หลายคนคงเคยได้ยิน เรื่องที่มีคนกินยาบางชนิด แล้วหลังจากนั้นเส้นผมก็หลุดร่วง ถึงขั้นศีรษะล้านในที่สุด แต่เรื่องนี้เป็นจริงหรือไม่ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น และมีตัวยาชนิดใดบ้างที่ส่งผลดังกล่าว
สารบัญ
กินยาแล้วหัวล้าน เป็นไปได้จริง
การรับประทานยาแล้วผมร่วงหรือหัวล้านนั้นเป็นไปได้จริง เนื่องจากยาบางตัวมีผลรบกวนกระบวนการสร้างและเจริญเติบโตของเส้นผม โดยยาจะมีผลรบกวนกลไกกระบวนการสร้างและเจริญเติบโตของเส้นผมใน 2 ช่วงได้แก่
- รบกวนในระยะเอนาเจน (Anagen phase) เป็นระยะที่ผมกำลังเจริญเติบโต ซึ่งผมส่วนใหญ่บนศีรษะประมาณ 85-90% อยู่ในระยะนี้ อาการผมร่วงที่เกิดจากยาที่มีผลต่อระยะเอนาเจ็นมักเกิดขึ้นภายในไม่กี่วันถึงไม่กี่สัปดาห์หลังการเริ่มใช้ยา ยาที่มีผลรบกวนกลไกในระยะเอนาเจ็น เช่น กลุ่มยามะเร็ง (Antineoplastic agents)
- รบกวนในระยะทีโลเจ็น (Telogen phase) เป็นระยะที่ผมหยุดการเจริญเติบโต ช่วงของโคนผมจะถูกผมที่ขึ้นใหม่ในระยะเอนาเจนมาแทนที่ โดยดันจนผมในระยะนี้หลุดร่วงไป ใช้เวลาประมาณ 100 วัน หรือ 3 เดือน ดังนั้น อาการผมร่วงที่เกิดจากยาที่มีผลต่อระยะทีโลเจ็นมักเกิดขึ้นโดยใช้ระยะเวลานาน 2-4 เดือน หลังจากเริ่มใช้ยา ยาที่มีผลรบกวนกลไกในระยะทีโลเจน เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulants) เรตินอล หรือวิตามินเอ (Retinol: vitamin A) ยากลุ่มยาลดไขมัน (Antihyperlipidaemic drugs) และยาคุมกำเนิดชนิดรับประทาน (Oral contraceptives)
ผลข้างเคียงจากยาจะทำให้ศีรษะล้านถาวรหรือไม่?
ผมร่วงที่เกิดจากการใช้ยามักเกิดขึ้นแบบชั่วคราว โดยหลังการหยุดยา ผมจะค่อยๆ กลับมาขึ้นเป็นปกติ ส่วนความถี่และความรุนแรงของอาการผมร่วงนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของยาและความไวต่ออาการข้างเคียงของแต่ละบุคคล ยาบางชนิดทำให้ผมร่วงในผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ได้รับขนาดยาที่เหมาะสม ในขณะที่ยาบางชนิดจะมีการตอบสนองเฉพาะบางบุคคลที่มีความไวต่อยาเท่านั้น
ตัวอย่างยาที่อาจทำให้ศีรษะล้าน
- กลุ่มยาต้านมะเร็ง (Antineoplastic agents) เป็นกลุ่มยาที่มีผลทำให้ผมร่วงเกือบ 100% ในผู้ป่วยที่ใช้ยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ได้รับยาเคมีบำบัดร่วมด้วย อาการผมร่วงจะยิ่งรุนแรงขึ้นจนทำให้ศีรษะล้านได้ โดยยามีผลทำให้เส้นผมที่งอกใหม่ไม่เจริญเติบโต และยังมีผลทำให้เส้นผมที่เจริญเติบโตแล้วอ่อนแอลงจนหลุดร่วง
ตัวอย่างยาต้านมะเร็ง เช่น ด็อกโซรูบิซิน (Doxorubicin: adriamycin), ไซโคลฟอสฟามายด์ (Cyclophosphamide), คลอมีทีน (Chlormethine: Mechlorethamine), เมโทเทร็กเซต (Methotrexate), ฟลูออโรยูราซิล (Fluorouracil), วินคริสทีน (Vincristine), ดอร์โนรูบิซิน (Daunorubicin), บลีโอมัยซิน (Bleomycin) และไฮดรอกซีคาร์บามายด์ (Hydroxycarbamide: Hydroxyurea) - ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulants) เช่น เฮพาริน (Heparin), เฮพารินอยด์ (Heparinoids), คูมาริน (Coumarins), เด็กทรานซ์ (Dextran) และอินแดนไดโอนซ์ (Indandiones)
- ยารักษาโรคไทรอยด์ (Antithyroid drugs) เช่น ไอโอดีน (Iodine), ไทโอยูราซิล (Thiouracils) และคาร์บิมาโซลล์ (Carbimazole)
- ยาคุมกำเนิดชนิดรับประทาน (Oral Contraceptives) หลายชนิด
- เรตินอลหรือวิตามินเอ (Retinol: vitamin A) โดยทั่วไปแล้วแพทย์มักสั่งจ่ายวิตามินเอเพื่อรักษาอาการผมร่วง อย่างไรก็ตาม การให้วิตามินเอขนาดยาสูงมีผลทำให้ศีรษะล้าน ดังนั้นหากต้องการใช้วิตามินเอเพื่อการรักษา ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรถึงขนาดยาที่เหมาะสมและวัตถุประสงค์ในการใช้
- กลุ่มยาลดไขมัน (Antihyperlipidaemic drugs) เช่น ไตรพารานอลล์ (Triparanol) และโคลไฟเบรต (Clofibrate)
- ยาอื่นๆ เช่น
- ยาถ่ายพยาธิ-อัลเบนดาโซล (Albendazole)
- ยารักษาโรคเกาท์-อัลโลพูรินอล (Allopurinol)
- ยาโรคหัวใจ-อะมิโอดาโรน (Amiodarone)
- ยารักษาโรคลมชัก-คาร์บามาซีพิน (Carbamazepine) และวาลโพรอิก เอซิด (Valproic acid; valproate sodium)
- ยารักษาวัณโรค-อีแทมบูทอล (Ethambutol)
- ยารักษาโรคซึมเศร้า-ฟลูอ็อกซีทีน (Fluoxetine)
- ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย-เจ็นทาไมซิน (Gentamicin)
- ยาลดปวดกลุ่ม NSAIDs-ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) และอินเมททาซิน (Indomethacin)
- ยาฆ่าเชื้อรา-ไอทราโคนาโซล (Itraconazole)
- ยารักษาโรคพาร์กินสัน-ลีโวโดพา (Levodopa), เมทิลโดพา (Methyldopa)
- ยาลดความกัด-เม็ทโทรโพรอล (Metoprolol)
ผู้ที่ต้องการใช้ยาต่างๆ ตามตัวอย่างที่กล่าวมา ควรปรึกษาแพทย์และประเมินผลดี-ผลเสียร่วมกัน ก่อนตัดสินใจทำการรักษา
อย่างไรก็ตาม โดยส่วนใหญ่หลังการหยุดยาผมของผู้ป่วยก็จะค่อยๆ งอกขึ้นมาทดแทนผมเดิมที่หลุดร่วงไป แต่สำหรับผู้ที่มีพันธุกรรมศีรษะล้านอยู่เป็นทุนเดิม อาจมีความเสี่ยงในการศีรษะล้านถาวรได้
เขียนบทความโดย ทีมเภสัชกร HD