ภาวะอุ้งเชิงกราน ช่องคลอดหย่อนยาน (Pelvic Organ Prolapse) เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้หญิง แต่หลายคนอาจไม่รู้ตัว โดยเฉพาะผู้หญิงที่เคยคลอดบุตร มีโอกาสพบภาวะผนังช่องคลอดหย่อนสูงถึง 1 ใน 10 คน
บทความนี้จะพามาทำความเข้าใจการผ่าตัดเย็บแขวนช่องคลอดโดยการส่องกล้อง ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคนิคการรักษาที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ ช่วยแก้ไขปัญหาการหย่อนของอวัยวะในอุ้งเชิงกราน พร้อมลดอาการรบกวนและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตให้กลับมาใกล้เคียงปกติที่สุด
สารบัญ
การผ่าตัดเย็บแขวนช่องคลอดโดยการส่องกล้อง คืออะไร
การผ่าตัดเย็บแขวนช่องคลอดโดยการส่องกล้อง (Laparoscopic Sacrocolpopexy) เป็นเทคนิคการผ่าตัดเพื่อแก้ไขภาวะอวัยวะในอุ้งเชิงกรานหย่อน โดยเฉพาะบริเวณช่องคลอดส่วนบนที่หย่อน
แพทย์จะใช้อุปกรณ์ขนาดเล็กพร้อมกล้องความละเอียดสูงสอดผ่านแผลขนาดเล็กเพียงไม่กี่จุดในช่องท้อง จากนั้นจึงตัดมดลูกออก (หากยังมีอยู่) และใช้ตาข่ายพิเศษเย็บยึดช่องคลอดส่วนบนให้กลับสู่ตำแหน่งที่ถูกต้องและมั่นคง
วิธีนี้ช่วยลดการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บน้อยลงและสามารถฟื้นตัวได้รวดเร็วกว่าการผ่าตัดเปิดหน้าท้องแบบดั้งเดิม
การเลือกใช้วิธีนี้นับเป็นหนึ่งในทางเลือกการรักษาที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะหย่อนรุนแรง การผ่าตัดจะช่วยพยุงช่องคลอดให้คงอยู่ในตำแหน่งปกติอย่างถาวร เสริมความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อโดยรอบ ผู้ป่วยจึงสามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมั่นใจ และที่สำคัญยังคงสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติหลังการฟื้นตัว แตกต่างจากวิธีเย็บปิดช่องคลอดซึ่งทำให้ไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้อีกในอนาคต
เทคนิคการผ่าตัดเย็บแขวนช่องคลอด
การผ่าตัดเย็บแขวนช่องคลอดโดยการส่องกล้องมีเทคนิคที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของอวัยวะที่หย่อนและดุลยพินิจของแพทย์ โดยเทคนิคหลักๆ ที่ใช้มีดังนี้
- แบบ SSF (Sacrospinous Vaginal Vault Suspension): เทคนิคนี้เป็นการตัดมดลูกออก จากนั้นจะแขวนช่องคลอดเข้ากับเอ็นก้นกบ (Sacrospinous Ligament) เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะหย่อนของลำไส้ใหญ่ที่อยู่ด้านหลังช่องคลอด
- แบบ USLS (Uterosacral Ligament Suspension): เป็นเทคนิคที่ตัดมดลูกออกแต่เหลือไว้เพียงเอ็น จากนั้นจะแขวนช่องคลอดเข้ากับเอ็นมดลูก (Uterosacral Ligament) เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะหย่อนของมดลูกที่ไหลมาจากด้านบนของช่องคลอด
ขั้นตอนการผ่าตัด
การผ่าตัดเย็บแขวนช่องคลอดโดยการส่องกล้องมักใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง โดยมีขั้นตอน ดังนี้
- วิสัญญีแพทย์จะให้ยาดมสลบเพื่อระงับความรู้สึก ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกเจ็บและนอนหลับตลอดระยะเวลาผ่าตัด
- แพทย์จะเปิดแผลบริเวณหน้าท้องขนาดประมาณ 0.5–1 เซนติเมตร จำนวน 3–4 จุด เพื่อใช้เป็นช่องสอดกล้องและเครื่องมือผ่าตัด แผลมีขนาดเล็กเพื่อลดการบาดเจ็บและช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
