Default fallback image

โรคมะเร็งปอด รักษายังไงได้บ้าง? อันตรายไหม

“โรคมะเร็งปอด” แม้จะฟังดูน่ากังวล แต่ในปัจจุบัน การแพทย์ได้พัฒนาไปไกลมาก ทำให้สามารถตรวจพบได้เร็วและรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ

บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักโรคมะเร็งปอด ทั้งในแง่ของสาเหตุ สัญญาณเตือน วิธีการตรวจวินิจฉัย และแนวทางการรักษาในปัจจุบัน พร้อมคำแนะนำต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการดูแลตัวเอง

มะเร็งปอดคืออะไร?

มะเร็งปอด (Lung Cancer) คือ การเจริญเติบโตอย่างผิดปกติของเซลล์ในปอด ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

  1. Non-Small Cell Lung Cancer (NSCLC) พบประมาณ 85% ของผู้ป่วย เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด
  2. Small Cell Lung Cancer (SCLC) พบประมาณ 15% มีการลุกลามรวดเร็ว

มะเร็งปอดสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในผู้ที่สูบบุหรี่และไม่สูบบุหรี่ แต่ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นหากมีประวัติการสูบบุหรี่ระยะยาว

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งปอด

แม้ว่านักวิทยาศาสตร์และแพทย์ยังไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดของโรคมะเร็งปอดได้ทั้งหมด แต่พบว่ามีปัจจัยหลายประการที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะพฤติกรรมการใช้ชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจโดยตรง ซึ่งได้แก่

  1. การสูบบุหรี่

การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับต้นๆ ของโรคมะเร็งปอด ผู้ป่วยมะเร็งปอดมากกว่า 80% มีประวัติการสูบบุหรี่ โดยบุหรี่ประกอบด้วยสารพิษมากกว่า 7,000 ชนิด โดยในจำนวนนั้นมีมากกว่า 70 ชนิดที่เป็นสารก่อมะเร็ง เช่น นิโคติน (Nicotine) เบนซีน (Benzene) พอลิไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (PAHs) และฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde)

ทั้งนี้ ยิ่งสูบบุหรี่นาน และจำนวนมาก ความเสี่ยงก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น แม้จะหยุดสูบแล้วก็ตาม ความเสี่ยงจะค่อยๆ ลดลงแต่ยังสูงกว่าคนที่ไม่เคยสูบเลย

  1. ควันบุหรี่มือสอง 

การได้รับควันบุหรี่จากผู้อื่น แม้ไม่ได้เป็นผู้สูบเอง ก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอดได้ โดยเฉพาะในเด็กและผู้ที่อยู่ในบ้าน หรือสถานที่ทำงานเดียวกับผู้สูบบุหรี่ในระยะเวลานาน งานวิจัยพบว่า ผู้ที่ได้รับควันบุหรี่มือสองมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งปอดสูงขึ้นประมาณ 20–30% เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่เคยสัมผัส

  1. มลพิษทางอากาศ 

การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นละอองขนาดเล็ก เช่น PM2.5 (Particulate Matter ขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน) เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ โดยฝุ่นเหล่านี้สามารถแทรกซึมเข้าสู่ถุงลมในปอด และสะสมจนเกิดการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเซลล์และก่อให้เกิดมะเร็งในที่สุด

  1. การสัมผัสสารก่อมะเร็งในที่ทำงานหรือสิ่งแวดล้อม

หลายอาชีพต้องสัมผัสกับสารเคมีหรือแร่ธาตุบางชนิดที่เป็นสารก่อมะเร็ง เช่น

  • แร่ใยหิน (Asbestos): มักพบในอุตสาหกรรมก่อสร้างหรือโรงงานผลิตวัสดุก่อสร้าง เมื่อสูดดมเข้าไปนานๆ อาจก่อให้เกิดมะเร็งเยื่อหุ้มปอด (mesothelioma) และมะเร็งปอด
  • ก๊าซเรดอน (Radon): เป็นก๊าซกัมมันตรังสีที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากการสลายตัวของยูเรเนียมในดินหรือหิน หากอยู่ในอาคารที่ไม่มีระบบระบายอากาศดี ก๊าซเรดอนจะสะสมและเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งปอดโดยไม่รู้ตัว
  • สารเคมีอื่นๆ เช่น ฟอร์มาลดีไฮด์, สารกลุ่ม PAHs, ไนโตรซามีน ฯลฯ

