รักษาอุ้งเชิงกรานหย่อนด้วยวิธีไหนได้บ้าง รักษาแบบไหนเหมาะกับเรา จะมีเพศสัมพันธ์ได้อีกไหม อันตรายไหม
บทความนี้รวบรวมคำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับการรักษาอุ้งเชิงกรานหย่อนมาไว้ให้แล้ว เพื่อให้คุณเข้าใจวิธีการรักษามากขึ้น และสามารถเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับตัวเองได้อย่างมั่นใจ
สารบัญ
- 20 ข้อควรรู้เกี่ยวกับการรักษาอุ้งเชิงกรานหย่อน
- ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน คืออะไร?
- ปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้างที่ทำให้เกิดอุ้งเชิงกรานหย่อน?
- ใครบ้างที่ต้องเข้ารับการรักษา?
- ทำไมต้องรักษาอุ้งเชิงกรานหย่อน?
- การรักษาอุ้งเชิงกรานหย่อน มีกี่วิธี?
- การรักษาด้วยวิธีไหนเหมาะกับใคร?
- การวินิจฉัยอุ้งเชิงกร่านหย่อน ทำอย่างไร?
- การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานทำอย่างไร?
- การใช้อุปกรณ์พยุง คืออะไร อันตรายหรือไม่?
- ผู้ป่วยทุกคนจำเป็นต้องผ่าตัดมดลูกหรือไม่?
- การใช้ตาข่ายสังเคราะห์ (Mesh) คืออะไร อันตรายไหม?
- หลังผ่าตัดต้องพักฟื้นนานแค่ไหน?
- การรักษาอุ้งเชิงกรานหย่อน อันตรายไหม?
- การรักษาอุ้งเชิงกรานหย่อน มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?
- จะมีเพศสัมพันธ์ได้เหมือนเดิมไหม?
- หลังการรักษา สามารถมีลูกได้ไหม?
- การรักษาจะทำให้หายขาดไหม?
- ดูแลตัวเองอย่างไรหลังการรักษา?
- ป้องกันไม่ให้อุ้งเชิงกรานหย่อนได้อย่างไร?
20 ข้อควรรู้เกี่ยวกับการรักษาอุ้งเชิงกรานหย่อน
ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน คืออะไร?
ตอบ: ภาวะอุ้งเชิงกราน ช่องคลอดหย่อนยาน (Pelvic Organ Prolapse) คือภาวะที่อวัยวะในอุ้งเชิงกราน เช่น มดลูก กระเพาะปัสสาวะ หรือแม้แต่ลำไส้ใหญ่ เคลื่อนต่ำลงมากดดันผนังช่องคลอด สาเหตุหลักมักมาจากความอ่อนแรงของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่พยุงอุ้งเชิงกราน
ภาวะนี้พบได้บ่อยในผู้หญิง โดยเฉพาะในผู้ที่เคยคลอดบุตรหลายครั้ง หรืออยู่ในวัยหมดประจำเดือน อาการที่มักพบ ได้แก่ รู้สึกถ่วงหรือแน่นในช่องคลอด ปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะบ่อย ท้องผูก หรือบางครั้งอาจรู้สึกเหมือนมีก้อนโผล่ออกมาจากช่องคลอด
แนวทางการรักษามีตั้งแต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การทำกายภาพบำบัดกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ไปจนถึงการผ่าตัด แพทย์จะเลือกวิธีที่เหมาะสมโดยพิจารณาจากความรุนแรงของอาการ อายุ สุขภาพโดยรวม และความต้องการของผู้ป่วย
ปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้างที่ทำให้เกิดอุ้งเชิงกรานหย่อน?
ตอบ: มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างที่เพิ่มโอกาสให้กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่พยุงอวัยวะอ่อนแอลงได้ ได้แก่
- การคลอดบุตร: การคลอดบุตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคลอดที่ทารกมีน้ำหนักมาก การคลอดยาวนาน หรือการคลอดบุตรหลายคน จะทำให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นในอุ้งเชิงกรานถูกยืดและได้รับความเสียหาย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะหย่อนคล้อยในเวลาต่อมา
- การเพิ่มแรงดันในช่องท้อง: กิจกรรมที่ต้องใช้แรงเบ่งอย่างต่อเนื่อง เช่น การยกของหนัก อาการไอเรื้อรัง หรือภาวะท้องผูกเรื้อรัง จะเพิ่มแรงดันไปที่กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ทำให้เกิดการหย่อนคล้อยได้
- อายุที่เพิ่มขึ้นและภาวะหมดประจำเดือน: เมื่อผู้หญิงมีอายุมากขึ้น ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดลง ซึ่งส่งผลให้เนื้อเยื่อในอุ้งเชิงกรานสูญเสียความยืดหยุ่นและความแข็งแรง ทำให้ไม่สามารถพยุงอวัยวะได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- พันธุกรรม: ในบางคนอาจมีปัจจัยทางพันธุกรรมที่ทำให้เนื้อเยื่อเกี่ยวพันอ่อนแอ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนได้ง่ายกว่าคนอื่น
- น้ำหนักเกิน: ภาวะอ้วนหรือน้ำหนักตัวเกินจะเพิ่มแรงกดต่อกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงสำคัญ
ใครบ้างที่ต้องเข้ารับการรักษา?
ตอบ: หากภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนมีอาการเพียงเล็กน้อย ไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน มักไม่จำเป็นต้องรักษา แต่ถ้าอาการรบกวนคุณภาพชีวิต เช่น รู้สึกไม่สบายตัว มีปัสสาวะเล็ดจนเกิดความกังวลใจ หรือกระทบต่อการมีเพศสัมพันธ์ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อประเมินและหาวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
ทำไมต้องรักษาอุ้งเชิงกรานหย่อน?
ตอบ: การรักษาภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนไม่ใช่เพียงเพื่อความสวยงาม แต่เพื่อให้ผู้ป่วยมีสุขภาพชีวิตโดยรวมที่ดียิ่งขึ้น ดังนี้
- ช่วยบรรเทาอาการถ่วง อาการปวด และความรู้สึกไม่สบายที่เกิดจากการหย่อนของอวัยวะ
- ช่วยให้การทำงานของกระเพาะปัสสาวะและลำไส้กลับมาเป็นปกติ ลดปัญหาปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะบ่อย หรืออาการท้องผูก
- ผู้ป่วยสามารถกลับมาทำกิจกรรมปกติได้อย่างมั่นใจและมีความสุขมากขึ้น
การรักษาอุ้งเชิงกรานหย่อน มีกี่วิธี?
ตอบ: แนวทางการรักษาภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนแบ่งออกเป็น 2 วิธีหลัก ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการ สุขภาพโดยรวม และความต้องการของผู้ป่วย
1. การรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด: เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการไม่รุนแรงหรือยังไม่พร้อมเข้ารับการผ่าตัด ประกอบด้วย
- การฝึกบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน หรือที่เรียกว่า Kegel Exercise ซึ่งช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อพยุง
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น หลีกเลี่ยงการยกของหนัก รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม และจัดการกับอาการท้องผูกก็มีส่วนช่วยได้เช่นกัน
- การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนเฉพาะที่เพื่อลดความแห้งและเสริมความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อ สำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน
- การใช้อุปกรณ์พยุงในช่องคลอด (Pessary) ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้เลือกขนาดและชนิดที่เหมาะสม โดยต้องถอดทำความสะอาดและตรวจติดตามเป็นระยะ
2. การรักษาแบบผ่าตัด: หากผู้ป่วยมีอาการปานกลางถึงรุนแรงหรือรักษาด้วยวิธีไม่ผ่าตัดแล้วไม่ดีขึ้น การผ่าตัดจึงเป็นทางเลือกสำคัญ การผ่าตัดมีหลายเทคนิค เช่น
- การผ่าตัดซ่อมแซมช่องคลอด (Vaginal Repair): แพทย์จะผ่าตัดผ่านช่องคลอด โดยจะตัดเนื้อเยื่อส่วนที่เกินออก แล้วเย็บกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่อ่อนแอให้กลับมาแข็งแรงขึ้น เพื่อช่วยพยุงอวัยวะต่างๆ
- การผ่าตัดโดยใช้ตาข่าย (Surgical Mesh): เป็นการผ่าตัดเพื่อเสริมความแข็งแรงของผนังช่องคลอดด้วยการใช้ตาข่ายสังเคราะห์ทางการแพทย์ อาจทำร่วมกับการผ่าตัดซ่อมแซมช่องคลอด หรือผ่าตัดผ่านทางหน้าท้องแบบส่องกล้อง
- การผ่าตัดมดลูกออก (Hysterectomy): ในกรณีที่มดลูกหย่อนยานอย่างรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดมดลูกออกทั้งหมด โดยอาจทำร่วมกับการผ่าตัดซ่อมแซมช่องคลอด เพื่อแก้ไขปัญหาให้ครอบคลุม
การรักษาด้วยวิธีไหนเหมาะกับใคร?
