ทุกลมหายใจของลูกน้อยคือสิ่งล้ำค่าที่คุณพ่อคุณแม่ต้องเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงแรกเกิดที่ร่างกายของเขายังบอบบางและภูมิคุ้มกันยังไม่สมบูรณ์แข็งแรง แต่ทราบหรือไม่ว่ามีไวรัสตัวร้ายชนิดหนึ่งที่มักระบาดในช่วงฤดูฝนจนถึงฤดูหนาวของประเทศไทย1 ที่อาจทำให้ลูกน้อยหายใจลำบากจนถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาลได้ นั่นคือไวรัส RSV ภัยเงียบต่อทารกอายุน้อยกว่า 6 เดือน เชื้อไวรัสที่พ่อแม่ยุคใหม่ต้องรู้เท่าทันและเตรียมรับมือให้เร็วที่สุด2
บทความนี้จะพาคุณพ่อคุณแม่ไปเจาะลึกทุกแง่มุมของเชื้อไวรัส RSV ในเด็กทารกเพื่อให้สามารถเตรียมพร้อมรับมือและปกป้องลูกน้อยตั้งแต่แรกคลอดจากภัยร้ายนี้กัน!
สารบัญ
ไวรัส RSV คืออะไร?
ไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus) คือ ไวรัสชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางเดินหายใจส่วนล่างบริเวณหลอดลมฝอยและปอด2
โดยเชื้อไวรัส RSV มีอยู่ 2 สายพันธุ์หลัก ได้แก่ RSV-A และ RSV-B มีฤดูกาลระบาดในช่วงกรกฎาคมยาวไปถึงเดือนพฤศจิกายนของทุกๆ ปี ซึ่งทั้งสองสายพันธุ์สามารถทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยไปจนถึงการติดเชื้อรุนแรงถึงแก่ชีวิต โดยมักก่อโรครุนแรงในกลุ่มเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 6 เดือน1,2
ไวรัส RSV จึงเป็นเชื้อที่น่ากังวลในเด็กทารกอายุน้อยกว่า 6 เดือนเป็นพิเศษ เนื่องจากทางเดินหายใจของทารกมีขนาดเล็กและทารกมีระบบภูมิคุ้มกันที่ยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่ การติดเชื้อไวรัส RSV จึงอาจทำให้หลอดลมฝอยอักเสบ มีเสมหะมากจนขัดขวางการหายใจ เกิดภาวะปอดอักเสบรุนแรง ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะทางเดินหายใจล้มเหลวได้3,4
ไวรัส RSV ติดต่อกันได้อย่างไร?4
การติดต่อของไวรัส RSV เกิดขึ้นได้ง่ายและรวดเร็วผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งจากระบบทางเดินหายใจของผู้ติดเชื้อ โดยไวรัส RSV สามารถแพร่กระจายได้ด้วยวิธีต่างๆ เช่น การไอ จาม การหายใจรดกัน การสัมผัสโดยตรง การสัมผัสผ่านพื้นผิวที่มีเชื้อปนเปื้อน หลังจากได้รับเชื้อแล้ว เชื้อไวรัสจะใช้เวลาประมาณ 2-8 วัน ในการฟักตัว แต่ในระยะนี้ผู้ติดเชื้อก็สามารถแพร่เชื้อต่อไปยังคนอื่นๆ ได้ตั้งแต่ก่อนเริ่มมีอาการ ดังนั้นครอบครัวที่มีเด็กเล็กหรือทารกแรกเกิดจึงควรระมัดระวังและป้องกันการแพร่เชื้ออย่างมาก
ไวรัส RSV ในเด็กอันตรายอย่างไร?
