อาการปวดท้องเป็นสิ่งที่เราทุกคนคุ้นเคย ไม่ว่าจะเกิดจากอาหารไม่ย่อย ท้องผูก หรือกระเพาะอาหารอักเสบ แต่มีอาการปวดท้องอยู่ประเภทหนึ่งที่อาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะอันตรายถึงชีวิต นั่นคือ ไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้จนไส้ติ่งแตก อาจนำไปสู่การติดเชื้อในกระแสเลือดและเสียชีวิตได้
บทความนี้จะพามาเจาะลึกอาการปวดท้องที่เป็นสัญญาณว่า คุณอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบ พร้อมวิธีสังเกตตัวเอง และสิ่งที่ควรทำเมื่อเกิดอาการ เพื่อให้คุณสามารถรับมือได้อย่างทันท่วงที
ปวดท้องแบบไหน เสี่ยงไส้ติ่งอักเสบ?
อาการปวดท้องจากไส้ติ่งอักเสบมีลักษณะเฉพาะที่ต่างจากอาการปวดท้องทั่วไป โดยมักเริ่มต้นอย่างแผ่วเบา ไม่ชัดเจน แต่จะค่อยๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และมีรูปแบบของการเปลี่ยนตำแหน่งที่บ่งบอกถึงความผิดปกติ หากสังเกตได้ทัน ก็จะช่วยให้เข้ารับการรักษาได้ทัน
1. อาการปวดรอบสะดือ
ในระยะแรก ผู้ป่วยมักรู้สึกปวดท้องแบบตื้อๆ หน่วงๆ หรือปวดบีบๆ บริเวณรอบสะดือ ซึ่งเป็นลักษณะการปวดที่ไม่จำเพาะ ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นอาการของโรคกระเพาะอาหารอักเสบ อาหารไม่ย่อย หรือแม้แต่ท้องเสียธรรมดา อาการปวดในช่วงนี้ยังไม่สามารถบอกตำแหน่งที่แน่ชัดได้ และมักจะมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร หรือรู้สึกท้องอืดร่วมด้วย
2. อาการปวดที่ย้ายมาท้องขวาล่าง
เมื่อเวลาผ่านไปประมาณ 4–6 ชั่วโมง อาการปวดจะค่อยๆ เคลื่อนย้ายจากรอบสะดือ มาสู่บริเวณท้องด้านขวาล่างอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นตำแหน่งของไส้ติ่ง อาการปวดในระยะนี้จะชัดเจนและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ลักษณะการปวดมักเป็นปวดแสบ ปวดจี้ด หรือปวดจนขยับลำบาก โดยจะปวดมากขึ้นเมื่อมีการขยับตัว เดิน ไอ หรือจาม และถ้าลองกดที่ท้องขวาล่าง จะยิ่งรู้สึกเจ็บมากกว่าปกติ
3. อาการร่วมอื่นๆ ที่บ่งชี้
นอกจากอาการปวดท้องแล้ว ไส้ติ่งอักเสบยังมักมาพร้อมกับสัญญาณเตือนอื่นๆ เช่น
- มีไข้ต่ำๆ โดยเฉพาะเมื่ออาการปวดท้องรุนแรงขึ้น
- ระบบขับถ่ายผิดปกติ เช่น ท้องเสีย ท้องผูก หรือไม่สามารถผายลมได้ตามปกติ
- อาการคลื่นไส้ อาเจียน ที่ไม่ได้ทุเลาลงหลังถ่ายอุจจาระ
- ในบางรายอาจมีอาการปัสสาวะถี่หรือแสบขัด เนื่องจากไส้ติ่งที่อักเสบอยู่ใกล้กับกระเพาะปัสสาวะ
โดยสรุป หากมีอาการปวดท้องที่เริ่มต้นรอบสะดือ แล้วย้ายมาปวดรุนแรงบริเวณท้องขวาล่าง ร่วมกับมีไข้หรือคลื่นไส้ อาการเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นภาวะไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งหากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษา ไส้ติ่งอาจแตกและก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้
วิธีเช็กง่ายๆ ด้วยตัวเองที่บ้าน
แม้การวินิจฉัยที่แม่นยำจะต้องทำโดยแพทย์เท่านั้น แต่คุณสามารถลองสังเกตอาการเบื้องต้นด้วยตัวเองได้ ดังนี้
- การกดท้อง (Rebound Tenderness): ลองนอนหงายและใช้ปลายนิ้วค่อยๆ กดลงไปบริเวณท้องด้านขวาล่าง โดยกดให้ลึกพอสมควร แล้วปล่อยมือออกทันที หากรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างรุนแรง นั่นอาจเป็นสัญญาณของไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งบ่งชี้ถึงการอักเสบของเยื่อบุช่องท้อง
