Default fallback image

ข้อเข่าเสื่อม สาเหตุ อาการ วิธีตรวจ วิธีรักษา การป้องกัน

เมื่ออายุมากขึ้น ความแข็งแรงของร่างกายก็ย่อมเสื่อมตามวัย และหนึ่งในโรคที่พบได้บ่อยคือ โรคข้อเข่าเสื่อม โรคทางไขข้อที่ส่งผลต่อสมรรถภาพการเคลื่อนไหวของผู้ป่วย และปัจจุบันก็มีแนวโน้มจะพบได้มากขึ้นในกลุ่มคนอายุน้อยด้วย เนื่องมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม จนทำให้ไขข้อเสื่อมก่อนวัยอันควร

โรคข้อเข่าเสื่อมคืออะไร?

โรคข้อเข่าเสื่อม (Knee Osteoarthritis) คือ โรคที่เกิดจากการเสื่อมตัวและสึกหรอของกระดูกอ่อนผิวข้อเข่า ทั้งรูปร่างและโครงสร้าง รวมถึงเกิดจากการทำงานของกระดูกข้อต่อ และกระดูกบริเวณใกล้ข้อ ที่มีประสิทธิภาพลดลง จนทำให้กระดูกข้อเข่าขาดความไหลลื่นในการเคลื่อนไหว รวมถึงไม่มีกระดูกอ่อนช่วยห่อหุ้มเพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อกระดูกชนกันระหว่างรับน้ำหนักร่างกาย จนเกิดเป็นอาการปวดที่ข้อเข่าตามมา

อาการของโรคข้อเข่าเสื่อม

อาการที่พบได้บ่อยเมื่อเกิดโรคข้อเข่าเสื่อม ได้แก่

  • อาการปวดเข่า โดยมักจะปวดตื้อๆ และเรื้อรังกินระยะเวลานาน นอกจากนี้อาการยังมักจะรุนแรงขึ้นในระหว่างที่ผู้ป่วยใช้งานเข่า หรือมีการลงน้ำหนักที่เข่า หลังจากนั้นก็จะค่อยๆ ทุเลาลงเมื่อพักการใช้งานเข่า
  • อาการข้อฝืด มักพบบ่อยในช่วงหลังตื่นนอนตอนเช้า หรือหลังจากทำท่าใดท่าหนึ่งนานๆ โดยไม่ได้ขยับเปลี่ยนท่า โดยผู้ป่วยจะรู้สึกถึงอาการเข่าติด หรือเข่าฝืดตึงระหว่างขยับใช้งานเข่า แต่อาการมักจะเป็นอยู่เพียงชั่วคราว ประมาณไม่เกิน 30 นาทีก็มักจะหายไป
  • อาการเข่าบวม ผู้ป่วยจะพบว่าเข่ามีการบวมหรือมีลักษณะผิดรูปไป ในบางรายอาจพบลักษณะขาผิดรูป ลีบ โก่งงอ หรือเบี้ยวจนขาสั้นขึ้นด้วย
  • อาการเข่ามีเสียงกรอบแกรบ มักจะได้ยินระหว่างเข่ามีการขยับเคลื่อนไหว

สาเหตุของโรคข้อเข่าเสื่อม

  • อายุที่มากขึ้น โรคนี้พบได้บ่อยในกลุ่มผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันก็มีแนวโน้มจะพบได้ในคนอายุน้อยมากขึ้นด้วย
  • เพศ โรคข้อเข่าเสื่อมมักพบได้บ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนแล้ว ซึ่งเป็นวัยที่ขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน และส่งผลทำให้เนื้อกระดูกแข็งแรงลดลง และทำให้มีอาการปวดที่ไขข้อได้ง่ายขึ้น
  • กรรมพันธุ์ หากมีสมาชิกในครอบครัวเคยมีประวัติเป็นโรคนี้มาก่อน ผู้ใกล้ชิดทางสายเลือดคนอื่นๆ ก็มีโอกาสจะเกิดโรคข้อเข่าเสื่อมได้
  • การบาดเจ็บที่ข้อเข่า รวมถึงโรคที่เกี่ยวกับข้อเข่า เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคเก๊าท์ ซึ่งสามารถส่งผลให้กระดูกข้อเข่าเสื่อมตัวเร็วขึ้น
  • น้ำหนักตัว ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกิน หรือเป็นโรคอ้วน ซึ่งเป็นภาวะของร่างกายที่ทำให้เข่าต้องรับน้ำหนักตัวมากกว่าปกติ จึงส่งผลให้มีโอกาสเกิดโรคข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้นได้
  • การใช้งานข้อเข่าหนักๆ เป็นประจำ เช่น การนั่งยองๆ การวิ่งขึ้นลงบันได การคุกเข่า การกระโดด การยกของหนัก หรือกิจกรรมที่ทำให้ข้อเข่าได้รับแรงกดหรือแรงกระแทกเรื่อยๆ จะเสี่ยงทำให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้นได้

การตรวจวินิจฉัยโรคข้อเข่าเสื่อม

กระบวนการตรวจวินิจฉัยโรคข้อเข่าเสื่อมมักเริ่มต้นจากการซักประวัติ และตรวจร่างกายเบื้องต้นกับแพทย์ก่อน จากนั้นแพทย์จะส่งตัวผู้ป่วยไปตรวจเอกซเรย์ ตรวจ MRI เพื่อตรวจดูโครงสร้างและลักษณะของกระดูกข้อเข่าที่เสื่อมตัวลง

วิธีรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม

การรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมสามารถแบ่งออกได้ 2 แนวทางหลัก ๆ ได้แก่

1. การรักษาด้วยวิธีไม่ใช้ยา

เป็นวิธีรักษาผ่านการปรับเปลี่ยนชีวิตประจำวัน หรือเปลี่ยนโครงสร้างกระดูกข้อเข่าที่เสื่อมตัว และแทนที่ด้วยวัสดุเทียม โดยวิธีที่นิยมใช้ ได้แก่

  • การทำกายภาพบำบัด เพื่อฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
  • การออกกำลังกาย
  • การอัลตราซาวด์ หรือเลเซอร์รักษาหัวเข่า
  • การใช้อุปกรณ์เสริม เช่น ผ้ารัดเข่า เฝือกพยุงเข่า 
  • การผ่าตัดรักษาข้อเข่าเสื่อม เป็นอีกวิธีรักษาที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ข้อเข่าเสื่อมในระยะรุนแรง หรือลองรักษาด้วยวิธีอื่นๆ แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น เนื่องจากช่วยให้เห็นผลการรักษาได้เร็วและมีประสิทธิภาพสูง สามารถแบ่งเทคนิคการผ่าตัดออกได้ 2 รูปแบบหลัก ๆ ได้แก่
    • การผ่าตัดข้อเข่าเทียมแบบทั้งหมด (Total Knee Arthroplasty) เป็นการผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนกระดูกอ่อนผิวข้อเข่าทุกส่วนให้เป็นวัสดุเทียมทั้งหมด ช่วยแก้ไขความเสื่อมหรือสึกหรอที่กระดูกข้อเข่าได้ทุกจุด เหมาะกับผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมระยะรุนแรง หรือมีความเสื่อมของกระดูกข้อเข่าหลายตำแหน่ง
    • การผ่าตัดข้อเข่าเทียมเฉพาะส่วน (Partial Knee Replacement) เป็นการผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนกระดูกอ่อนผิวข้อเข่าเพียงบางส่วนที่มีการเสื่อมตัว เหมาะกับผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมเพียงด้านเดียว หรือในบางจุดที่ไม่มาก แต่ในอนาคตหากอาการของโรคยังรุนแรงขึ้น ก็อาจต้องผ่าตัดข้อเข่าเทียมแบบทั้งหมดอีกครั้ง

2. การรักษาด้วยวิธีใช้ยา

ยาสำหรับใช้รักษาโรคข้อเข่าเสื่อมจะมีทั้งยากินและยาฉีด ขึ้นอยู่กับการประเมินจากแพทย์ ปัจจุบันยาที่ใช้รักษาโรคนี้แบ่งออกได้หลายกลุ่ม เช่น กลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ หรือยากลุ่ม NSAIDs กลุ่มยาชะลออาการเสื่อมของข้อ หรือยากลุ่ม SYSADOA

การป้องกันโรคข้อเข่าเสื่อม

โรคข้อเข่าเสื่อมสามารถป้องกันได้ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อบริเวณเข่า และช่วยหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นทำให้เกิดข้อเข่าเสื่อมตัว เช่น

  • การควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้เกินเกณฑ์
  • การออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อต้นขาและบริเวณเข่า 
  • งดการทำกิจกรรมและการทำท่าทางที่ทำให้เกิดแรงกดต่อข้อเข่า เช่น การกระโดด การคุกเข่า การนั่งยองๆ การนั่งไขว่ห้าง การนั่งไขว้ขา การยกของหนัก
  • เล่นกีฬา และการออกกำลังกายที่ทำให้เกิดแรงกระแทกต่อข้อเข่าอย่างระมัดระวัง หรือหากมีอาการบาดเจ็บของข้อเข่า หรือข้อเข่ายังไม่แข็งแรง ก็ควรหลีกเลี่ยง หรือทำตามคำแนะนำของแพทย์ โดยตัวอย่างกีฬาที่มีโอกาสทำให้ข้อเข่าได้รับแรงกระแทกได้ง่าย ได้แก่ แบดมินตัน บาสเกตบอล ฟุตบอล อเมริกันฟุตบอล เทควันโด 
  • หลีกเลี่ยงอย่าให้ข้อเข่าเสี่ยงได้รับบาดเจ็บ เช่น ขับขี่พาหนะอย่างระมัดระวัง ขึ้นลงบันไดอย่างระมัดระวัง จัดสิ่งแวดล้อมหรือเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านให้โล่ง ไม่มีสิ่งกีดขวาง

ปัจจุบันโรคข้อเข่าเสื่อมสามารถเกิดได้ตั้งแต่ในคนอายุน้อยๆ ไม่ใช่แค่ในผู้สูงอายุ ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดโรคนี้เร็วก่อนวัยอันสมควร เราควรดูแลให้สุขภาพกระดูกข้อเข่ามีความแข็งแรง และอยู่ห่างไกลจากปัจจัยทำให้เกิดการบาดเจ็บ หรือเสื่อมตัวของข้อเข่าให้มากที่สุด

อยากเช็กให้ชัวร์ว่าข้อเข่าเริ่มเสื่อมหรือยัง เข่ายังแข็งแรงดีอยู่ไหม ปรึกษาทีม HDcare ได้เลย เราพร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวดูแลสุขภาพคุณ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับคุณหมอเฉพาะทาง ทำนัดปรึกษาคุณหมอได้รวดเร็ว หรือค้นหาแพ็กเกจตรวจคัดกรองโรคข้อเข่าเสื่อม จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย

Scroll to Top