hfmd damage disease definition

สัญญาณอันตราย! อาการโรคมือ เท้า ปาก แบบไหนที่ไม่ควรมองข้าม

“โรคมือ เท้า ปาก” เป็นโรคติดเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อยในเด็กเล็ก แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วอาการมักจะไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่ถ้าหากเกิดจากสายพันธุ์ที่อันตรายอย่าง Enterovirus 71 (EV71) ก็อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและอันตรายถึงชีวิตได้

บทความนี้จึงจะพาคุณพ่อคุณแม่ไปทำความเข้าใจถึงความรุนแรงของโรคมือ เท้า ปาก ที่ไม่ควรมองข้าม พร้อมทั้งอธิบายสัญญาณเตือนว่าอาการของโรคมือ เท้า ปาก เริ่มรุนแรงและอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่รับมือได้ทันและดูแลลูกน้อยได้อย่างปลอดภัย

โรคมือ เท้า ปาก รุนแรงมากแค่ไหน?

โรคมือ เท้า ปาก หรือ Hand, Foot and Mouth Disease (HFMD) เกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่ม เอนเทอโรไวรัส (Enterovirus) ซึ่งมีหลายสายพันธุ์ โดยสายพันธุ์ที่พบบ่อยคือ ค็อกแซคกีไวรัส A16 (Coxsackievirus A16) และ เอนเทอโรไวรัส 71 (Enterovirus 71 หรือ EV71) พบบ่อยในเด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ปี และมักมีการระบาดช่วงฤดูฝนของทุกปี

โดยทั่วไป โรคมือ เท้า ปาก มักเป็นโรคที่ไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรงและสามารถหายได้เองภายใน 7-10 วัน อย่างก็ตาม ความรุนแรงและอาการของโรคอาจแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ของเชื้อที่ได้รับ เช่น

  • ค็อกแซคกีไวรัส A16 : มักทำให้เกิดอาการทั่วไป เช่น มีไข้ ผื่น หรือตุ่มน้ำใสบริเวณมือ เท้า และในช่องปาก ส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรงและหายได้เอง
  • เอนเทอโรไวรัส 71 (EV71) : เป็นสายพันธุ์ที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เพราะสามารถก่อให้เกิดอาการรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้ เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรงคล้ายโปลิโอ สมองอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หรือน้ำท่วมปอด ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้

ดังนั้นถึงแม้ว่าโรคมือ เท้า ปาก จะดูเป็นเรื่องปกติในเด็กเล็ก แต่ถ้าหากลูกติดเชื้อสายพันธุ์ที่รุนแรงหรือมีภูมิคุ้มกันต่ำก็อาจทำให้มีอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงได้

สัญญาณเตือนว่าอาการมือ เท้า ปาก เริ่มรุนแรง

อาการเริ่มต้นของโรคมือเท้าปากจะคล้ายกับไข้หวัด จะเริ่มจากมีไข้สูง 38-39 องศาเซลเซียส จากนั้นจึงมีอาการอื่นๆ ตามมาภายใน 1-2 วัน เช่น อ่อนเพลีย เจ็บคอ หรือไม่อยากอาหาร เนื่องจากมีแผลที่กระพุ้งแก้มและเพดานปาก ร่วมกับการมีผื่นเป็นจุดแดงหรือตุ่มน้ำใสที่บริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า รอบก้นและอวัยวะเพศ ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถพบได้ทั่วไปและหายได้เอง

อย่างไรก็ตาม ในเด็กที่ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ EV71 อาจมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ ซึ่งมักเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พ่อแม่จึงจำเป็นต้องสังเกตอาการเตือนดังนี้

  • มีไข้ที่สูงมาก นานกว่า 48 ชั่วโมง
  • อาเจียนบ่อย
  • ซึมลง ง่วงมาก หรือไม่ตอบสนอง
  • เดินเซ ทรงตัวไม่ดี หรือแขนขาอ่อนแรง
  • มีอาการกระตุก (Myoclonic Jerk) หรือมือสั่น (Tremor)
  • หายใจหอบ เหนื่อย หรือมีเสียงครืดคราดในปอด
  • มือเท้าเย็น ผิวหนังมีสีคล้ำหรือลายเป็นจ้ำๆ (Mottled Skin)
  • เหงื่อออกมาก ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ หรือหัวใจเต้นแรง
  • มีอาการบวมจากน้ำท่วมปอด เช่น หายใจลำบาก หน้าเขียว

​​อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนว่าเชื้อไวรัสกำลังส่งผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลาง หัวใจ และปอด ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายจากโรคมือ เท้า ปาก

อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ถึงแม้ว่าโรคมือ เท้า ปากส่วนใหญ่จะไม่อันตราย แต่ก็มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ โดยในเด็ก 2,000-10,000 คน อาจพบเด็กที่มีอาการแทรกซ้อนรุนแรงได้ 1 คน ซึ่งอาการแทรกซ้อนที่อาจพบได้ มีดังนี้