ตอบ: หากอาการยังไม่รุนแรง แพทย์มักแนะนำให้เริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันร่วมกับการฝึกบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน เพื่อช่วยชะลอความรุนแรงและบรรเทาอาการได้ในระดับหนึ่ง สำหรับผู้ที่ไม่สะดวกเข้ารับการผ่าตัดหรือมีข้อจำกัดด้านสุขภาพ
การใช้อุปกรณ์พยุงในช่องคลอดถือเป็นทางเลือกที่เหมาะสมและปลอดภัย ส่วนในกรณีที่อาการรุนแรงมากหรือผู้ป่วยต้องการการรักษาที่ช่วยแก้ไขได้อย่างถาวร การผ่าตัดจะเป็นแนวทางที่ตอบโจทย์ที่สุด
การวินิจฉัยอุ้งเชิงกร่านหย่อน ทำอย่างไร?
ตอบ: การวินิจฉัยภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนสามารถทำได้หลายวิธี โดยแพทย์จะประเมินจากอาการที่ผู้ป่วยแจ้ง และตรวจร่างกายร่วมด้วย
- การซักประวัติและประเมินอาการ: แพทย์จะสอบถามอาการที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด เช่น ความรู้สึกถ่วงในช่องคลอด อาการปัสสาวะเล็ด ปัญหาการขับถ่าย หรือความรู้สึกไม่สบายขณะทำกิจกรรมบางอย่าง ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการประเมินระดับความรุนแรงของภาวะนี้
- การตรวจร่างกาย: แพทย์จะตรวจภายในเพื่อประเมินระดับการหย่อนของอวัยวะต่างๆ เช่น มดลูก กระเพาะปัสสาวะ หรือลำไส้ใหญ่ โดยแพทย์อาจให้ผู้ป่วยลองเบ่งหรือไอ เพื่อดูการเคลื่อนต่ำลงของอวัยวะต่างๆ
- การทดสอบเพิ่มเติม (ถ้าจำเป็น): ในบางกรณีที่อาการไม่ชัดเจนหรือเพื่อวางแผนการรักษาที่ซับซ้อน แพทย์อาจแนะนำให้ทดสอบเพิ่มเติม เช่น ตรวจการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ (Urodynamic Testing) หรือตรวจด้วยคลื่นอัลตราซาวนด์ เพื่อดูตำแหน่งของอวัยวะภายในและประเมินความเสียหายของกล้ามเนื้อ
การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานทำอย่างไร?
ตอบ: การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Kegel Exercise) เป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพมากในการเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่พยุงอวัยวะภายในอุ้งเชิงกราน มีวิธีดังนี้
- หากล้ามเนื้อให้เจอ: ลองขมิบเหมือนกำลังกลั้นปัสสาวะหรือกลั้นผายลม
- เริ่มฝึกในท่านอน: ชันเข่า ผ่อนคลายหน้าท้องแล้วโฟกัสที่อุ้งเชิงกราน
- ขมิบช้าๆ: เกร็งกล้ามเนื้อขึ้นข้างใน ค้างไว้ 5–10 วินาที แล้วค่อยๆ คลาย พัก 10 วินาที
- ขมิบเร็วๆ: เกร็งและคลายทันทีต่อเนื่องหลายครั้ง
- ทำสม่ำเสมอ: วันละ 3–4 ชุด ชุดละ 10–15 ครั้ง
การใช้อุปกรณ์พยุง คืออะไร อันตรายหรือไม่?
ตอบ: เพสซารี (Pessary) เป็นอุปกรณ์ทำจากซิลิโคนหรือยางทางการแพทย์ ใช้ใส่ในช่องคลอดเพื่อพยุงอวัยวะที่หย่อน เช่น มดลูก กระเพาะปัสสาวะ หรือไส้ตรง ช่วยลดอาการถ่วง ปัสสาวะเล็ด หรือความไม่สบายตัว ถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ยังไม่พร้อมผ่าตัดหรือมีข้อจำกัดด้านสุขภาพ
โดยทั่วไปการใช้เพสซารีถือว่าปลอดภัย แต่ต้องดูแลความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ และไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กเป็นระยะ หากละเลยการดูแลอาจทำให้เกิดการระคายเคือง แผลกดทับ หรือการติดเชื้อในช่องคลอดได้ สำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ฮอร์โมนเฉพาะที่ร่วมด้วย เพื่อลดความแห้งและเสียดสี ทำให้สวมใส่ได้สบายขึ้น
ผู้ป่วยทุกคนจำเป็นต้องผ่าตัดมดลูกหรือไม่?
ตอบ: การผ่าตัดมดลูก (Hysterectomy) ไม่ใช่การรักษาหลักสำหรับภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนเสมอไป แพทย์มักพิจารณาในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น เนื่องจากภาวะนี้อาจเกิดจากอวัยวะอื่น เช่น กระเพาะปัสสาวะหรือลำไส้ การรักษามักเน้นไปที่การซ่อมแซมกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อส่วนนั้นๆ โดยไม่กระทบต่อมดลูก นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่มีอาการไม่รุนแรง การฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน หรือการใช้อุปกรณ์พยุง ก็เพียงพอที่จะช่วยบรรเทาอาการได้
การผ่าตัดมดลูกยังไม่เหมาะสำหรับผู้ที่ยังต้องการมีบุตรในอนาคต เพราะการผ่าตัดจะทำให้ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก หากอาการไม่รุนแรงหรือยังสามารถใช้วิธีไม่ผ่าตัดได้ แพทย์มักแนะนำให้ลองแนวทางเหล่านั้นก่อน เพื่อลดความเสี่ยง
อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีแพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดมดลูก เช่น เมื่อมดลูกหย่อนรุนแรงจนยื่นออกมานอกช่องคลอด หรือมดลูกมีปัญหาอื่นร่วม เช่น เนื้องอกหรือเลือดออกผิดปกติ รวมถึงผู้ที่อายุมากและไม่ต้องการมีบุตรอีกต่อไป
การผ่าตัดมดลูกพร้อมกับการซ่อมแซมส่วนที่หย่อนจะช่วยลดอาการและโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ การตัดสินใจจึงขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรง อายุ สุขภาพโดยรวม และความต้องการของผู้ป่วยเป็นหลัก
การใช้ตาข่ายสังเคราะห์ (Mesh) คืออะไร อันตรายไหม?
ตอบ: การใช้ตาข่ายสังเคราะห์ (Surgical Mesh) ในการรักษาภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน คือการนำวัสดุทางการแพทย์ที่ทำจากโพลีโพรพิลีน (Polypropylene) มาเสริมความแข็งแรงของเนื้อเยื่อที่อ่อนแอ เปรียบเสมือนโครงสร้างค้ำยันอวัยวะที่หย่อนให้กลับอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
วิธีนี้มักใช้ในกรณีที่เนื้อเยื่อเดิมไม่แข็งแรงเพียงพอ การใช้ตาข่ายช่วยลดโอกาสที่ภาวะอุ้งเชิงกรานจะกลับมาหย่อนซ้ำอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม การใช้ตาข่ายต้องพิจารณาเรื่องความปลอดภัย เพราะในอดีตมีรายงานปัญหาผลข้างเคียง เช่น การกัดกร่อนของเนื้อเยื่อ อาการปวดเรื้อรัง การทะลุของตาข่าย และความเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ ทำให้บางรุ่นถูกถอนออกจากตลาด
ปัจจุบันเทคนิคการผ่าตัดและวัสดุตาข่ายได้รับการพัฒนาให้ปลอดภัยมากขึ้น แต่ความเสี่ยงยังขึ้นกับประเภทของตาข่าย ประสบการณ์ของศัลยแพทย์ และความรุนแรงของภาวะหย่อน
หลังผ่าตัดต้องพักฟื้นนานแค่ไหน?
ตอบ: ระยะเวลาพักฟื้นหลังการผ่าตัดรักษาภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนโดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 4–6 สัปดาห์ แต่ระยะเวลาที่แน่นอนอาจแตกต่างกันไปตามประเภทการผ่าตัด สุขภาพโดยรวม และความสามารถในการฟื้นตัวของแต่ละบุคคล แพทย์จะให้คำแนะนำเฉพาะเจาะจงหลังการผ่าตัดเพื่อช่วยให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างปลอดภัย
ในช่วง 2–3 สัปดาห์แรก ผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บปวดหรือมีเลือดออกเล็กน้อย แพทย์มักแนะนำให้งดกิจกรรมที่ใช้แรงมาก เช่น การยกของหนัก ออกกำลังกายหนัก หรือการเบ่งแรง การปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดช่วยลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน หลังจากนั้นอาการจะค่อยๆ ดีขึ้น และสามารถกลับมาทำกิจกรรมประจำวันได้
การรักษาอุ้งเชิงกรานหย่อน อันตรายไหม?