- หากผู้ป่วยยังมีมดลูก แพทย์จะตัดมดลูกออก เพื่อป้องกันการกดทับและเพิ่มพื้นที่ในการยึดช่องคลอดให้มั่นคง
- ส่วนบนของช่องคลอดจะถูกเย็บยึดกับเอ็นหรือโครงสร้างที่แข็งแรง เช่น เอ็นก้นกบ (Sacrospinous Ligament) หรือ เอ็นยึดมดลูก (Uterosacral Ligament) ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่หย่อนคล้อย เพื่อพยุงให้ช่องคลอดกลับสู่ตำแหน่งปกติและป้องกันการหย่อนซ้ำ
- หากพบว่าผนังช่องคลอดด้านหน้าและ/หรือด้านหลังมีการหย่อนร่วมด้วย แพทย์จะซ่อมแซม (Colporrhaphy) เพื่อฟื้นฟูโครงสร้างให้แข็งแรงและทำงานได้ดีขึ้น
- เมื่อยึดตาข่ายเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะเย็บเยื่อบุช่องท้องคลุมปิดตาข่ายทั้งหมด เพื่อป้องกันไม่ให้ลำไส้หรืออวัยวะอื่นติดกับตาข่าย ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนในอนาคต
- แพทย์จะเย็บปิดแผลที่หน้าท้องและใส่สายสวนปัสสาวะคาไว้ชั่วคราวเพื่อช่วยระบายปัสสาวะ จากนั้นผู้ป่วยจะถูกส่งไปยังห้องพักฟื้นเพื่อติดตามอาการจนกว่าจะปลอดภัย
การผ่าตัดเย็บแขวนช่องคลอดโดยการส่องกล้อง อันตรายไหม?
ปัจจุบัน การผ่าตัดเย็บแขวนช่องคลอดโดยการส่องกล้องถือเป็นมาตรฐานการรักษาที่ได้รับการยอมรับในวงการแพทย์ทั่วโลก เนื่องจากใช้เทคนิคที่แม่นยำ ลดการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อรอบข้าง และทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้รวดเร็วกว่าแบบผ่าตัดเปิด การผ่าตัดทำโดยสูตินรีแพทย์ที่มีความชำนาญ พร้อมการดูแลจากทีมวิสัญญีแพทย์และพยาบาลอย่างใกล้ชิดตลอดขั้นตอน
แม้ว่าหลังผ่าตัดอาจมีอาการไม่สบายเล็กน้อย เช่น ปวดตึงแผลหรือรู้สึกเหนื่อยง่ายในช่วงแรก แต่โดยทั่วไปอาการเหล่านี้จะค่อยๆ ดีขึ้นตามกระบวนการฟื้นตัว ความสำเร็จของการผ่าตัดขึ้นอยู่กับทั้งฝีมือแพทย์และการดูแลตัวเองของผู้ป่วยหลังผ่าตัด หากปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างถูกต้อง ก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตประจำวันและทำกิจกรรมได้ตามปกติอย่างปกติ
ใครควรพิจารณาการผ่าตัดนี้?
การผ่าตัดเย็บแขวนช่องคลอดโดยการส่องกล้อง เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะอวัยวะในอุ้งเชิงกรานหย่อนในระดับรุนแรง จนส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและการดำเนินกิจวัตรประจำวัน โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการหรือสัญญาณเตือนดังต่อไปนี้
- พบก้อนหรือเนื้อเยื่อยื่นโผล่ออกมาจากช่องคลอดอย่างชัดเจน
- มีปัญหาการขับถ่ายปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะติดขัด หรือปัสสาวะไม่สุด จากการที่อวัยวะหย่อนลงมากดเบียดกระเพาะปัสสาวะ
- รู้สึกไม่สบายอย่างมากขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือมีความรู้สึกหน่วงถ่วงในช่องคลอดอย่างต่อเนื่อง
- รู้สึกคล้ายกำลังนั่งทับก้อนกลม ซึ่งเกิดจากแรงกดเบียดของอวัยวะภายใน
การพิจารณาผ่าตัดควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของสูตินรีแพทย์ผู้ชำนาญ เพื่อให้ได้แนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายและความต้องการของผู้ป่วยมากที่สุด
การเตรียมตัวก่อนและหลังการผ่าตัดเย็บแขวนช่องคลอด
การเตรียมความพร้อมทั้งก่อนและหลังการผ่าตัดมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างราบรื่น ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน และฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด
- แจ้งประวัติสุขภาพอย่างละเอียด ทั้งโรคประจำตัว อาการเจ็บป่วยในปัจจุบัน ประวัติการแพ้ยา รวมถึงรายการยารักษาโรค วิตามิน หรืออาหารเสริมที่รับประทานอยู่ เพื่อให้แพทย์พิจารณาปรับยาหรือหยุดยาในบางชนิดหากจำเป็น
- งดอาหารและเครื่องดื่มอย่างน้อย 8 ชั่วโมง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนระหว่างการดมยาสลบ เช่น การสำลักอาหารเข้าสู่ปอด
- งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างน้อย 24–48 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด เพราะทั้งสองปัจจัยอาจส่งผลต่อกระบวนการสมานแผลและการไหลเวียนของเลือด
- จัดเตรียมผู้ดูแลหรือญาติในวันผ่าตัด เพื่อช่วยดูแลและพากลับบ้านหลังผ่าตัด
การดูแลหลังผ่าตัด
- โดยทั่วไปผู้ป่วยจะพักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณ 2 วัน จากนั้นจึงกลับไปพักต่อที่บ้านอีก 2–6 สัปดาห์
- รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ทั้งยาลดปวด ยาปฏิชีวนะ หรือยาลดการบวม เพื่อป้องกันการติดเชื้อและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้แรงมาก เช่น การยกของหนัก การออกกำลังกายที่มีแรงกระแทก อย่างน้อย 4–6 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการดึงรั้งของตาข่ายและแผลเย็บ
- งดเพศสัมพันธ์และการกระตุ้นช่องคลอด รวมถึงการสวนล้างและการแช่น้ำ อย่างน้อย 6 สัปดาห์ หรือจนกว่าแพทย์จะอนุญาต
- ดูแลระบบขับถ่าย รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง ดื่มน้ำเพียงพอ และหลีกเลี่ยงอาการท้องผูก ซึ่งอาจเพิ่มแรงดันในช่องท้องและกระทบต่อแผลผ่าตัด
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
แม้การผ่าตัดเย็บแขวนช่องคลอดโดยการส่องกล้องจะมีความปลอดภัยสูง แต่ก็ยังมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงได้ เช่นเดียวกับการผ่าตัดทุกประเภท โดยส่วนใหญ่ไม่รุนแรงและสามารถรักษาให้หายได้ ดังนี้
- ผลจากการดมยาสลบ เช่น เวียนศีรษะ คลื่นไส้ หรืออาเจียน อาการมักเกิดเพียงชั่วคราวและหายไปเองเมื่อร่างกายฟื้นตัว
- ตกขาวปนเลือดเล็กน้อย ในช่วงประมาณ 1 สัปดาห์แรกหลังผ่าตัด ซึ่งจะค่อยๆ ลดลง
- ตกขาวสีขาวอมเหลืองคล้ายครีม ในช่วง 4–6 สัปดาห์ถัดมา เกิดจากการละลายของไหมหรือวัสดุเย็บแผล ไม่ใช่สัญญาณของการติดเชื้อ
- อาการท้องผูกหรือรู้สึกไม่สบายระหว่างมีเพศสัมพันธ์ อาจเกิดในช่วงพักฟื้น และมักดีขึ้นเมื่อร่างกายฟื้นตัวเต็มที่
- ปัสสาวะเล็ดขณะออกแรง เช่น ไอ จาม หรือยกของหนัก
- การโผล่ของตาข่ายเสริมความแข็งแรงในช่องคลอด ซึ่งพบได้ไม่บ่อย หากเกิดขึ้น แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดเลาะตาข่ายออกในภายหลัง
วิธีผ่าตัดนี้ถือเป็นเทคนิคที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถแก้ปัญหาภาวะอวัยวะในอุ้งเชิงกรานหย่อนได้อย่างตรงจุด ช่วยฟื้นฟูการทำงานของร่างกายและคุณภาพชีวิตให้กลับมาใกล้เคียงปกติ อีกทั้งผู้ป่วยยังสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ตามปกติหลังการฟื้นตัว
ผ่าตัดรักษาภาวะอวัยวะในอุ้งเชิงกรานหย่อนวิธีไหนดี? วิธีไหนเสี่ยงน้อย แต่ได้ผลลัพธ์ดีที่สุดสำหรับเรา? นัดคุยกับคุณหมอเฉพาะทาง ผ่านทีม HDcare สะดวกรวดเร็ว ทันใจ หรือค้นหาแพ็กเกจผ่าตัด จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย