กัญชา เป็นพืชชนิดหนึ่งที่มีทั้งประโยชน์ และโทษอยู่ในตัว ปัจจุบันรัฐบาลไทยได้แก้กฎหมายใหม่เพื่อเปิดโอกาสให้นำกัญชาไปศึกษาวิจัยเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ และนำไปใช้รักษาโรคภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์ได้
สารบัญ
กัญชาคืออะไร?
กัญชาเป็นพืชในตระกูล Cannabis มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cannabis sativa ซึ่ง มี 3 สายพันธุ์ย่อย ได้แก่
- Cannabis sativa spp. indica มีลักษณะเป็นพุ่มเตี้ย สูงไม่เกิน 2 เมตร ใบมีสีเขียวเข้ม มีลักษณะสั้นและกว้าง เติบโตได้ดีในพื้นที่ที่มีอากาศเย็น หรือการปลูกในร่ม นิยมปลูกเพื่อนำดอกมาใช้สารในกัญชาสกัดเป็นน้ำมันทางด้านการแพทย์ และนำมาใช้เพื่อการผ่อนคลาย
- Cannabis sativa spp. sativa หรือกัญชง ลำต้นใหญ่ หนา และแข็งแรง อาจสูงได้มากถึง 6 เมตร ใบมีลักษณะเรียวยาว สีเขียวอ่อน เติบโตได้ดีในพื้นที่ที่มีอากาศร้อน นิยมปลูกเพื่อเอาใยมาใช้ทางด้านอุตสาหกรรม เนื่องจากมีน้ำมันกัญชาน้อย
- Cannabis sativa spp. ruderalis ต้นเล็กคล้ายวัชพืช ใบมีลักษณะกว้างและเล็กผสมกัน เติบโตได้ดีทั้งในอากาศร้อนและเย็น พบได้มากในทวีปยุโรป
*คำว่า มารีฮวนน่า (Marijuana) เป็นคำแสลงใช้เรียกส่วนของดอกกัญชาที่ใช้นำมาสูบ
สรรพคุณทางการแพทย์ของกัญชา
กัญชามีประโยชน์ในทางการแพทย์มากมาย เนื่องจากปัจจุบันมีการยอมรับให้นำสารในกัญชามาศึกษาวิจัยเพื่อรักษาอาการป่วยรูปแบบต่างๆ มากมาย
สาระสำคัญส่วนใหญ่ในกัญชามี 2 ชนิดคือ Tetrahydrocannabinol (THC) และ Cannabidiol (CBD) ซึ่งการศึกษาวิจัยในปัจจุบันมีการสรุปสรรพคุณดังนี้
ประโยชน์ของสาร THC
- ลดการคลื่นไส้จากยาเคมีบำบัด
- ลดอาการปวดเรื้อรัง
- ลดอาการเบื่ออาหารในผู้ป่วยบางกลุ่ม (ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์)
- ลดการเกร็งในผู้ป่วยโรคทางระบบประสาทบางชนิด ได้แก่ Multiple sclerosis
โทษของสาร THC
- ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท
- เมาหลอนประสาท
- เสพติดและเพิ่มอัตราการฆ่าตัวตาย
- เกิดภาวะเป็นพิษเมื่อได้รับเป็นปริมาณสูง
ประโยชน์ของสาร CBD
ประโยชน์ของสาร CBD ที่มีงานวิจัยรองรับ คือ ใช้รักษาโรคลมชักในเด็กเฉพาะกลุ่มอาการ Lennox-Gastaut และ Dravet
ส่วนประโยชน์ต่อร่างกายและสมองที่มีแนวโน้มจะเป็นไปได้ แต่ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาวิจัย มีดังนี้
บรรเทาอาการวิตกกังวล (Antianxiety effect)
สารในกัญชาสกัดกลุ่ม แคนนาบินอล (Cannabidoid) สามารถช่วยลดอาการวิตกกังวล และช่วยให้มีความสุขในช่วงสั้นๆ ได้
อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวยังคงความเสี่ยงที่อาการวิตกกังวลจะกำเริบ และกลายไปเป็นโรคซึมเศร้า หรืออารมณ์แมเนียกำเริบ (Mania) ปัจจุบันนี้การออกฤทธิ์ของสารในกัญชายังคงมีความซับซ้อน และกำลังอยู่ในช่วงวิจัยทดลอง
ลดความเสี่ยงสมองฝ่อ (Neurodegeneration)
มีการวิจัยต่อเนื่องในประเทศอังกฤษโดยใช้สารในกัญชากลุ่ม Acid cannabinoids และ Endocannabioids พบว่า มีแนวโน้มที่จะรักษาอาการทางสมองบางประเภทได้ เช่น โรคพาร์กินสัน (Parkinson disease) โรคฮันติงตัน (Huntington disease)
แต่อย่างไรก็ตาม โรคและอาการทางระบบประสาทที่กล่าวมานี้ยังไม่มีข้อมูลยืนยันที่มากเพียงพอต่อการรักษา อีกทั้งยังมีโอกาสก่อให้เกิดโรคหลอดเลือดในสมองตามมาอีกด้วย ปัจจุบันกำลังอยู่ในขั้นตอนการทดสอบทางคลินิก
