“การตรวจแปปสเมียร์” เป็นหนึ่งในวิธีการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูกที่ผู้หญิงทุกคนควรทำความรู้จักและทำความเข้าใจให้ดี เนื่องจากมะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบมากในผู้หญิงทั่วโลกรวมทั้งผู้หญิงไทย
มะเร็งปากมดลูกจัดอยู่อันดับที่ 2 รองมาจากมะเร็งเต้านม อีกทั้งยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญของผู้หญิงไทยด้วย สถิติจาก พ.ศ.2561 พบว่า โรคมะเร็งปากมดลูกคร่าชีวิตผู้หญิงไทยเฉลี่ยมากถึงวันละ 14 คน และทุกๆ ปีจะมีผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกรายใหม่มากถึงปีละ 8,600 ราย
แม้ตัวเลขนี้จะดูน่าตกใจ แต่ข่าวดีคือ มะเร็งชนิดนี้มีวิธีที่สามารถตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะแรกๆ และมีวิธีที่สามารถป้องกันการเกิดโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพมากถึง 80% โดยการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส HPV
อย่างไรก็ตาม แม้จะป้องกันตนเองจากโรคนี้แล้ว แต่สิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันก็คือ การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธีแปปสเมียร์นั่นเอง
สารบัญ
มะเร็งปากมดลูกคืออะไร
มะเร็งปากมดลูกเกือบทั้งหมดมีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัสชื่อ HPV (Human Papilloma Virus) ซึ่งมีหลากหลายสายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่ทำให้เกิดการติดเชื้อบริเวณอวัยวะเพศของผู้ชายและผู้หญิงได้ คือ สายพันธุ์ 16 และ 18
มะเร็งปากมดลูกสามารถติดต่อได้จากการมีเพศสัมพันธ์กับชายที่มีเชื้อไวรัสนี้ที่อวัยวะเพศ และเป็นโรคที่พบบ่อยในผู้หญิงอายุ 18-28 ปี หรือผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว
ความน่ากลัวของโรคมะเร็งปากมดลูกคือ หลังจากติดเชื้อไวรัสแล้วจะยังไม่แสดงอาการใดๆ นานนับสิบปี นั่นจึงทำให้ตัวเลขอายุผู้ป่วยโรคมะเร็งปากมดลูกจึงไม่สูงมากเมื่อเทียบกับมะเร็งชนิดอื่นคือ มักอยู่ระหว่าง 35-50 ปี
ดังนั้นหากผู้หญิงสามารถตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูกได้เร็วเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสและประสิทธิภาพในการรักษามากขึ้นเท่านั้น รวมถึงควรฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส HPV ให้ครบคอร์ส ซึ่งควรทำตั้งแต่ก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกจะดีที่สุด
ทั้งนี้ปัจจุบันมีการให้บริการคอร์สวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสเอชพีวีอย่างแพร่หลายตามโรงพยาบาลชั้นนำ โดยมีทั้งป้องกันเชื้อไวรัสเอชพีวี 2 สายพันธ์ุ และ 4 สายพันธุ์
การตรวจ Pap Smear คืออะไร
การตรวจ Pap smear หรือ Pap test คือ การตรวจคัดกรองเซลล์เยื่อบุปากมดลูกแบบหนึ่งซึ่งจะช่วยให้สามารถตรวจสอบว่า มีสิ่งใดผิดปกติบริเวณปากมดลูกหรือไม่ หรือมีเซลล์ผิดปกติในมดลูกไหม
การตรวจ Pap smear เป็นวิธีตรวจที่มีความแม่นยำประมาณ 50% แต่นิยมใช้กันมานานเพราะราคาไม่สูงเมื่อเทียบกับการตรวจแบบตินแพร็พ (ThinPrep) และการตรวจหาเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV DNA Test)
สิ่งที่สามารถตรวจพบได้จาก Pap smear ได้แก่ การอักเสบซึ่งอาจบอกได้ว่า มีสาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อพยาธิบางชนิดได้
ที่สำคัญสามารถบอกได้ว่า มีความผิดปกติจากการติดเชื้อเอชพีวี หรือมีเซลล์เปลี่ยนแปลงไปเป็นระยะก่อนเป็นมะเร็ง หรือเป็นมะเร็งปากมดลูก หรือไม่
หากพบความผิดปกติ แพทย์อาจต้องสั่งตรวจเพิ่มเติม เช่น การตัดเนื้อเยื่อออกมาตรวจเซลล์อีกครั้ง เพื่อให้ได้ผลตรวจประกอบการวินิจฉัยได้แม่นยำมากขึ้น จะได้วางแผนการดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างเหมาะสมตามสิ่งที่ตรวจพบต่อไป
การตรวจพบความผิดปกติของเซลล์ตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยรักษาและป้องกันไม่ให้เซลล์พัฒนากลายเป็นเนื้อร้ายได้ นอกจากนี้ยังอาจสามารถรักษาเซลล์มะเร็งที่เพิ่งเริ่มเป็นให้หายเป็นปกติได้
ใครควรได้รับการตรวจ Pap smear
American Cancer Society ได้จัดประชุมร่วมกับองค์กรต่าง ๆ ที่ดูแลด้านสุขภาพในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อ ค.ศ. 2002 ได้ข้อสรุปดังนี้
- ผู้หญิงอายุ 21 ปีขึ้นไป หรือหลังมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก 3 ปี (ขึ้นกับอย่างใดอย่างหนึ่งมาถึงก่อน) ควรได้รับการตรวจ Pap smear
- ควรตรวจ Pap smear เป็นประจำทุกปี
- หากผลตรวจเป็นปกติติดต่อกัน 3 ปี ไม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูก และไม่มีความผิดปกติใดๆ อาจเว้นระยะการตรวจเป็นทุก 2-3 ปี
- ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างให้เคมีบำบัด ผู้ติดเชื้อไวรัส HIV ต้องได้รับการตรวจ Pap smear ปีละ 2 ครั้ง หลังจากนั้นตรวจปีละ 1 ครั้ง
- ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดมดลูกออกไปแล้วไม่จำเป็นต้องตรวจมะเร็งปากมดลูก ยกเว้นผู้ที่เคยได้รับการวินิจฉัยว่า เป็นมะเร็งปากมดลูกมาก่อน ซึ่งกรณีนี้ต้องได้รับการตรวจภายในอีกอย่างน้อย 10 ปี
นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำอื่นๆ ต่อไปนี้
- เด็กผู้หญิงไม่จำเป็นต้องได้รับการตรวจ Pap smear จนกว่าแพทย์จะวินิจฉัยว่า มีความผิดปกติและมีความจำเป็นต้องได้รับการตรวจ
- ผู้หญิงอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจ Pap smear เป็นประจำทุกปี หากผลตรวจเป็นปกติติดต่อกัน 3 ปี สามารถเว้นระยะการตรวจให้เป็นตรวจทุกๆ 3 ปีได้
- ผู้หญิงอายุ 70 ปีขึ้นไป หากผลตรวจเป็นปกติติดต่อกัน 3 ปี ไม่มีความเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก และไม่มีความผิดปกติใดๆ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อาจไม่ต้องตรวจ Pap smear อีกต่อไป
การตรวจ Pap smear ไม่ทำให้คุณรู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด แต่อาจรู้สึกอึดอัดและไม่สบายตัวเท่านั้น
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจ Pap smear
- ไม่ควรมาตรวจในช่วงมีประจำเดือน มีคำแนะนำว่า ช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดในการตรวจคือ 10-20 วันหลังจากมีประจำเดือน นั่นหมายความว่าเมื่อนับจากวันแรกที่มีประจำเดือนเป็นวันที่ 1 และนับต่อไปอีกสิบวันจนวันที่ 11 ถึงวันที่ 20 ร่างกายจะสะอาด ผลตรวจจะมีค่าเบี่ยงเบนน้อย
- งดมีเพศสัมพันธ์มาก่อนการตรวจอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- ต้องไม่มีการตรวจภายในมาก่อนการตรวจอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
- ห้ามใช้ยาเหน็บช่องคลอดมาก่อนการตรวจ 48 ชั่วโมง
- ห้ามใช้ยาฆ่าเชื้ออสุจิในช่องคลอดมาก่อนการตรวจ 48 ชั่วโมง
- ห้ามล้าง หรือทำความสะอาดภายในช่องคลอดมาก่อนการตรวจ 24 ชั่วโมง
- เตรียมจิตใจให้พร้อม อย่ากังวล อย่ากลัว และอย่าเกร็งในขณะตรวจ
หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคมะเร็งปากมดลูก หรือต้องการคำแนะนำเกี่ยวกับการตรวจ ไม่ว่าจะวิธีการตรวจ สถานที่ตรวจ การเตรียมตัว อาจปรึกษาแพทย์ออนไลน์ ก่อน วิธีนี้สะดวกสบาย อยู่ที่ไหนก็สามารถปรึกษาแพทย์ได้
จะเกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่อตรวจ Pap smear
- แพทย์จะใช้เครื่องมือสำหรับตรวจคลอด (Speculum) เพื่อเปิดปากช่องคลอด เครื่องมือดังกล่าวมีลักษณะคล้ายปากเป็ดทำจากพลาสติก หรือโลหะ มีส่วนบานพับที่ปลายด้านหนึ่งซึ่งสามารถควบคุมให้เปิดหรือปิดได้ หากเครื่องมือเป็นโลหะ พยาบาลจะทำให้เครื่องมือดังกล่าวอุ่นขึ้นและจะแจ้งให้ผู้ตรวจทราบก่อนที่จะสอดเครื่องมือเข้าใปในช่องคลอด
- เมื่อเครื่องมือสอดเข้าไป แพทย์จะค่อยๆ เปิดขยายเครื่องมือ ซึ่งจะไม่ทำให้คุณรู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด ในขณะที่บางรายรู้สึกอึดอัดเมื่อเครื่องมือสอดเข้าไป เนื่องจากช่องคลอดล้อมรอบไปด้วยกล้ามเนื้อที่สามารถยืดหยุ่น หดรัดและคลายตัวได้ นั่นเอง ในขั้นตอนนี้หากไม่เกร็งช่องคลอด หายใจเข้า-ออกลึกๆ และเพ่งความสนใจไปที่การผ่อนคลายกล้ามเนื้อช่องคลอด ฮัมเพลงที่ชอบ หรือการพูดคุยกับแพทย์ หรือพยาบาลก็สามารถช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นได้
- เมื่อ Speculum อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมแล้ว แพทย์จะเปิดแสงไฟให้ส่องภายในช่องคลอดเพื่อตรวจดูปากมดลูก จากนั้นแพทย์จะค่อยๆ หมุนเครื่องมือเพื่อเก็บตัวอย่างเซลล์จากบริเวณปากมดลูกทุกจุดออกมา เพื่อส่งไปตรวจหาความผิดปกติ หรือเซลล์ที่มีการเปลี่ยนแปลงจนอาจทำให้เกิดมะเร็งได้
- หลังจากแพทย์เก็บตัวอย่างได้แล้วและนำอุปกรณ์ Speculum ออกมาแล้ว ถือว่า การตรวจเสร็จสิ้น ผู้เข้ารับการตรวจสามารถกลับบ้านได้และรอผลการตรวจจากห้องปฏิบัติการต่อไป
อย่างไรก็ตาม หลังการตรวจบางคนพบว่า มีเลือด หรือของเหลวออกมาจากช่องคลอดเล็กน้อยหลังจากการตรวจ Pap smear ก็อาจต้องใช้แผ่นอนามัยเพื่อบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม เลือดที่ออกมาไม่ใช่เลือดประจำเดือนและไม่ได้เป็นอันตรายใดๆ เลือดนี้จะออกมาเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นและหยุดได้เอง
แม้ว่าคุณผู้หญิงจะมีสุขภาพแข็งแรง มีสุขอนามัยที่ดี และไม่มีปัจจัยเสี่ยงมะเร็งปากมดลุก แต่หากเคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว หรือมีอายุ 21 ปีขึ้นไป แนะนำให้เข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำทุกปี หรือตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อความมั่นใจ
ตรวจสอบความถูกต้องโดย พญ. วรรณวนัช เสถียรธรรมมณี