เด็กเล็กเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ติดเชื้อไวรัสต่างๆ ได้ง่าย โดยเฉพาะช่วงเปิดเทอมที่โรคติดต่อในเด็กมักกลับมาระบาดอีกครั้ง หนึ่งในนั้นคือโรคมือ เท้า ปาก ที่คุณพ่อคุณแม่หลายคนกังวล
ซึ่งโรคมือ เท้า ปาก สามารถติดต่อได้ง่ายกว่าที่คิด ไม่ว่าจะติดจากการสัมผัสของใช้ ของเล่น หรือแม้แต่ละอองน้ำลายขณะไอหรือจาม ในบทความนี้จึงจะพาคุณพ่อคุณแม่มารู้เท่าทันช่องทางการแพร่เชื้อ พร้อมวิธีป้องกันลูกน้อยแบบง่าย ๆ ที่ทำได้ทุกวัน
สารบัญ
โรคมือ เท้า ปาก ติดต่อทางไหนได้บ้าง?
คุณพ่อคุณแม่อาจสงสัยว่า โรคมือ เท้า ปาก ติดต่อทางไหนได้บ้าง? ความจริงแล้วโรคมือ เท้า ปาก สามารถติดต่อและแพร่กระจายได้ง่ายมาก โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็กที่ยังไม่สามารถดูแลสุขอนามัยของตัวเองได้ดี โดยโรคมือ เท้า ปาก สามารถติดต่อได้ผ่านหลายช่องทาง ดังนี้
- การสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นน้ำลาย น้ำมูก หรือน้ำจากตุ่มพอง
- การไอหรือจาม ซึ่งทำให้เชื้อแพร่กระจายทางละอองฝอยในอากาศ
- การสัมผัสกับของเล่นหรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น แก้วน้ำ ช้อนส้อม หรือของเล่นที่เด็กหลายคนใช้ร่วมกัน
- การสัมผัสอุจจาระของผู้ป่วย ซึ่งเป็นช่องทางสำคัญ โดยเฉพาะในศูนย์เด็กเล็กหรือเนิร์สเซอรี่ที่มีการเปลี่ยนผ้าอ้อม
พฤติกรรมเสี่ยงอะไรบ้างที่ทำให้เด็กติดโรคมือ เท้า ปาก ได้ง่าย
แม้โรคมือ เท้า ปาก จะสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งหรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส แต่สิ่งที่ทำให้โรคนี้แพร่กระจายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น คือพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของเด็กเล็กที่มักขาดการดูแลด้านสุขอนามัยอย่างเหมาะสม
หากผู้ปกครองไม่ระวังหรือขาดความเข้าใจว่าโรคมือ เท้า ปาก ติดต่อได้อย่างไรบ้าง ก็อาจพลาดจุดเสี่ยงที่ทำให้ลูกน้อยติดเชื้อได้ง่ายโดยไม่รู้ตัว ซึ่งพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เด็กติดโรคมือ เท้า ปาก ได้ง่าย มีดังนี้
- เล่นในกลุ่มเด็กหลายคนและใกล้ชิดกันมาก : เด็กในเนิร์สเซอรี่หรือโรงเรียนอนุบาลมักอยู่ใกล้ชิดกันและมักสัมผัสกันขณะเล่นของเล่นหรือแบ่งปันขนม ซึ่งเพิ่มโอกาสให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
- ไม่ล้างมือก่อนกินอาหารหรือหลังเข้าห้องน้ำ : การไม่รักษาความสะอาดและละเลยการล้างมือก่อนกินอาหารหรือเข้าห้องน้ำ อาจส่งผลให้เชื้อที่ปนเปื้อนในอุจจาระหรือสารคัดหลั่งของเด็กง่ายต่อการเข้าสู่ร่างกายเด็กและแพร่สู่คนอื่น
- ชอบเอามือหรือของเล่นเข้าปาก : เด็กมักมีนิสัยหยิบจับสิ่งของแล้วเอาเข้าปากโดยไม่รู้ตัว สิ่งนี้จะช่วยให้เชื้อแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเชื้อที่ติดอยู่บนพื้นผิวหรือของเล่น
- ใช้ของใช้ร่วมกับเพื่อน : เช่น ช้อน แก้วน้ำ หรือผ้าเช็ดหน้า การที่มีน้ำลายหรือสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อปะปนในสิ่งของใช้เหล่านี้ จะทำให้เชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคมือ เท้า ปาก แพร่สู่เด็กได้ง่าย