5. พันธุกรรมและประวัติครอบครัว

ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเคยเป็นมะเร็งปอด จะมีความเสี่ยงสูงกว่าคนทั่วไป เนื่องจากอาจมียีนผิดปกติที่ส่งผ่านทางพันธุกรรม เช่น ยีน EGFR หรือ ALK ที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของเซลล์

ในกรณีของผู้ที่ไม่สูบบุหรี่แต่ตรวจพบมะเร็งปอด ส่วนหนึ่งมักเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของยีน 

6. การได้รับรังสีบริเวณทรวงอก

ผู้ที่เคยผ่านการฉายรังสีบริเวณทรวงอก เช่น รักษามะเร็งเต้านม หรือมะเร็งต่อมน้ำเหลือง มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการเกิดมะเร็งปอด โดยเฉพาะหากมีประวัติสูบบุหรี่ร่วมด้วย การฉายรังสีอาจไปกระตุ้นให้เซลล์ปอดเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นเซลล์มะเร็ง

อาการของโรคมะเร็งปอด

มะเร็งปอดในระยะเริ่มต้นมักไม่แสดงอาการอย่างชัดเจน ทำให้หลายคนไม่ทราบว่าตนเองมีความผิดปกติ จนกระทั่งโรคเริ่มลุกลามไปยังเนื้อเยื่อหรืออวัยวะใกล้เคียง จึงเริ่มมีอาการที่สังเกตได้ ซึ่งอาการที่พบบ่อยมีดังนี้

  1. ไอเรื้อรัง หรือไอมีเลือดปน

เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในผู้ที่สูบบุหรี่ หากมีอาการไอไม่หายเกิน 2-3 สัปดาห์ หรือมีเลือดปนในเสมหะ ควรรีบพบแพทย์ทันที

  1. หายใจลำบาก เหนื่อยง่ายกว่าปกติ

เกิดจากก้อนเนื้องอกไปกดทับหลอดลมหรือเนื้อปอด ทำให้ความสามารถในการแลกเปลี่ยนอากาศลดลง หรืออาจมีของเหลวสะสมในช่องปอด (pleural effusion)

  1. เจ็บหน้าอก

อาจเป็นอาการของการที่ก้อนมะเร็งลุกลามไปยังเยื่อหุ้มปอดหรือผนังทรวงอก ทำให้รู้สึกเจ็บแปลบ หรือแน่นๆ ที่อก โดยเฉพาะเวลาไอหรือหายใจลึก

  1. น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ

น้ำหนักที่ลดลงอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้ตั้งใจ อาจเป็นสัญญาณเตือนของมะเร็ง เพราะร่างกายใช้พลังงานไปต้านการเจริญเติบโตของเซลล์ผิดปกติ

  1. เสียงแหบ

หากเนื้องอกกดทับเส้นประสาทที่ควบคุมกล่องเสียง จะทำให้เกิดอาการเสียงแหบ หรือพูดเสียงเบาลงโดยไม่มีอาการเจ็บคอร่วมด้วย

  1. เบื่ออาหาร และอ่อนเพลีย

ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ต้องทำงานหนักเพื่อต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง อาจทำให้เกิดความรู้สึกเบื่ออาหาร เหนื่อยง่าย หรือไม่มีแรง

  1. มีไข้ต่ำๆ เรื้อรัง หรือมีการติดเชื้อในปอดบ่อยครั้ง

บางรายอาจมีไข้ต่ำแบบเรื้อรัง หรือเป็นปอดอักเสบบ่อยๆ ซึ่งอาจเกิดจากการที่ก้อนมะเร็งขัดขวางการทำงานของทางเดินหายใจ

หากมีอาการเหล่านี้ติดต่อกันเกิน 2-3 สัปดาห์ หรืออาการรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่ หรือทำงานในที่มีฝุ่นควัน ควรรีบพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยโดยเร็ว เพราะการตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้มากยิ่งขึ้น

การวินิจฉัยโรคมะเร็งปอด

การตรวจวินิจฉัยมะเร็งปอด มีด้วยกันหลากหลายวิธี เพื่อยืนยันการวินิจฉัยและระบุระยะของโรคอย่างแม่นยำ ดังนี้

1. เอกซเรย์ปอด

เป็นขั้นตอนพื้นฐานที่ช่วยให้แพทย์เห็นเงาหรือความผิดปกติในปอด หากพบความผิดปกติ อาจมีการตรวจเพิ่มเติมที่ละเอียดขึ้น

2. เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ CT Scan

ใช้รังสีเอกซ์ร่วมกับคอมพิวเตอร์เพื่อสร้างภาพปอดที่คมชัด สามารถมองเห็นขนาด ตำแหน่ง และลักษณะของเนื้องอกได้ชัดเจนกว่าการเอกซเรย์ปกติ

