ตัวฉีดเข้าไปในไข่โดยตรง เหมาะสำหรับคู่ที่ฝ่ายชายมีปัญหาเรื่องคุณภาพสเปิร์มต่ำ
การเตรียมตัวก่อนกระตุ้นรังไข่เพื่อทำเด็กหลอดแก้ว
ก่อนเข้าสู่กระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว คุณหมอจะตรวจอัลตราซาวด์ฝ่ายหญิงในช่วงที่เป็นประจำเดือนเพื่อนับจำนวนฟองไข่ในแต่ละรอบเดือนก่อน รวมถึงมีการเจาะเลือดเพื่อตรวจฮอร์โมนและตรวจค่า AMH
คุณหมออธิบายว่า AMH เป็นฮอร์โมนที่สร้างจากฟองไข่ขนาดเล็กในรังไข่ของฝ่ายหญิง ซึ่งจะบอกถึงปริมาณไข่ในรังไข่ในช่วงอายุนั้นๆ โดยค่า AMH จะสูงในช่วงแรกๆ ของวัยเจริญพันธุ์และจะค่อยๆ ลดลงตามอายุที่มากขึ้น
การตรวจวัดระดับ AMH จะช่วยให้คุณหมอวางแผนการรักษาภาวะมีบุตรยากได้ เพราะสามารถชี้วัดศักยภาพของรังไข่ได้ว่ามีไข่เหลืออยู่มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 35 ปี จะทำให้คุณหมอเลือกวิธีการกระตุ้นไข่ที่เหมาะสม รวมถึงการปรับปริมาณของยาให้เหมาะกับร่างกายของแต่ละคนเพื่อให้ได้ไข่คุณภาพดีที่สุด
ปัญหาภาวะมีบุตรยากจากฝ่ายชายที่ไม่ควรมองข้าม
โดยส่วนใหญ่ฝ่ายหญิงมักจะถูกมองว่าเป็นสาเหตุหลักของภาวะมีบุตรยาก แต่จริงๆ แล้วฝ่ายชายก็เป็นสาเหตุของภาวะมีบุตรยากได้เหมือนกัน
ดังนั้นการตรวจสเปิร์มก็เป็นขั้นตอนที่สำคัญมากๆ เพราะผู้ชายหลายคนที่แข็งแรงและมั่นใจว่าสเปิร์มของตัวเองมีคุณภาพ แต่พอตรวจเช็กแล้วคุณภาพของสเปิร์มอาจต่ำกว่าที่คิด
โดยระดับความอ่อนแอของสเปิร์มสามารถแบ่งได้เป็นสามระดับ ดังนี้
- สเปิร์มมีความอ่อนแอเล็กน้อย : มักแก้ไขได้ด้วยการปรับพฤติกรรมและดูแลสุขภาพร่างกาย
- สเปิร์มมีความอ่อนแอปานกลาง : ยังมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ด้วยการทำ IUI (ฉีดเชื้อเข้าโพรงมดลูก)
- สเปิร์มมีความอ่อนแอรุนแรง : อาจจำเป็นต้องทำเด็กหลอดแก้วแบบ ICSI โดยแพทย์จะคัดเลือกสเปิร์มที่แข็งแรงที่สุด 1 ตัว เพื่อนำไปฉีดเข้าไข่โดยตรง
การรักษาภาวะมีบุตรยากต้องให้กำลังใจ
การรักษาภาวะมีบุตรยากไม่ใช่แค่เรื่องของการแพทย์เท่านั้น แต่กำลังใจก็สำคัญไม่แพ้กัน คุณหมอโตมักบอกเสมอว่า สิ่งแรกที่ต้องทำคือ “ให้กำลังใจ” เพราะทุกคนที่ก้าวเข้ามาพบแพทย์ย่อมมีปัญหาติดตัวมาอยู่แล้ว บางคนมีปัญหามาก บางคนมีปัญหาน้อย บางคนมีแรงกดดันจากรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ญาติผู้ใหญ่ที่อยากอุ้มหลาน หรือแม้แต่เพื่อนและคนใกล้ตัวที่มักจะแสดงความห่วงใยแต่กลับกลายเป็นแรงกดดันโดยไม่รู้ตัว
คุณหมอโตเลยมักจะย้ำกับคนไข้เสมอว่า “ทุกปัญหามีทางออก อย่ากังวล” แค่กล้าที่จะออกมาจาก Comfort Zone เพื่อเข้ามาปรึกษาแพทย์ก็ถือว่าน่าชื่นชมแล้ว จากนั้นก็ให้เป็นหน้าที่ของแพทย์ในการค้นหาสาเหตุของภาวะมีบุตรยาก เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและตรงจุดต่อไป