  • ภาวะขาดน้ำ: เป็นภาวะที่สามารถพบได้มากที่สุด เนื่องจากโรคมือ เท้า ปาก อาจทำให้เกิดแผลในปากและลำคอ ทำให้กลืนลำบากและเด็กไม่อยากดื่มน้ำ
  • ภาวะน้ำท่วมปอด (Pulmonary Edema) : ภาวะนี้ทำให้เด็กที่ป่วยหายใจหอบรุนแรง เนื่องจากมีของเหลวไปสะสมในปอด
  • เยื่อหุ้มสมองอักเสบและสมองอักเสบ (Meningoencephalitis): เป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายที่สุด โดยเชื้อไวรัสสามารถลุกลามเข้าสู่สมอง ทำให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ เกิดอาการชัก ซึมลง เดินเซ และอาจทำให้พิการทางสมองหรือเสียชีวิตได้
  • กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis): เชื้อไวรัสจะเข้าสู่กล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้หัวใจทำงานผิดปกติ ส่งเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้น้อยลง และอาจส่งผลต่อการทำงานของหัวใจในระยะยาวหรืออาจรุนแรงถึงขั้นหัวใจวายและเสียชีวิตได้

การสังเกตอาการและพาเด็กไปพบแพทย์อย่างทันท่วงทีจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม ช่วยลดโอกาสเกิดอันตรายร้ายแรงในเด็กได้

หากลูกมีอาการมือ เท้า ปากรุนแรง ควรทำอย่างไร?

เมื่อพบว่าลูกมีสัญญาณเตือนของอาการรุนแรงตามที่กล่าวมาข้างต้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการพาลูกไปพบแพทย์ทันที ห้ามรอหรือให้การรักษาด้วยตัวเองที่บ้านเป็นอันขาด โดยในระหว่างที่พาลูกเดินทางไปโรงพยาบาลควรปฏิบัติดังนี้

  • สังเกตอาการของลูกอย่างใกล้ชิด: หากลูกมีอาการชัก ให้จับลูกนอนตะแคง และระวังไม่ให้สำลัก
  • วัดไข้เป็นระยะ: เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับแพทย์
  • เตรียมข้อมูลให้พร้อม: แจ้งประวัติการป่วย อาการที่สังเกตได้ และยาที่ให้ลูกกิน เพื่อช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้เร็วขึ้น

เมื่อถึงโรงพยาบาล แพทย์จะทำการตรวจร่างกายและวินิจฉัยเพิ่มเติม หากพบว่ามีอาการรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาการรักษาดังนี้

  • การรักษาแบบประคับประคอง: เช่น การให้น้ำเกลือเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ การใช้ยาลดไข้หรือยาแก้ปวด และการให้ยาปฏิชีวนะหากมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
  • การใช้ยาอิมมูโนโกลบูลิน (Intravenous Immunoglobulin: IVIG): ในบางกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ แพทย์อาจพิจารณาให้ยา IVIG เพื่อเสริมภูมิคุ้มกัน
  • การใช้เครื่องช่วยหายใจ: ในกรณีที่เด็กมีภาวะหายใจล้มเหลวหรือน้ำท่วมปอด

วิธีป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ไม่ให้ลูกกลับมาเป็นซ้ำและเสี่ยงอาการรุนแรง

วิธีป้องกันโรคมือ เท้า ปาก สามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการฉีดวัคซีนป้องกันโรคมือ เท้า ปาก EV71 และการรักษาสุขอนามัยที่ดี ดังนี้

  • รับวัคซีนป้องกันโรคมือ เท้า ปาก EV71 : การฉีดวัคซีนชนิดนี้จะช่วยป้องกันการติดโรคมือ เท้า ปาก จากเชื้อไวรัส EV71 ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดอาการรุนแรงได้ โดยสามารถเริ่มฉีดได้ในเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 5 ปี 11 เดือน ฉีดทั้งหมด 2 เข็ม ห่างกัน 1 เดือน
  • ล้างมือให้สะอาด: พ่อแม่ควรล้างมือให้ลูกและตัวเองด้วยสบู่และน้ำสะอาดบ่อยๆ โดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ และหลังจากสัมผัสสิ่งของที่ใช้ร่วมกัน
  • ทำความสะอาดของเล่นและพื้นผิวที่สัมผัสบ่อย: ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของคลอรีนหรือแอลกอฮอล์ 70% ขึ้นไป เพื่อฆ่าเชื้อไวรัส
  • ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น: งดการใช้แก้วน้ำ หลอดดูด ช้อนส้อม หรือของเล่นร่วมกับเด็กคนอื่น หากจำเป็นต้องรับประทานอาหารร่วมกันจะต้องใช้ช้อนกลางเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย: หากลูกไม่สบาย ควรให้หยุดไปโรงเรียนหรือไปในที่ชุมชน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น
  • ไม่ควรนำเด็กเล็กไปในที่ที่มีคนอยู่เป็นจำนวนมาก : เช่น ห้างสรรพสินค้า ตลาด สระว่ายน้ำ ควรอยู่ในที่ที่มีการระบายถ่ายเทอากาศได้ดี

วิธีป้องกันโรคมือ เท้า ปาก

Scroll to Top