Default fallback image

ผ่าตัดปอดโดยการส่องกล้อง คืออะไร รักษาโรคอะไรได้บ้าง

เมื่อพูดถึงการผ่าตัดปอด หลายคนอาจนึกถึงการผ่าตัดใหญ่แบบเปิดหน้าอก ซึ่งใช้เวลาฟื้นตัวนาน มีแผลใหญ่ ต้องระมัดระวังในการดูแลร่างกายค่อนข้างมาก แต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีทางการแพทย์ได้พัฒนาไปไกลจนทำให้การผ่าตัดบางประเภทสามารถทำได้โดยใช้วิธีการส่องกล้อง หรือที่เรียกว่า “การผ่าตัดปอดโดยการส่องกล้อง” หรือ Video-Assisted Thoracic Surgery (VATS) 

การผ่าตัดปอดโดยการส่องกล้อง เป็นเทคนิคการผ่าตัดแบบแผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว และปลอดภัยมากขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ VATS อย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมาย การรักษาโรค ขั้นตอนการผ่าตัด การเตรียมตัว ไปจนถึงการดูแลตัวเองหลังผ่าตัด

การผ่าตัดปอดโดยการส่องกล้อง คืออะไร?

การผ่าตัดปอดโดยการส่องกล้อง (Video-Assisted Thoracic Surgery: VATS) คือเทคนิคการผ่าตัดผ่านกล้องส่องภายในทรวงอก โดยแพทย์จะทำแผลเล็กๆ บริเวณทรวงอกประมาณ 1-3 จุด จากนั้นจะใส่กล้อง (Thoracoscope) ที่มีขนาดเล็กและมีกล้องวิดีโอความละเอียดสูงเข้าไป พร้อมกับเครื่องมือผ่าตัดชนิดพิเศษ เพื่อช่วยให้สามารถมองเห็นภายในทรวงอกและทำการผ่าตัดได้อย่างแม่นยำ

ข้อดีของการผ่าตัดด้วย VATS ได้แก่

  • แผลเล็ก เจ็บน้อย
  • ฟื้นตัวเร็ว อยู่โรงพยาบาลไม่นาน
  • เสี่ยงต่อการติดเชื้อน้อยลง
  • กลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วขึ้น

การผ่าตัด VATS ช่วยรักษาโรคอะไรได้บ้าง?

VATS ใช้ในการวินิจฉัยและรักษาโรคต่างๆ ภายในทรวงอก โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวข้องกับปอด และเยื่อหุ้มปอด ตัวอย่างโรคที่สามารถรักษาได้ด้วยวิธีนี้ ได้แก่

  1. มะเร็งปอด (Lung Cancer)
  2. มะเร็งที่แพร่กระจายมาที่ปอด (Metastatic Lung Cancer)
  3. มะเร็งหลอดอาหารและต่อมไทมัส
  4. ถุงลมโป่งพอง และโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)
  5. ภาวะมีของเหลวในช่องเยื่อหุ้มปอด (Pleural Effusion)
  6. เนื้องอกบริเวณกระดูกสันหลังหรือใกล้กระดูกสันหลัง (Paraspinal Tumors)
  7. โรคเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperhidrosis)
  8. โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Myasthenia Gravis)
  9. ต่อมน้ำเหลืองผิดปกติ และโรคระบบภูมิคุ้มกันต่างๆ

ขั้นตอนการผ่าตัดปอดด้วยการส่องกล้อง

1. การวางยาสลบ

ผู้ป่วยจะได้รับยาสลบชนิดทั่วไปโดยวิสัญญีแพทย์ เพื่อทำให้หมดสติในระหว่างผ่าตัด พร้อมใส่ท่อช่วยหายใจเพื่อควบคุมการหายใจ โดยเครื่องช่วยหายใจจะทำงานแทนปอดของผู้ป่วยข้างหนึ่ง เพื่อให้ปอดอีกข้างยุบตัวลงและมีพื้นที่สำหรับผ่าตัดได้สะดวก

2. การกรีดแผลเล็กๆ บริเวณหน้าอก

แพทย์จะทำแผลผ่าตัดเล็กๆ ขนาดประมาณ 0.5 – 1.5 เซนติเมตร บริเวณผนังทรวงอก 1–3 จุด ขึ้นอยู่กับชนิดของ VATS ที่ใช้ เช่น การผ่าตัดแบบ 1 รู (Uniportal VATS) หรือ 3 รู (Multiportal VATS) โดยตำแหน่งแผลจะอยู่ระหว่างซี่โครง เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บต่อกล้ามเนื้อและกระดูก

3. การใส่กล้องส่องและเครื่องมือผ่าตัด

ขั้นตอนนี้แพทย์จะใช้กล้องส่องภายในทรวงอก ซึ่งมีกล้องวิดีโอขนาดเล็กสอดเข้าไปในช่องอก เพื่อแสดงภาพภายในแบบเรียลไทม์ผ่านหน้าจอ และใส่เครื่องมือผ่าตัดชนิดพิเศษ เช่น กรรไกรไฟฟ้า เครื่องตัดเย็บอัตโนมัติ และอุปกรณ์ดูดเลือด ผ่านรูอื่นๆ เพื่อให้ผ่าตัดอย่างแม่นยำ

4. การตัดชิ้นเนื้อ หรือกำจัดเนื้อเยื่อผิดปกติ

ขั้นตอนนี้แพทย์จะผ่าตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา หรือตัดต่อมหรือตำแหน่งของปอดที่เป็นโรค เช่น การตัดกลีบปอด (Lobectomy) การตัดเฉพาะบางส่วนของปอด (Segmentectomy หรือ Wedge Resection) หรือการตัดเยื่อหุ้มปอดบางส่วน

5. การใส่สายระบายทรวงอก (Chest Tube)

เมื่อเสร็จสิ้นการผ่าตัด แพทย์จะใส่สายระบายทรวงอกเพื่อช่วยระบายลม เลือด หรือของเหลวที่อาจสะสมภายในช่องอกหลังผ่าตัด โดยสายนี้จะเชื่อมต่อกับกล่องระบายแรงดันลบ เพื่อช่วยให้ปอดกลับมาขยายตัวเป็นปกติ และมักถอดออกเมื่อของเหลวหมดและการหายใจเป็นปกติ

6. การปิดแผลผ่าตัด

แพทย์จะทำความสะอาดแผลแล้วเย็บปิดด้วยไหมละลายหรือไหมไม่ละลาย ซึ่งจะนัดตัดไหมในภายหลัง หรือใช้เครื่องแม็กเย็บแผลแล้วปิดด้วยพลาสเตอร์กันน้ำ จากนั้นพันแผลด้วยผ้าสะอาดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ

โดยทั่วไป ระยะเวลาการผ่าตัดอยู่ที่ประมาณ 2–3 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของโรค และผู้ป่วยจะต้องพักฟื้นในโรงพยาบาลประมาณ 1–3 วัน โดยในช่วงนี้แพทย์จะประเมินอาการ ติดตามผลการฟื้นตัว และให้การดูแลอย่างใกล้ชิด

การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัด

1. ตรวจประเมินสุขภาพโดยรวม (Preoperative Evaluation)

  • แพทย์จะสอบถามประวัติสุขภาพ การแพ้ยา ประวัติการเจ็บป่วย และการผ่าตัดที่ผ่านมา
  • ประเมินสมรรถภาพร่างกายและอวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ ปอด ไต และตับ ว่าทำงานปกติหรือไม่
  • ผู้สูงอายุหรือผู้มีโรคประจำตัวอาจต้องพบแพทย์เฉพาะทางร่วมประเมินก่อนผ่าตัด

2. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

  • ตรวจเลือด: เช็กความสมบูรณ์ของเลือด การแข็งตัวของเลือด ระดับน้ำตาล ไขมัน และค่าการทำงานของตับ-ไต
  • ตรวจสมรรถภาพปอด (Pulmonary Function Test): ทดสอบความสามารถของปอดในการหายใจ เพื่อประเมินความพร้อมในการผ่าตัดปอด
  • EKG / คลื่นไฟฟ้าหัวใจ: ประเมินภาวะหัวใจผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น
  • X-ray / CT Scan ทรวงอก: เพื่อดูขนาด ตำแหน่ง และลักษณะของโรคหรือเนื้องอก

3. คำแนะนำก่อนผ่าตัด

  • งดอาหาร-น้ำ: 6-8 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด เพื่อป้องกันการสำลักระหว่างดมยาสลบ
  • หยุดยาบางชนิด:
    • ยาต้านเกล็ดเลือด (Aspirin, Clopidogrel)
    • ยาละลายลิ่มเลือด (Warfarin, NOACs) ต้องหยุดตามคำแนะนำแพทย์
  • งดสูบบุหรี่: อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เพื่อช่วยให้การหายใจดีขึ้น ลดเสมหะ ลดโอกาสปอดติดเชื้อ