ไวรัส RSV เป็นสาเหตุสำคัญของการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างในเด็กเล็ก โดยเฉพาะทารกและเด็กเล็กที่ระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่สมบูรณ์และมีทางเดินหายใจขนาดเล็ก ทำให้การอักเสบ บวม หรือการสร้างสารคัดหลั่งที่เพิ่มขึ้นจากการติดเชื้อไวรัส RSV สามารถอุดกั้นทางเดินหายใจได้ง่าย นำไปสู่การเกิดอาการแทรกซ้อนที่รุนแรง3,5
- ภาวะหลอดลมฝอยอักเสบ (Bronchiolitis)5,6 : เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยที่สุดและเป็นอันตรายมากในเด็กเล็ก โดยเฉพาะทารกอายุต่ำกว่า 2 ปี โดยไวรัสจะทำให้เซลล์เยื่อบุของหลอดลมฝอยบวมอักเสบ หลั่งเมือกหนา และเกิดการอุดตันในท่อทางเดินหายใจขนาดเล็ก เด็กจึงมีอาการหายใจเร็ว หอบ เสียงครืดคราด หรือมีเสียงหวีด
- ภาวะปอดอักเสบ (Pneumonia)5,7 : ไวรัสสามารถลุกลามจากหลอดลมฝอยไปสู่ถุงลม ทำให้เกิดการอักเสบ บวม และเกิดการคั่งของสารคัดหลั่งภายในถุงลม ส่งผลให้การแลกเปลี่ยนก๊าซแย่ลง เด็กจึงอาจมีไข้สูง หายใจเหนื่อยหอบรุนแรง หรือออกซิเจนในเลือดต่ำลงได้
หากทางเดินหายใจมีการอักเสบรุนแรงอาจนำไปสู่ภาวะที่รุนแรงขึ้น เช่น ทางเดินหายใจล้มเหลว (Respiratory Failure) และการหยุดหายใจชั่วคราว (Apnea) ซึ่งอันตรายถึงแก่ชีวิตได้4
ไวรัส RSV ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อการเจ็บป่วยในระยะเฉียบพลันเท่านั้น การศึกษาพบว่าการติดเชื้อไวรัส RSV ที่รุนแรงในวัยเด็กโดยเฉพาะเด็กแรกเกิดมีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพระยะยาว เช่น เพิ่มโอกาสในการเป็นโรคหอบหืด (Asthma) ได้8
อาการเมื่อลูกติดเชื้อไวรัส RSV ที่พ่อแม่ควรสังเกต
อาการของการติดเชื้อไวรัส RSV ในเด็กเล็กมีความหลากหลาย โดยเฉพาะในทารกแรกเกิดหรือเด็กเล็กมากๆ อาการเริ่มต้นอาจไม่ชัดเจนนัก แต่เมื่อไวรัสลุกลามลงไปที่ทางเดินหายใจส่วนล่าง อาการจะเริ่มรุนแรงขึ้น พ่อแม่จึงควรสังเกตอาการของลูกน้อยอย่างใกล้ชิด9
อาการเริ่มต้นในช่วง 1-3 วันแรก เด็กอาจมีอาการคล้ายกับไข้หวัดธรรมดา เช่น มีไข้ มีน้ำมูก ไอแห้งหรือไอมีเสมหะ เจ็บคอหรือไม่แสดงอาการเจ็บคอก็ได้ อาจมีอาการเบื่ออาหาร กินนมหรืออาหารได้น้อยลง งอแงมากกว่าปกติ ดังนั้นหากพบว่าลูกมีอาการเหล่านี้ ควรรีบพาไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที เพราะอาการของ RSV ในเด็กเล็กอาจทรุดลงได้อย่างรวดเร็ว9
อาการติดเชื้อไวรัส RSV ที่ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร่งด่วน
เมื่อไวรัส RSV เข้าสู่หลอดลมฝอยและปอด อาการจะเริ่มรุนแรงขึ้นและเป็นสัญญาณอันตรายที่พ่อแม่ควรต้องรีบพาลูกไปพบแพทย์ โดยอาการที่ควรสังเกตมีดังนี้9
- ไอถี่ มีเสมหะมาก ไอจนเหนื่อย หรือไอโขลกๆ
- ลูกหายใจเร็วและหอบเหนื่อย หน้าอกและท้องมีการบุ๋มเข้าออกขณะหายใจอย่างชัดเจน ปีกจมูกบาน
- มีเสียงหายใจผิดปกติ โดยแบ่งออกเป็น 2 แบบหลักๆ ได้แก่ เสียงหวีด (Wheezing) มีเสียงแหลมๆ คล้ายนกหวีดดังออกมาขณะหายใจออก เป็นผลจากทางเดินหายใจตีบแคบลง และเสียงครืดคราด (Crackles) ซึ่งเกิดจากเสมหะที่ค้างอยู่ในทางเดินหายใจ
- ตัวเขียว ริมฝีปาก เล็บมือ และปลายเท้ามีสีเขียวคล้ำ แสดงถึงภาวะขาดออกซิเจนรุนแรง เป็นอาการฉุกเฉินที่ต้องรีบพาลูกไปโรงพยาบาลทันที
- ซึมลง ไม่ตอบสนอง กระสับกระส่าย มีอาการหงุดหงิด และงอแงผิดปกติ
- กินนมหรือดื่มน้ำได้น้อยมาก เสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำ
หากลูกติดเชื้อไวรัส RSV มีวิธีรักษาอย่างไร?
ปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัส RSV ที่จำเพาะกับเชื้อไวรัส RSV การรักษาหลักจึงเป็นการรักษาตามอาการ เพื่อบรรเทาอาการและประคับประคองให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้ โดยแพทย์อาจให้การรักษาเหล่านี้ตามความจำเป็น10
- การให้ยาเพื่อบรรเทาอาการ เช่น ยาลดไข้ น้ำเกลือหยดจมูก ยาละลายเสมหะ หรือยาพ่นขยายหลอดลม
- การดูดเสมหะและน้ำมูกอย่างนุ่มนวล ในเด็กเล็กที่มีเสมหะมากและไม่สามารถไอขับเสมหะออกมาได้เอง เพื่อให้เด็กหายใจได้สะดวกขึ้น
- การให้ออกซิเจน แพทย์อาจพิจารณาตามข้อบ่งใช้ในเด็กมีภาวะพร่องออกซิเจน หรือมีภาวะหายใจลำบาก
- การให้สารน้ำ เพื่อแก้ไขภาวะขาดน้ำในบางราย
วิธีป้องกันเชื้อไวรัส RSV
ไวรัส RSV เป็นสาเหตุสำคัญของโรคทางเดินหายใจในเด็ก โดยเฉพาะเด็กแรกเกิดและเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน เช่น หลอดลมฝอยอักเสบ หรือปอดอักเสบ ซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาลได้ การป้องกันจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยวิธีป้องกันลูกจากเชื้อไวรัส RSV มีดังนี้9,11
- ล้างมือบ่อยๆ อย่างถูกวิธี พ่อแม่และผู้ดูแลลูกควรล้างมืออย่างน้อย 20 วินาที หากไม่สามารถล้างมือด้วยสบู่และน้ำได้ ให้ใช้เจลแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นอย่างน้อย 60% ทั้งก่อนและหลังสัมผัสลูก
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
- งดพาเด็กเข้าพื้นที่เสี่ยง สถานที่แออัด ชุมชน หรือที่มีคนพลุกพล่าน
- ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรคบนพื้นผิวที่สัมผัสบ่อย ด้วยน้ำยาทำความสะอาดหรือน้ำยาฆ่าเชื้อ
- ฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส RSV ในคุณแม่ตั้งครรภ์ การฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส RSV ให้กับคุณแม่ตั้งครรภ์ในช่วงอายุครรภ์ 24-36 สัปดาห์ จะช่วยให้แอนติบอดีส่งผ่านทางรกไปยังทารกในครรภ์ ทำให้ทารกมีภูมิคุ้มกันตั้งแต่แรกเกิดและได้รับการปกป้องจากเชื้อไวรัส RSV ได้นานถึง 6 เดือนแรกของชีวิต ซึ่งเป็นช่วงที่ทารกมีความเสี่ยงสูงสุด9,12
หนึ่งในทางเลือกของการป้องกันที่ดีที่สุดคือการเตรียมพร้อมให้ลูกน้อยมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส RSV ตั้งแต่ลมหายใจแรกควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับสุขอนามัยและหลีกเลี่ยงการสัมผัสเชื้อโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูระบาด พ่อแม่จึงควรเป็นด่านแรกในการปกป้องลูกน้อยให้ปลอดภัยจากเชื้อไวรัส RSV
PP-A1G-THA-0265
บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
1 อาคารพาร์ค สีลม ชั้น 27 ห้อง 2701-2704 และ 2707-2708 ถนนคอนแวนต์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500 โทรศัพท์ 02-761-4555
*โปรดปรึกษาแพทย์/เภสัชกรเพิ่มเติมหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคหรือการใช้ยา