ถึงแม้ว่าบางปัญหาอาจจะเป็นเรื่องยากและต้องใช้เวลา เช่น ความผิดปกติของมดลูกหรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ รวมถึงปัญหาที่พบได้บ่อยอย่างรังไข่เสื่อมในผู้หญิงวัย 35 ปีขึ้นไป ซึ่งทำให้จำนวนและคุณภาพของไข่ลดลง แต่ไม่ว่าอย่างไร หมอก็พร้อมจะช่วยหาทางออกที่เหมาะสมกับคนไข้แต่ละคน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ประสบการณ์ทำ ICSI แล้วได้ลูกแฝดกับคุณหมอโต
หนึ่งในเคสที่คุณหมอโตอยากเล่าให้ฟังถึงความสำเร็จของการทำ ICSI คือเคสของคุณปุ้ย ที่มีติ่งเนื้อที่โพรงมดลูก แต่ผลลัพธ์สุดท้ายแล้วได้ลูกแฝดที่แข็งแรง
โดยคุณปุ้ยตอนนั้นอายุ 38 ปี เข้ามาปรึกษาคุณหมอโตด้วยปัญหาอยากมีลูกมาก และยังแบกรับความกดดันจากคนในครอบครัวที่อยากอุ้มหลานคนแรก แต่ปัญหาคือ คุณปุ้ยตรวจพบว่ามีติ่งเนื้อในโพรงมดลูก ซึ่งจะลดโอกาสในการฝังตัวของตัวอ่อน
แต่ปัญหาการมีติ่งเนื้อในโพรงมดลูกไม่ใช่เรื่องน่ากังวล เพราะสามารถผ่าตัดส่องกล้องเอาติ่งเนื้อออกจากโพรงมดลูกได้ ซึ่งหลังจากเอาไปตรวจวินิจฉัยก็ปรากฏว่าเป็นติ่งเนื้อปกติ ไม่ใช่เนื้อร้าย โดยคุณหมอโตเล่าว่าส่วนใหญ่ติ่งเนื้อมักจะไม่ใช่เนื้อร้ายและยังสามารถตั้งครรภ์ได้ตามปกติ
หลังจากเอาติ่งเนื้อออกไปแล้ว คุณหมอก็ทำการกระตุ้นไข่ และเก็บไข่มาผสมกับสเปิร์มเพื่อให้เกิดเป็นตัวอ่อนในระยะบลาสโตซิสต์ จากนั้นก็นัดวันเพื่อฝังตัวอ่อนเข้าไปในโพรงมดลูก
เนื่องจากคุณปุ้ยอายุ 38 ปีและต้องการโอกาสการตั้งครรภ์สูง ในครั้งแรกที่วางตัวอ่อนจึงตัดสินใจใส่ตัวอ่อน 2 ตัว โดยหวังว่าจะมีตัวอ่อนเพียงหนึ่งตัวเท่านั้นที่จะฝังตัวในการวางตัวอ่อนครั้งแรก แต่ด้วยความโชคดี ตัวอ่อนทั้ง 2 ตัวได้ฝังตัวทั้งหมด คุณปุ้ยจึงได้ลูกแฝด
แต่อย่างไรก็ตาม ในเคสของคุณปุ้ยคุณหมอพยายามช่วยให้เกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ กำชับให้คุณปุ้ยควบคุมอาหารด้วยการรับประทานโปรตีนเยอะๆ ลดคาร์โบไฮเดรต และกินยาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะครรภ์เป็นพิษในอนาคต
นอกจากนี้ คุณหมอยังตรวจติดตามผลเป็นระยะๆ เพื่อวัดความยาวของคอมดลูก เพราะเมื่อไหร่ที่ความยาวของคอมดลูกสั้นลง ก็อาจมีโอกาสที่จะคลอดก่อนกำหนด
พออายุครรภ์ของคุณปุ้ยอยู่ที่ 34-35 สัปดาห์ ก็มีแนวโน้มว่าจะคลอดก่อนกำหนด คุณหมอเลยช่วยยืดระยะเวลาให้ได้นานที่สุด และสุดท้ายเด็กก็คลอดออกมาด้วยความแข็งแรง ไม่มีภาวะแทรกซ้อน และไม่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพราะการเตรียมตัวที่ดีในระหว่างตั้งครรภ์และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
ในท้ายที่สุด คุณปุ้ยก็ได้ลูกฝาแฝดกลับบ้านไปอย่างมีความสุข ซึ่งคุณปุ้ยและลูกก็แข็งแรงดี แต่สิ่งสำคัญที่สุดเลยที่คุณหมอมักจะย้ำเสมอคือ สิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่อยากให้คู่สามีภรรยาโทษกันว่าเป็นเพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะถ้าทั้งสองคนอยากจะมีลูกก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากฝ่ายไหนก็แค่ช่วยกันแก้ไข เพราะทุกเรื่อง ทุกปัญหา มีทางออกเสมอ
แค่มาเจอหมอแล้วหาปัญหาให้เจอ แนะนำให้ทุกคนต้องใจเย็นๆ ให้กำลังใจซึ่งกันและกันแล้วจะแก้ปัญหาร่วมกันได้ดี