การดูแลตัวเองหลังผ่าตัด

ช่วงพักฟื้นในโรงพยาบาล (ประมาณ 3-7 วัน ขึ้นอยู่กับเคส)

  • การควบคุมความเจ็บปวด: แพทย์จะให้ยาแก้ปวด ชนิดรับประทาน หรือทางเส้นเลือด
  • กายภาพบำบัดปอด:
    • ฝึกหายใจลึกๆ หรือใช้เครื่อง Incentive Spirometer เพื่อป้องกันปอดแฟบ
    • ไออย่างถูกวิธีเพื่อระบายเสมหะ
  • ลุกเดินเร็วที่สุด:
    • เพื่อป้องกันภาวะลิ่มเลือดอุดตันที่ขา (DVT)
    • กระตุ้นระบบไหลเวียนและการทำงานของลำไส้

หลังกลับบ้าน

  • พักผ่อนให้เพียงพอ แต่ควรลุกเดินบ้างเพื่อกระตุ้นระบบต่างๆ ของร่างกาย
  • เปลี่ยนผ้าปิดแผลตามคำแนะนำแพทย์ ป้องกันการติดเชื้อ
  • งดขับรถ / ยกของหนัก ประมาณ 2–4 สัปดาห์หลังผ่าตัดหรือจนกว่าแพทย์อนุญาต เพื่อไม่ให้แผลแยกหรือเจ็บแผลมากขึ้น
  • กินยาตามคำแนะนำ ได้แก่ ยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ปวด หรือยาละลายเสมหะ

สัญญาณอันตรายที่ควรพบแพทย์ทันที

    • มีไข้เกิน 38 องศาเซลเซียส อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อหลังผ่าตัด เช่น ติดเชื้อในปอดหรือแผลผ่าตัด ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ
    • แผลบวม แดง ร้อน หรือมีหนอง บ่งบอกถึงการอักเสบหรือติดเชื้อที่บริเวณแผล ซึ่งอาจลุกลามได้หากไม่รักษาอย่างถูกต้อง
  • หายใจลำบากหรือหอบเหนื่อยมากขึ้น อาจเกิดจากภาวะปอดแฟบ น้ำในช่องปอด หรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่ต้องได้รับการดูแลทันที
  • เจ็บหน้าอกรุนแรงหรือผิดปกติ อาจเกิดจากลิ่มเลือดอุดตันในปอด หรือเลือดออกในช่องอก ซึ่งเป็นภาวะเร่งด่วนทางการแพทย์
  • ไอเป็นเลือด อาจเป็นสัญญาณของการบาดเจ็บในปอดหรือหลอดลม ต้องได้รับการวินิจฉัยและดูแลอย่างเร่งด่วน

ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

แม้จะเป็นการผ่าตัดแบบแผลเล็ก แต่ก็ยังมีความเสี่ยง เช่น

  • ปอดแฟบ (Pneumothorax) เกิดจากอากาศรั่วในช่องอก
  • ติดเชื้อในปอด โดยเฉพาะถ้าผู้ป่วยมีเสมหะเยอะหรือปอดอ่อนแอ
  • เลือดออกภายใน อาจต้องผ่าตัดซ้ำหากรุนแรง
    บาดเจ็บต่ออวัยวะข้างเคียง หลอดเลือด เส้นประสาท
  • ผลข้างเคียงจากยาสลบ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ความดันต่ำ หัวใจเต้นผิดจังหวะ

การผ่าตัดปอดโดยการส่องกล้อง เป็นทางเลือกที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคภายในทรวงอก โดยเฉพาะโรคปอดและเนื้องอก การผ่าตัดวิธีนี้ช่วยลดการเจ็บปวด ฟื้นตัวเร็ว และลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อนต่างๆ อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจรักษาควรอยู่ภายใต้การประเมินของแพทย์ ร่วมกับความเข้าใจและการเตรียมตัวของผู้ป่วยอย่างเหมาะสม

อาการที่เป็นอยู่ต้องรักษาแบบไหน? การผ่าตัดโดยการส่องกล้องเป็นวิธีที่เหมาะกับเราไหม? วิธีไหนเสี่ยงน้อย แต่ได้ผลลัพธ์ดีที่สุดสำหรับเรา? นัดคุยกับคุณหมอเฉพาะทาง ผ่านทีม HDcare สะดวกรวดเร็ว ทันใจ หรือค้นหาแพ็กเกจรักษาโรคปอด จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย

Scroll to Top