ตอบ: การรักษาอุ้งเชิงกรานหย่อนไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิตโดยตรง แต่หากไม่ได้รับการรักษา อาการอาจแย่ลงและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก เช่น ปัสสาวะเล็ด ติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ หรือท้องผูกเรื้อรัง ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวและเกิดความกังวล
แม้การรักษาบางวิธี เช่น การผ่าตัด จะมีความเสี่ยงเหมือนการผ่าตัดทั่วไป แต่เมื่ออยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ความเสี่ยงจะลดลงอย่างมาก และผลลัพธ์มักช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน
การรักษาอุ้งเชิงกรานหย่อน มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?
ตอบ: ผลข้างเคียงจากการรักษาภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนขึ้นอยู่กับวิธีที่เลือกใช้ สำหรับการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน ถือว่าปลอดภัยที่สุดและแทบไม่มีผลข้างเคียง หากทำอย่างถูกต้อง แต่หากทำไม่ถูกต้อง เช่น เบ่งหรือเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องแทน อาจทำให้กล้ามเนื้อส่วนอื่นตึงเครียดขึ้นได้
การใช้อุปกรณ์พยุงในช่องคลอด อาจทำให้เกิดอาการระคายเคือง เพิ่มปริมาณตกขาว หรือมีแผลถลอกเล็กน้อย ผลข้างเคียงเหล่านี้มักจัดการได้ด้วยการทำความสะอาดอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ หรือปรับเปลี่ยนชนิดของเพสซารี
ส่วนการผ่าตัดมีความเสี่ยงมากกว่าวิธีอื่น เช่น การติดเชื้อ เลือดออกมาก หรือเกิดลิ่มเลือดอุดตัน นอกจากนี้ยังอาจมีผลข้างเคียงเฉพาะการผ่าตัดอุ้งเชิงกราน เช่น ปัญหาการปัสสาวะ ความเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือโอกาสที่ภาวะอุ้งเชิงกรานจะกลับมาหย่อนซ้ำอีกครั้ง แพทย์จึงจำเป็นต้องประเมินความเสี่ยงและให้คำแนะนำอย่างละเอียดก่อนการรักษา
จะมีเพศสัมพันธ์ได้เหมือนเดิมไหม?
ตอบ: หลังจากการรักษาและพักฟื้นจนร่างกายหายดี ผู้ป่วยสามารถกลับมามีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติ โดยทั่วไปแพทย์จะแนะนำให้งดประมาณ 6–8 สัปดาห์หลังการผ่าตัด เพื่อให้แผลหายสนิทและลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ
ในกรณีที่การรักษาประสบผลสำเร็จ อาการอุ้งเชิงกรานหย่อน เช่น ความถ่วง ความรู้สึกมีก้อน หรือความเจ็บปวด อาจลดลงหรือหายไป ทำให้การมีเพศสัมพันธ์ดีขึ้นและผู้ป่วยรู้สึกมั่นใจมากขึ้น อย่างไรก็ตาม หากหลังพักฟื้นแล้วยังมีอาการเจ็บหรือไม่สบายขณะมีเพศสัมพันธ์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแนวทางแก้ไขเพิ่มเติม
หลังการรักษา สามารถมีลูกได้ไหม?
ตอบ: ความสามารถในการมีบุตรหลังการรักษาภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนขึ้นอยู่กับวิธีการรักษาที่เลือก หากเป็นการรักษาแบบไม่ต้องผ่าตัด เช่น การฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน หรือการใช้อุปกรณ์พยุง จะไม่มีผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ ผู้ป่วยยังสามารถตั้งครรภ์ได้ตามปกติ
สำหรับการผ่าตัด หากไม่ได้ตัดมดลูกออก ผู้ป่วยยังสามารถตั้งครรภ์ได้ แต่การตั้งครรภ์และคลอดบุตรอาจเพิ่มโอกาสให้ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนกลับมาเป็นซ้ำได้ ในกรณีที่ผ่าตัดมดลูกออก ผู้ป่วยจะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีกต่อไป
ดังนั้น ผู้ที่ยังมีความประสงค์จะมีบุตรควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้รักษาอาการได้อย่างปลอดภัยโดยไม่กระทบต่อโอกาสในการตั้งครรภ์ในอนาคต
การรักษาจะทำให้หายขาดไหม?
