ตรวจความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านมด้วยตนเอง

วิธีตรวจความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านมด้วยตนเอง

การตรวจโรคมะเร็งถือเป็นรายการตรวจสำคัญที่ผู้หญิงกลุ่มเสี่ยงทุกรายไม่ควรพลาด เพราะโรคมะเร็งเต้านมจัดเป็นโรคมะเร็งอันดับหนึ่งที่พรากชีวิตผู้หญิงทั่วโลกไปมากที่สุด

กลุ่มผู้หญิงที่เสี่ยงเป็นโรคมะเร็งเต้านม และควรเข้ารับการตรวจมะเร็งเต้านมจะมีดังต่อไปนี้

  • ผู้หญิงอายุประมาณ 35-40 ขึ้นไป
  • ผู้หญิงที่ประจำเดือนมาครั้งแรกตอนอายุน้อยกว่า 12 ปี
  • ผู้หญิงที่มีประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นโรคมะเร็งเต้านมมาก่อน
  • ผู้หญิงที่บริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่เป็นประจำ
  • ผู้หญิงที่เคยเข้ารับการรักษาโรคด้วยวิธีการฉายแสงมาก่อน
  • ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่เคยเข้ารับฮอร์โมนบำบัดเพื่อลดอาการของวัยหมดประจำเดือน
  • ผู้หญิงที่เคยใช้ยาคุมกำเนิดในระยะยาว

หากคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้และมีความกังวลว่า จะเข้าข่ายมะเร็งเต้านมหรือไม่ อาจใช้บริการปรึกษาแพทย์ออนไลน์เกี่ยวกับโรคมะเร็งก่อน เพื่อรับคำแนะนำเบื้องต้นโดยไม่ต้องไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล

วิธีตรวจมะเร็งเต้านมโดยแพทย์

การตรวจมะเร็งเต้านมกับแพทย์มักจะใช้วิธีตรวจอยู่ 4 วิธี ได้แก่

  • การใช้คลื่นความถี่สูงสำหรับถ่ายภาพเต้านม หรือการทำอัลตราซาวด์ (Ultrasound)
  • การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือการทำ MRI (Magnetic Resonance Imaging: MRI)
  • การถ่ายภาพรังสี หรือการทำแมมโมแกรม (Diagnostic mammography)
  • การผ่าตัดเพื่อนำชิ้นเนื้อไปตรวจทางพยาธิวิทยา (Biopsy)

วิธีตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตนเอง

แต่นอกเหนือจากวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งกับแพทย์แล้ว คุณก็สามารถตรวจความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านมด้วยตนเองได้เช่นกัน โดยแบ่งเป็น 2 วิธี

1. วิธีสำรวจดูเต้านม

วิธีตรวจความเสี่ยงมะเร็งเต้านมด้วยการสังเกตดู จะมีขั้นตอนต่อไปนี้

  • ยืนตรงหน้ากระจก แขนแนบข้างลำตัว ลำตัวตรงอยู่กับที่
  • ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ แล้วสังเกตขนาด รูปร่างของเต้านมทั้ง 2 ข้างว่า มีความผิดปกติหรือไม่ เช่น รอยบุ๋มที่เต้านม ก้อนนูน ผิวหนังที่บวมขึ้น ปานนมที่สีต้องเสมอกันทั้ง 2 ข้าง ผิวเต้านมที่ต้องไม่มีแผลถลอก ขนาดหน้าอก 2 ข้างที่ต้องเท่ากัน
  • เอามือ 2 ข้างเท้าสะเอวให้กล้ามเนื้อหน้าอกตึง
  • โน้มตัวไปข้างหน้า ระหว่างนั้นให้เกร็งตัว และกดน้ำหนักลงกับหน้าอก แล้วสังเกตรอยดึงรั้งของผิวเต้านม

2. วิธีคลำเต้านม

จะเป็นวิธีใช้มือคลึง หรือคลำกดเต้านม เพื่อหาก้อนมะเร็งที่อยู่ข้างใน โดยจะกดทั้งหมด 2 ตำแหน่ง ได้แก่

1. ตำแหน่งรักแร้กับเหนือไหปลาร้า ให้นั่งตัวตรง วางแขนข้างที่ต้องการตรวจกับโต๊ะ ใช้ปลายนิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนางของแขนอีกข้างคลำที่รักแร้ข้างที่ต้องการตรวจ แล้วสังเกตว่า มีก้อนเนื้ออยู่ใต้เต้านมหรือไม่

2. ตำแหน่งเต้านม สามารถทำได้หลายท่าด้วยกัน เช่น

  • ท่านอน ให้นอนหงาย หนุนหมอนเตี้ย แล้วเอาผ้าห่มหนุนใต้ไหล่ข้างที่ต้องการตรวจ จากนั้นยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ ใช้ปลายนิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนาง กดหนักไปทั่วเต้านม ห้ามบีบเนื้อเต้านม เพราะจะทำให้เข้าใจผิดว่า เนื้อเต้านมเป็นก้อนมะเร็งได้จากนั้นให้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้บีบที่หัวนมเพื่อตรวจว่า มีของเหลวไหลเช่น น้ำเลือด น้ำเหลืองไหลออกมาจากเต้านมหรือไม่
  • ท่ายืนขณะอาบน้ำ โดยจะอาศัยความลื่นจากสบู่มาเป็นข้อได้เปรียบในการตรวจ ให้ยกแขนข้างที่ต้องการตรวจขึ้นเหนือศีรษะ แล้วใช้ปลายนิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนางมือ กดหนักไปทั่วเต้านม รวมถึงบีบหัวนมเพื่อตรวจว่า มีของเหลวไหลออกมาหรือไม่ด้วย

นอกจากนี้วิธีคลึงเต้านมยังแบ่งออกได้หลายแบบด้วยกัน คือ

  1. วิธีคลำตามเข็มนาฬิกา โดยเริ่มจากส่วนบนของหัวนม แล้วเลื่อนนิ้วมือวนเป็นวงกลมตามเข็มนาฬิกาขยายใหญ่ออกไปเรื่อยๆ จนถึงฐานเต้านม และรักแร้ จากนั้นให้กดสำรวจบริเวณใต้หัวนมว่า มีก้อนเนื้ออยู่ภายในหรือไม่ พร้อมกับบีบหัวนมเพื่อสังเกตดูของเหลวที่อาจไหลออกมา
  2. วิธีคลำตามแนวนอนขึ้นลงขนานไปกับลำตัว โดยให้คลำจากส่วนล่างที่ขอบราวเต้านมก่อนแล้วลากปลายนิ้วขึ้นมาบริเวณกระดูกไหปลาร้า จากนั้นกดคลำลงไปในแนวขึ้นลงเหมือนเดิมจนทั่วพื้นที่ของเต้านม
  3. วิธีคลำเป็นรัศมีรอบเต้านม หรือรูปลิ่ม โดยให้เริ่มคลำจากเส้นบวนของเต้านมลากลงไปถึงฐานเต้านม แล้วขยับปลายนิ้วมือจากฐานขึ้นมาที่หัวนมอีกครั้ง ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เป็นรัศมีรอบเต้านมถึงกระดูกไหปลาร้า และรักแร้

ความถี่ในการตรวจความเสี่ยงมะเร็งเต้านมด้วยตนเองควรอยู่ที่ 1 ครั้งต่อเดือน และควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านมทุกๆ 1-3 ปี

อย่าชะล่าใจว่า โรคมะเร็งเต้านมอาจไม่เกิดกับตนเอง ถึงแม้คุณจะไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เพราะโรคนี้สามารถเกิดได้กับผู้หญิงทุกคนอย่างคาดเดาไม่ได้

รีบตรวจหาความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านมตั้งแต่วันนี้ เพื่อที่หากพบว่า ตนเองมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งเต้านม หรือพบว่า มีก้อนมะเร็ง จะได้รีบหาทางรักษาอย่างเหมาะสมได้ทันเวลา


ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. วรพันธ์ พุทธศักดา


ที่มาของข้อมูล

Scroll to Top