วิธีป้องกันโรคมือ เท้า ปากในชีวิตประจำวัน
ถึงแม้โรคมือ เท้า ปาก อาจจะดูไม่รุนแรงมากในบางกรณีและส่วนใหญ่สามารถหายได้เอง แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ ถ้าลูกเป็นโรคมือ เท้า ปาก สายพันธุ์รุนแรงอย่าง Enterovirus 71 (EV71) ก็อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและนำไปสู่การเสียชีวิตได้
เพราะฉะนั้นการป้องกันอย่างถูกวิธีจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า โดยวิธีป้องกันโรคมือ เท้า ปากในชีวิตประจำวันที่แนะนำ มีดังนี้
- ล้างมือให้สะอาด : การล้างมือด้วยสบู่และน้ำสะอาดอย่างถูกวิธี เป็นวิธีที่ได้ผลดีในการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ และหลังจากเปลี่ยนผ้าอ้อม
- หลีกเลี่ยงการใช้ของส่วนตัวร่วมกัน : ไม่ควรให้เด็กใช้ของใช้ร่วมกัน เช่น ช้อน แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า หรือของเล่นที่เอาเข้าปากได้ เพราะเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคมือ เท้า ปาก สามารถปนเปื้อนและแพร่ผ่านทางน้ำลายหรือมือที่สัมผัสสิ่งของเหล่านี้ได้
- ทำความสะอาดของเล่นและพื้นผิวที่เด็กสัมผัสบ่อย : คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นเช็ดทำความสะอาดและฆ่าเชื้อของเล่น โต๊ะกินข้าว ลูกบิดประตู หรือของใช้ที่เด็กสัมผัสบ่อย เพื่อป้องกันเชื้อไวรัสที่อาจติดอยู่บนพื้นผิว
- แยกเด็กป่วยออกจากเด็กคนอื่น : หากลูกเริ่มมีอาการ เช่น ไข้ ปากเปื่อย หรือตุ่มขึ้นที่มือ เท้า ปาก ควรให้หยุดเรียนและพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านจนกว่าอาการจะหายหรือแพทย์อนุญาตให้กลับไปโรงเรียนได้
- สอนลูกไม่ให้เอาของเข้าปาก : เด็กเล็กอาจยังควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่การฝึกให้เด็กหลีกเลี่ยงการเอาของเล่นหรือมือเข้าปากจะช่วยลดโอกาสที่เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายได้
การฉีดวัคซีนป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ช่วยเสริมเกราะป้องกันได้
ปัจจุบันการฉีดวัคซีนป้องกันโรคมือ เท้า ปาก โดยเฉพาะสายพันธุ์รุนแรงอย่าง EV71 เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยป้องกันลูกน้อยจากอันตรายและภาวะแทรกซ้อนจากโรคมือ เท้า ปาก ได้ โดยเฉพาะเด็กเล็กที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนหลายอย่าง เช่น ภาวะสมองอักเสบ หรือระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว
โดยวัคซีนป้องกันโรค มือ เท้า ปาก สามารถเริ่มฉีดได้ตั้งแต่เด็กเล็กอายุระหว่าง 6 เดือนถึง 5 ปี 11 เดือน 29 วัน แนะนำให้ฉีดทั้งหมด 2 เข็ม ห่างกัน 1 เดือน
หลังจากฉีดครบทั้ง 2 เข็ม ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันและสามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ EV71 ได้สูงถึง 97% รวมถึงป้องกันอาการรุนแรง เช่น อาการทางระบบประสาทหรือระบบหัวใจได้ถึง 100%