ตอบ: การรักษาภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนช่วยให้อาการดีขึ้นจนสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แต่ในบางรายอาจกลับมาเป็นซ้ำได้ โดยเฉพาะหากยังมีปัจจัยเสี่ยง เช่น น้ำหนักเกิน การยกของหนัก หรือท้องผูกเรื้อรัง
อย่างไรก็ตาม การรักษาช่วยชะลออาการไม่ให้แย่ลงและบรรเทาอาการที่มีอยู่ การดูแลตัวเองหลังการรักษา เช่น ควบคุมน้ำหนักและฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอย่างสม่ำเสมอ จึงมีความสำคัญในการป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
ดูแลตัวเองอย่างไรหลังการรักษา?
ตอบ: การดูแลตัวเองหลังการรักษาเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพื่อให้คงผลในการรักษาได้อย่างยาวนาน และลดโอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำ แพทย์มักแนะนำให้ดูแลตัวเอง ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการยกของหนัก: เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องทำ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแรงดันในอุ้งเชิงกรานมากเกินไป
- ดื่มน้ำและกินอาหารที่มีใยอาหารสูง: เพื่อป้องกันปัญหาท้องผูก ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม: ช่วยลดแรงดันในช่องท้องและอุ้งเชิงกราน
- ฝึกบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอย่างสม่ำเสมอ: เป็นการดูแลระยะยาวที่ช่วยคงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่พยุงอวัยวะต่างๆ ในอุ้งเชิงกราน
อาหารมีผลต่อภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนอย่างไร?
ตอบ: ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนไม่เกิดจากอาหารโดยตรง แต่พฤติกรรมการกินมีผลต่ออาการ โดยเฉพาะระบบขับถ่าย การรับประทานอาหารมีกากใยสูงช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดี ลดโอกาสท้องผูก ซึ่งเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงดันในอุ้งเชิงกรานและทำให้อาการหย่อนแย่ลง
อาหารที่แนะนำได้แก่ ผัก ผลไม้ ธัญพืช และพืชตระกูลถั่ว ควบคู่กับการดื่มน้ำเพียงพอ เพื่อให้อุจจาระนุ่มและลำเลียงผ่านลำไส้ได้ง่าย ลดการเบ่งแรงเกินจำเป็น
การดูแลเรื่องอาหารและน้ำจึงเป็นวิธีง่ายแต่มีประสิทธิภาพสูงในการจัดการอาการอุ้งเชิงกรานหย่อน พร้อมกับการฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานตามคำแนะนำของแพทย์
ป้องกันไม่ให้อุ้งเชิงกรานหย่อนได้อย่างไร?
ตอบ: การป้องกันภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนควรเน้นที่การดูแลสุขภาพและเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ วิธีที่แนะนำได้แก่
- ฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่พยุงอวัยวะในอุ้งเชิงกราน
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อลดแรงดันในช่องท้องและอุ้งเชิงกราน
- หลีกเลี่ยงการยกของหนัก หรือออกกำลังกายที่ต้องใช้แรงเบ่งมากๆ
- ป้องกันและรักษาอาการท้องผูก โดยรับประทานอาหารใยอาหารสูงและดื่มน้ำให้เพียงพอ
- งดสูบบุหรี่เพื่อลดอาการไอเรื้อรัง ซึ่งอาจเพิ่มแรงดันในช่องท้อง
การรักษาภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนมีหลากหลายวิธี ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่การผ่าตัดเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือการทำความเข้าใจอาการของตัวเอง และปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมที่สุด การดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอและการเลือกวิธีการรักษาที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีได้อีกครั้ง
ข้อมูลที่เรารู้มาใช่เรื่องจริงไหม? เข้าใจผิดหรือเปล่า? ไม่รู้จะถามใครดี ปรึกษาทีม HDcare ได้เลย เราพร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวดูแลสุขภาพคุณ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับคุณหมอเฉพาะทาง ทำนัดปรึกษาคุณหมอได้รวดเร็ว หรือค้นหาแพ็กเกจรักษาอุ้งเชิงกรานหย่อน จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย