ยาแต่ละชนิดต้องอาศัยการใช้ที่ถูกวิธี และการปฏิบัติตัวที่ดีของผู้ป่วย เพื่อให้ยาได้ผลดีที่สุด หรือเกิดผลข้างเคียงน้อยสุด
เช่นเดียวกันกับ “ยาขับปัสสาวะ” ยาที่ช่วยกระตุ้นการขับปัสสาวะเพื่อรักษาโรคต่าง ๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง ภาวะบวมน้ำ บทความนี้จะพามารู้จักกับยาขับปัสสาวะ วิธีใช้ และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้
สารบัญ
ยาขับปัสสาวะ คืออะไร
ยาขับปัสสาวะ (Diuretic) เป็นยาที่ช่วยกระตุ้นการขับปัสสาวะ โดยตัวยาจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของไต เพื่อขับโซเดียมและน้ำออกมา ร่วมกับการขับปัสสาวะส่วนเกินออกจากร่างกาย
ยาขับปัสสาวะมักใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง ภาวะบวมน้ำ หัวใจวาย ตับวาย และนิ่วในไต โดยแบ่งได้เป็น 5 กลุ่ม ได้แก่
- กลุ่มไธอะไซด์ไดยูเรติก (Thiazide diuretics) เป็นยาขับปัสสาวะกลุ่มที่แพทย์ใช้มากที่สุด ออกฤทธิ์โดยตรงกับไต ช่วยยับยั้งการส่งโซเดียมและคลอไรด์ภายในหลอดไตส่วนปลาย เช่น Microzide (Hydrochlorothiazide) Chlorthalidone และ Zaroxolyn (Metolazone)
- กลุ่มลูปไดยูเรติก (Loop diuretics) มักใช้กับผู้ป่วยโรคหัวใจวาย โรคตับ โรคไต และภาวะความดันโลหิตสูง เพื่อช่วยลดโพแทสเซียม และขับออกมาทางปัสสาวะ เช่น Lasix (furosemide) Bumetanide Demadex (Torsemide) และ Edecrin (Ethacrynic acid)
- กลุ่มโพแทสเซียม-สแปริ่งไดยูเรติก (Potassium-sparing diuretics) ใช้ลดปริมาณน้ำในร่างกาย แต่ไม่ลดปริมาณโพแทสเซียม มักใช้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคต้อหินและมีอาการแพ้ความสูง เช่น Aldactone (Spironolactone) Inspra (Eplerenone) Dyrenium (Triamterene) และ Midamor (Amiloride)
- กลุ่มยายับยั้งเอนไซม์คาร์บอนิกแอนไฮเดรส (Carbonic anhydrase inhibitor) เคยใช้เป็นยาขับปัสสาวะ โดยยับยั้งเอนไซม์คาร์บอนิกแอนไฮเดรส ทำให้ช่วยขับกรดและโซเดียม ปัจจุบันนำมาใช้รักษาต้อหินและโรคกลัวความสูง เช่น Diamox (Acetazolamide)
- กลุ่มออสโมติกไดยูเรติก (Osmotic diuretics) ยากลุ่มนี้อาศัยกลไกเกี่ยวกับแรงดันออสโมติก ทำให้น้ำที่หน่วยไตเกิดการออสโมซิสน้อยลง และส่งผลให้ขับแร่ธาตุได้เกือบทุกชนิด ปัจจุบันใช้ลดความดันในกะโหลกศีรษะ และลดความดันลูกตา
วิธีใช้และการปฏิบัติตัวขณะใช้ยาขับปัสสาวะ
- ยาขับปัสสาวะเป็นยาที่ต้องใช้ภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์ และต้องใช้ตามฉลากยาระบุไว้อย่างเคร่งครัด เพราะยาขับปัสสาวะมักจะต้องใช้ร่วมกับยาประเภทอื่น ๆ ถ้าใช้น้อยหรือมากจนเกินไป อาจส่งผลให้เกิดอาการข้างเคียงต่อผู้ป่วยได้
- แพทย์อาจจำเป็นต้องตรวจร่างกายระหว่างใช้ยาขับปัสสาวะ เช่น วัดความดันเลือด ตรวจเลือด และตรวจปัสสาวะ เพื่อตรวจดูไตและแร่ธาตุต่าง ๆ ถ้ามีค่าใดผิดปกติ แพทย์จะได้ช่วยปรับการใช้ยาได้ทัน
- ยาขับปัสสาวะบางกลุ่มอาจทำให้ปริมาณของโพแทสเซียมลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ โดยแพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยกินอาหารเสริม เพื่อเพิ่มโพแทสเซียม หรือเลี่ยงอาหารที่มีโพแทสเซียมมาก ๆ ผู้ป่วยต้องปฏิบัติตามที่คำแนะนำอย่างเคร่งครัด
- ถ้ากินแค่วันละ 1 ครั้ง ควรกินยาในช่วงเช้า ถ้ากินวันละ 2 ครั้ง ควรกินในช่วงเช้าและบ่าย เพราะถ้ากินช่วงเย็นหรือก่อนนอน อาจต้องตื่นขึ้นมาปัสสาวะกลางดึก ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอจนส่งผลเสียต่อผู้ป่วยได้
- ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้
- แม้อาการจะดีขึ้นแล้ว ก็ไม่ควรหยุดยาเอง ต้องกินตามการดูแลของแพทย์เท่านั้น
ผลข้างเคียงของยาขับปัสสาวะ
ยาขับปัสสาวะอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้บ้าง เช่น
- มึนงง วิงเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ความดันโลหิตต่ำ
- ปวดกล้ามเนื้อ รวมทั้งอาจได้ยินเสียงแปลก ๆ
- ปริมาณน้ำตาลและไขมันในเลือดสูง
- ระบบสืบพันธุ์มีการเปลี่ยนแปลง เช่น ประจำเดือนมาผิดปกติ และสำหรับเพศชาย อาจพบเต้านมขยายใหญ่ผิดปกติ (พบในยากลุ่มโพแทสเซียม-สแปริ่ง Spironolactone)
- ถ้าสูญเสียโพแทสเซียมต่ำ อาจทำให้ปัสสาวะมาก กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นตะคริว กระหายน้ำ
- ผิวไวต่อแสง มีผื่นขึ้น หรือมีอาการคัน
- เกิดการกดไขกระดูก
- ระคายเคืองทางเดินอาหาร
- มีอาการแพ้ยา เช่น คัน มีผื่นขึ้น เจ็บคอ ตาพร่า ปวดศีรษะ เป็นจ้ำเลือดขึ้นตามผิวหนัง
คำเตือนและข้อควรระวังในการใช้ยาขับปัสสาวะ
ยาขับปัสสาวะอาจมีปฏิกิริยากับยาอื่น ๆ เช่น ยาซัลฟา ยาเกี่ยวกับโรคตับ โรคไต โรคเบาหวาน ยาแก้ข้ออักเสบ ยานอนหลับ หรือยาลดความดัน
ก่อนใช้ยาขับปัสสาวะ ต้องแจ้งให้ครบว่ากำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง ทั้งแผนปัจจุบันและแผนโบราณ รวมถึงปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่มีด้วย
ถ้ามีปัญหาด้านการขับถ่ายปัสสาวะ หรือแพ้ส่วนผสมที่อยู่ในยา ห้ามใช้ยาขับปัสสาวะโดยเด็ดขาด หรือถ้ามีภาวะเหล่านี้ ให้ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาทุกครั้ง
- มีปัญหาโรคไตหรือโรคตับรุนแรง
- มีภาวะขาดน้ำ
- หัวใจเต้นผิดปกติ
- กำลังตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสที่ 3 หรือมีความดันโลหิตสูงระหว่างตั้งครรภ์
- อายุ 65 ปีขึ้นไป
- เป็นโรคเกาต์
- มีประวัติแพ้ยาในกลุ่มซัลฟา เช่น Septra และ Bactrim (Sulfamethoxazole และ Trimethoprim)
- มีประวัติการใช้ยาที่ส่งผลต่อการได้ยิน เช่น ยารักษาโรคมะเร็ง
โดยปกติยาขับปัสสาวะจะไม่มีผลข้างเคียงถ้าอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์ และไม่ละเลยการปฏิบัติตามคำสั่ง
ถ้าแพ้ยาหรือเกิดอาการผิดปกติใด ๆ ระหว่างใช้ยา ต้องรีบแจ้งให้แพทย์ทราบทันที แพทย์จะได้พิจารณาเรื่องปรับการใช้ยาได้ และห้ามหยุดยาด้วยตัวเองนอกจากแพทย์จะอนุญาต เพราะอาจทำให้โรคที่เป็นอยู่ทรุดลงกว่าเดิม ไม่หายขาด
ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. พิสุทธิ์ พงษ์ชัยกุล / พญ. ปิยาภรณ์ กิตติสุรัตน์พงศ์