3. การตรวจด้วย PET Scan

ช่วยตรวจดูว่า เซลล์มะเร็งได้แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองหรืออวัยวะอื่นหรือไม่ โดยการฉีดสารน้ำตาลชนิดพิเศษที่เซลล์มะเร็งดูดซึมได้มากกว่าปกติ

4. การตรวจเสมหะ

นำเสมหะของผู้ป่วยไปตรวจดูเซลล์ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ หากมีเซลล์มะเร็งอยู่ในทางเดินหายใจ วิธีนี้อาจสามารถตรวจพบได้โดยไม่ต้องผ่าตัด

5. การส่องกล้องหลอดลม

ใช้กล้องขนาดเล็กสอดเข้าไปในหลอดลมเพื่อดูภายในปอดโดยตรง และสามารถเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อเพื่อวินิจฉัยได้พร้อมกัน

6. การเจาะชิ้นเนื้อ 

เป็นการเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อจากปอดหรือต่อมน้ำเหลือง โดยอาจใช้เข็มเจาะผ่านผิวหนัง (Needle Biopsy) หรือเก็บจากกล้องส่องหลอดลม แล้วนำไปตรวจหาเซลล์มะเร็งในห้องปฏิบัติการ

แนวทางการรักษามะเร็งปอดในปัจจุบัน

การรักษามะเร็งปอดขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง ระยะของโรค และสุขภาพของผู้ป่วย โดยมีแนวทางหลักๆ ดังนี้

  1. การผ่าตัด ใช้ในผู้ป่วยที่ตรวจพบในระยะเริ่มต้น โดยสามารถผ่าตัดเนื้อร้ายออกได้ เช่น การตัดกลีบปอด หรือทั้งปอด
  2. เคมีบำบัด การให้ยาเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง มักใช้ในระยะลุกลาม หรือร่วมกับการผ่าตัดหรือฉายแสง
  3. การฉายรังสี ใช้พลังงานสูงเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถผ่าตัดได้
  4. การรักษาแบบมุ่งเป้า ใช้ยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะกับเซลล์มะเร็งที่มีการกลายพันธุ์เฉพาะ เช่น EGFR, ALK mutation
  5. การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทำลายเซลล์มะเร็ง เหมาะกับผู้ป่วยบางกลุ่มที่มีการแสดงออกของโปรตีน PD-L1 สูง

มะเร็งปอดอันตรายแค่ไหน?

มะเร็งปอดถือเป็นหนึ่งในโรคร้ายแรงที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงอันดับต้นๆ ของโลก เนื่องจากมักพบในระยะลุกลาม และมีการแพร่กระจายเร็ว อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการแพทย์ได้พัฒนาไปมาก มีโอกาสรักษาได้สูงขึ้นหากตรวจพบเร็วและได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง

อัตราการรอดชีวิต 5 ปีของผู้ป่วยจะขึ้นอยู่กับระยะของโรค

  • ระยะเริ่มต้น: 50-60%
  • ระยะลุกลามเฉพาะที่: 30-40%
  • ระยะแพร่กระจาย: ต่ำกว่า 10%

การป้องกันโรคมะเร็งปอด

การป้องกันคือแนวทางที่ดีที่สุด โดยสามารถทำได้ดังนี้

  • งดสูบบุหรี่ และหลีกเลี่ยงควันบุหรี่
  • ตรวจสุขภาพปอดเป็นประจำ โดยเฉพาะผู้มีประวัติสูบบุหรี่
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารก่อมะเร็ง
  • ใส่หน้ากากกรองฝุ่นขณะอยู่นอกบ้าน โดยเฉพาะในวันที่ค่าฝุ่นสูง
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ

แม้มะเร็งปอดจะเป็นโรคที่ร้ายแรง แต่หากรู้เท่าทันสัญญาณอาการ แล้วรีบตรวจวินิจฉัย และเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสม ก็มีโอกาสในการฟื้นตัวได้

ตรวจเจอมะเร็งปอดในระยะเริ่มต้น ควรรักษาด้วยวิธีไหนดี? วิธีไหนมีประสิทธิภาพมากที่สุด? นัดคุยกับคุณหมอเฉพาะทาง ผ่านทีม HDcare สะดวกรวดเร็ว ทันใจ หรือค้นหาแพ็กเกจรักษาโรคมะเร็งปอด จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย

Scroll to Top