รักษาต้อหินที่ดวงตา (Glaucoma)
มีการศึกษาทดลองพบว่า สารสกัด THC ซึ่งเป็นสารในกัญชา ถูกนำมาใช้ในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะยาหยอด การกิน การดมกลิ่น พบว่า สามารถลดความดันลูกตาซึ่งเป็นสาเหตุของโรคต้อหินได้ 3-5 มิลลิลิตรปรอท
แต่ฤทธิ์ยาจะอยู่ได้เพียง 2-4 ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้ไม่สะดวกต่อการใช้งาน นอกจากนี้ยังมีผลข้างเคียงอื่นๆ ที่ส่งผลต่อสมอง เช่น ง่วงซึม อารมณ์แปรปรวน และหากรับยาผ่านการดมกลิ่น ก็อาจส่งผลกระทบกับปอดได้
ฉะนั้นจึงถือได้ว่า การใช้สารในกัญชาที่สกัดเพื่อรักษาต้อหินนั้นยังไม่ประสบความสำเร็จ และกำลังอยู่ในระหว่างวิจัยพัฒนา
บรรเทาอาการหอบหืด
สารในกัญชามีผลทำให้หลอดลมขยาย หรือลดการหดตัวได้ ฉะนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่จะใช้กัญชาในการควบคุมและบรรเทาอาการหอบหืด แต่ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
ลดอาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อ
สารในกัญชาบางชนิด เช่น CBD สามารถช่วยลดอาการปวดเกร็ง กล้ามเนื้อกระตุก โรคปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง
รักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง
เนื่องจากสารอนุพันธ์ของ THC ได้แก่ Nabilone และ Dronabinol สามารถลดอาการคลื่นไส้อาเจียนสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับผลข้างเคียงจากการใช้เคมีบำบัด อีกทั้งยังช่วยให้เจริญอาหารมากขึ้น น้ำหนักตัวลดช้าลง นอกจากนี้ในการทดลองกับสัตว์พบว่า เชื้อมะเร็งมีขนาดเล็กลงจากสารในกัญชากลุ่มอนุพันธ์บางชนิด
อย่างไรก็ตาม ยังคงมีสารอนุพันธ์กัญชาอีกบางชนิดที่ส่งผลเสียต่อผู้ป่วยโรคมะเร็ง เช่น Cannabidiol ทำให้เชื้อมะเร็งโตไวขึ้น จึงยังต้องอาศัยการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม
ช่วยควบคุมอาการลมชักบางชนิด (Epilepsy)
สารในกัญชาอนุพันธ์กลุ่ม CBD เป็นสารที่มักจะจับกับตัวรับระบบภูมิคุ้มกันและประสาทส่วนปลาย แต่ไม่มีพิษต่อระบบประสาท ทำให้สามารถใช้ควบคุมอาการชักได้
โดยให้ CBD 200-300 มิลลิกรัม ร่วมกับยากันชัก สามารถระงับอาการผู้ป่วยที่เกิดอาการชักแบบควบคุมไม่ได้ แต่ข้อเสียคือ มีผลข้างเคียงทำให้ง่วงซึม ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวก และต้องใช้ยาต่อเนื่องเป็นเวลานาน
อย่างไรก็ตาม สรรพคุณทางการแพทย์ของสารในกัญชานั้นยังต้องอาศัยการศึกษาค้นคว้าอีกมากมายเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง และต้องอยู่ในการกำกับดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ไม่ควรหามาลองใช้ด้วยตัวเอง เนื่องจากอาจเกิดอันตรายจากผลข้างเคียงได้
อันตรายจากการใช้กัญชาผิดวิธี
แม้สารในกัญชาจะมีประโยชน์ทางการแพทย์ แต่หากนำมาใช้ผิดวิธี เช่น สอดไส้บุหรี่สูบ ก็อาจทำให้เกิดอันตรายได้มากมาย ดังนี้
- เพิ่มความเสี่ยงเป็นมะเร็งปอด หลายคนมักนำไส้กัญชาแห้งมาม้วนผสมกับบุหรี่สูบเพื่อให้ผ่อนคลาย แต่กลับกลายเป็นสารในกัญชากลับไปเพิ่มสารพิษเข้าสู่ปอดมากกว่าเดิม อาจเปรียบได้ว่าการเสพกัญชามวนเพียง 4 มวน อาจเทียบเท่าการสูบบุหรี่ถึง 1 ซอง
- เพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า สารในกัญชาอาจทำให้อารมณ์ดีในระยะสั้นในช่วงที่เริ่มเสพ แต่เมื่อเสพไปนานๆ ในปริมาณมาก กลับมีผลวิจัยชี้ว่าเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าและอัตราการฆ่าตัวตายสูงขึ้น
- เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ สารในกัญชามีผลทำให้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนของผู้ชายลดลง ส่งผลให้อสุจิเองก็มีปริมาณลดลงด้วย ทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ หรือมีความรู้สึกทางเพศลดลง
- ระบบประสาทผิดปกติ หากใช้กัญชาในระยะเวลานาน หรือเสพกัญชาเป็นประจำ สารในกัญชาจะทำให้กระบวนการคิด การตัดสินใจ และความจำแย่ลง
รวมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับกัญชา
นอกจากข้อมูลเบื้องต้นในบทความแล้ว ยังมีอีกหลายข้อที่คนมักสงสัยและบางคนอาจเข้าใจผิด สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสารในกัญชาด้านล่างนี้
1. กัญชาอยู่ในร่างกายได้นานกว่าที่คุณคิด
สารในกัญชาจะค่อยๆ ถูกขับออกผ่านทางปัสสาวะและอุจจาระ ส่วนการที่สารในกัญชาจะค้างอยู่ในร่างกายนานแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับระยะเวลาและความถี่ในการใช้กัญชา
โดยสามารถตรวจพบได้ในระหว่าง 10-13 วันหลังเสพ หรืออาจนานถึง 45-90 วัน หากใช้กัญชาในปริมาณมากและติดต่อกันเป็นเวลานาน
2. กัญชาสามารถออกฤทธิ์ไม่นาน แต่ผลเสียเกิดขึ้นยาวนานมาก
ปกติแล้วหลังสูบกัญชา สารในกัญชาจะออกฤทธิ์สูงสุดภายในครึ่งชั่วโมง และมักเป็นอยู่นานประมาณ 3-8 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ใช้
ทั้งนี้หากสูบกัญชาบ่อยๆ เป็นระยะเวลานาน อาจส่งผลเสียต่อระบบประสาทและสมอง ทำให้สมาธิสั้น ระบบการคิดการตัดสินใจแย่ลง ภูมิคุ้มกันต่ำคล้ายกับผู้ป่วยโรคเอดส์
3. เมากัญชาทำไมต้องกินของหวาน?
กัญชามีฤทธิ์ผสมผสานหลายอย่าง เสพแล้วอาจทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายแปรปรวน เช่น ตาแดง คออักเสบ คอแห้ง เหงื่อออกมาก นอกจากนี้สารในกัญชายังเพิ่มการขับน้ำในร่างกายผู้เสพ ทำให้เกิดอาการหิวน้ำและต้องการรับประทานของหวาน
นอกจากนี้ยังมีส่วนทำให้ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้น มือเท้าเย็น เพราะสารในกัญชามีส่วนทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเปลี่ยนอีกด้วย
4. ติดกัญชา อยากเลิก มีวิธีการเบื้องต้นอย่างไร?
การเลิกเสพกัญชาเบื้องต้นนั้น ความตั้งใจของผู้ที่จะเลิกมีส่วนสำคัญมาก สามารถเลิกได้โดยวิธีการหยุดใช้ได้ทันที เมื่อหยุดใช้แล้วอาจจะมีอาการถอนยาบ้างในช่วง 1-2 วันแรก
จากนั้นอาการดังกล่าวจะค่อยๆ หายไปเอง ซึ่งจุดนี้อาจต้องได้รับกำลังใจจากคนในครอบครัว เพื่อน และคนรัก
หากคิดว่า ต้องการการช่วยเหลือเพิ่มเติม การติดต่อสถานบำบัดยาเสพติด หรือโทรสายด่วนเลิกยาเสพติด 1165 ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะทำให้คุณสามารถปรึกษากับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการเลิกสารเสพติดได้
กัญชาเป็นพืชที่มีทั้งประโยชน์และโทษจึงควรใช้กัญชาด้วยความตระหนักรู้ ไม่นำมาใช้ในทางที่ผิด เพราะอาจทำให้เกิดอาการเสพติดกัญชา ซึ่งส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว
ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. พิสุทธิ์ พงษ์ชัยกุล