- การขยับตัว: ลองไอ หรือจาม หากรู้สึกปวดแปลบที่ท้องด้านขวา นั่นอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการอักเสบของไส้ติ่ง นอกจากนี้ ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บมากขึ้นเมื่อต้องขยับตัว เช่น เดิน หรือลุกจากเตียง ซึ่งเป็นอาการที่เรียกว่า “อาการท้องแข็ง”
- การสังเกตอาการอื่นๆ: ให้สังเกตว่าอาการปวดเริ่มต้นที่บริเวณรอบสะดือแล้วย้ายมาปวดที่ท้องขวาล่างหรือไม่ รวมทั้งมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร และไข้ร่วมด้วยหรือไม่
ทำไมต้องรีบไปพบแพทย์?
หากมีอาการที่สงสัยว่าอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบ การไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุดเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้นาน ไส้ติ่งที่อักเสบอาจแตกได้ ส่งผลให้หนองและเชื้อโรคกระจายไปทั่วช่องท้อง ก่อให้เกิดภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis) ซึ่งเป็นภาวะรุนแรงที่อาจคุกคามถึงชีวิต และเสี่ยงต่อการติดเชื้อในกระแสเลือด
สำหรับการรักษา ไส้ติ่งอักเสบจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเอาไส้ติ่งที่อักเสบออก ปัจจุบันมี 2 วิธีหลัก คือ
- การผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง (Open Surgery) ทำโดยกรีดผิวหนังและชั้นกล้ามเนื้อบริเวณท้องขวาล่างยาวประมาณ 5–7 เซนติเมตร เพื่อเข้าถึงไส้ติ่งและตัดออกโดยตรง วิธีนี้มักใช้ในกรณีที่ไส้ติ่งแตก มีหนองมาก หรือแพทย์ต้องการมองเห็นอวัยวะในช่องท้องอย่างชัดเจนเพื่อควบคุมการติดเชื้อ
- การผ่าตัดส่องกล้อง (Laparoscopic Surgery) เป็นวิธีที่แผลเล็ก เจ็บน้อย ฟื้นตัวเร็ว และมักเป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน
นอกจาก 2 วิธีหลักข้างต้นแล้ว ยังมีอีก 1 ทางเลือก คือ การผ่าตัดรักษาไส้ติ่งอักเสบแบบส่องกล้องแผลเดียว หรือ Single Incision Laparoscopic Appendectomy (SILA)
คือการผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบ ที่พัฒนามาจากการผ่าตัดส่องกล้อง โดยแพทย์จะเจาะเปิดแผลเพียงแผลเดียวบริเวณสะดือ ขนาดประมาณ 2 เซนติเมตร จากนั้นจึงใช้เครื่องมือผ่าตัดสอดเข้าไป เพื่อตัดไส้ติ่งออก เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะแผลมีขนาดเล็ก และเจ็บน้อยกว่า
ไส้ติ่งอักเสบถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว การรู้จักสังเกตอาการตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจะช่วยให้เข้าถึงการวินิจฉัยและการรักษาได้ทันท่วงที อย่ามองข้ามสัญญาณผิดปกติหรือรอให้หายเอง หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการที่น่าสงสัย ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
ปวดท้องด้านล่างขวา สงสัยว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ อยากพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยให้แน่ชัด ทักหาทีม HDcare ได้เลย เราพร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวดูแลสุขภาพคุณ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับคุณหมอเฉพาะทาง ทำนัดปรึกษาคุณหมอได้รวดเร็ว จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย


