ไส้ติ่งอักเสบ เป็นหนึ่งในภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่พบได้บ่อยและหลายคนกังวล เนื่องจากอาการปวดท้องที่เกิดขึ้นอาจดูคล้ายกับอาการท้องทั่วไป จึงทำให้สังเกตเองได้ยาก หากปล่อยไว้นานโดยไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้ไส้ติ่งแตกและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ บทความนี้จะชวนคุณมาทำความเข้าใจวิธีที่แพทย์ใช้ตรวจวินิจฉัยไส้ติ่งอักเสบ และเมื่อไหร่ถึงถึงเวลาที่ต้องเข้ารับการผ่าตัด
ไส้ติ่งอักเสบคืออะไร? ทำไมต้องระวัง
ไส้ติ่ง (Appendix) เป็นอวัยวะขนาดเล็กที่มีลักษณะคล้ายนิ้วมือยื่นออกมาจากลำไส้ใหญ่ส่วนต้น แม้จะยังไม่ทราบหน้าที่ที่แน่ชัด แต่เมื่อเกิดการอุดตัน ไม่ว่าจะจากเศษอาหาร อุจจาระ หรือต่อมน้ำเหลืองที่บวม จะทำให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อภายใน หากปล่อยทิ้งไว้ ความดันที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ไส้ติ่งบวมและขาดเลือด จนในที่สุดก็แตกได้
เมื่อไส้ติ่งแตก หนองและเชื้อโรคจะกระจายไปทั่วช่องท้อง ทำให้เกิดภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis) ซึ่งเป็นภาวะรุนแรงที่ต้องได้รับการผ่าตัดฉุกเฉิน หากการติดเชื้อรุนแรงอาจนำไปสู่ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
ขั้นตอนการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์
การวินิจฉัยภาวะไส้ติ่งอักเสบ ต้องอาศัยการตรวจร่างกายร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยแพทย์จะซักประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด จากนั้นจึงพิจารณาการตรวจเพิ่มเติมตามความเหมาะสม
1. การซักประวัติและตรวจร่างกาย
เมื่อผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาล แพทย์จะซักถามอาการปวดท้องอย่างละเอียด เช่น ตำแหน่งที่เริ่มปวด ลักษณะการปวด ความรุนแรง และอาการร่วมอื่นๆ เช่น ไข้ คลื่นไส้ หรือเบื่ออาหาร
หลังจากนั้น แพทย์จะตรวจร่างกายโดยการคลำบริเวณหน้าท้อง โดยเฉพาะบริเวณท้องขวาล่างเพื่อหาตำแหน่งที่เจ็บปวดที่สุด โดยมีเทคนิคการตรวจที่สำคัญดังนี้
- จุด McBurney’s Point: แพทย์จะกดบริเวณท้องขวาล่างระหว่างสะดือและกระดูกเชิงกราน ซึ่งเป็นจุดที่มักจะพบความเจ็บปวดสูงสุดในผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบ
- Rebound Tenderness: แพทย์จะกดท้องเบาๆ แล้วปล่อยมืออย่างรวดเร็ว หากผู้ป่วยรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นในขณะที่ปล่อยมือ แสดงว่ามีการอักเสบของเยื่อบุช่องท้อง
- อาการ Psoas Sign: แพทย์จะให้ผู้ป่วยนอนหงายและยกขาขวาขึ้น หากผู้ป่วยรู้สึกเจ็บท้องขวาล่าง นั่นอาจเป็นสัญญาณของไส้ติ่งอักเสบ
- อาการ Obturator Sign: แพทย์จะให้ผู้ป่วยนอนหงายและงอเข่าขวาเข้าหาตัว หากรู้สึกเจ็บปวด นั่นก็เป็นอีกสัญญาณที่บ่งชี้ได้
2. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
- การตรวจเลือด (Complete Blood Count): แพทย์จะตรวจหาจำนวนเม็ดเลือดขาว หากมีค่าสูงผิดปกติอาจบ่งชี้ถึงการติดเชื้อในร่างกาย
- การตรวจปัสสาวะ: เพื่อแยกแยะอาการปวดท้องจากไส้ติ่งอักเสบออกจากโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะ เช่น การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ หรือนิ่วในไต
3. การตรวจภาพวินิจฉัย
เพื่อยืนยันการวินิจฉัย แพทย์อาจพิจารณาการตรวจเพิ่มเติมด้วยเครื่องมือทางการแพทย์
- การตรวจอัลตราซาวด์ (Ultrasound): เป็นวิธีที่ปลอดภัยและนิยมใช้ในการตรวจวินิจฉัยไส้ติ่งอักเสบ โดยเฉพาะในเด็กและหญิงตั้งครรภ์ แพทย์จะดูขนาดและลักษณะของไส้ติ่ง รวมถึงการมีหนองหรือของเหลวรอบไส้ติ่ง
- การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan): เป็นวิธีที่แม่นยำที่สุดในการวินิจฉัยไส้ติ่งอักเสบ โดยเฉพาะเมื่ออาการไม่ชัดเจนหรือสงสัยว่าไส้ติ่งอาจแตกแล้ว CT Scan สามารถระบุตำแหน่งของไส้ติ่งที่อักเสบ ขนาดที่ขยายใหญ่ และการมีของเหลวหรือฝีหนองในช่องท้องได้อย่างชัดเจน
เมื่อไหร่ต้องผ่าตัด?
เมื่อแพทย์วินิจฉัยยืนยันว่าผู้ป่วยมีภาวะไส้ติ่งอักเสบแล้ว การผ่าตัดคือวิธีการรักษาหลักเพื่อกำจัดไส้ติ่งที่อักเสบออกไป การตัดสินใจผ่าตัดมักเกิดขึ้นทันทีเมื่อผลการวินิจฉัยชัดเจน โดยมีปัจจัยที่แพทย์พิจารณา ดังนี้
- ผลตรวจร่างกายหรือการถ่ายภาพทางการแพทย์บ่งชี้ว่าไส้ติ่งอักเสบ แพทย์จะผ่าตัดทันทีเพื่อป้องกันไส้ติ่งแตก
- เกิดภาวะไส้ติ่งแตก ในกรณีพบว่าไส้ติ่งแตกแล้ว จำเป็นต้องผ่าตัดฉุกเฉินเพื่อเอาไส้ติ่งออกและทำความสะอาดช่องท้อง ลดความเสี่ยงการติดเชื้อรุนแรง
- ผู้ป่วยกลุ่มพิเศษ: เช่น หญิงตั้งครรภ์หรือเด็ก หากพบไส้ติ่งอักเสบ แพทย์มักเลือกผ่าตัดทันทีเพื่อความปลอดภัยของทั้งมารดา เด็ก และทารกในครรภ์
ปัจจุบัน การผ่าตัดไส้ติ่งส่วนใหญ่ทำได้ 3 วิธี:
- 
- การผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง (Open Appendectomy): เป็นวิธีดั้งเดิมที่แพทย์จะกรีดแผลบริเวณท้องขวาล่างเพื่อเอาไส้ติ่งออก
- การผ่าตัดส่องกล้อง (Laparoscopic Appendectomy): เป็นวิธีที่นิยมในปัจจุบัน แพทย์จะสอดกล้องและเครื่องมือผ่าตัดขนาดเล็กผ่านแผลขนาดเล็ก 3-4 รู ทำให้ผู้ป่วยเจ็บน้อย ฟื้นตัวได้เร็ว และมีแผลเป็นขนาดเล็กกว่า
- การผ่าตัดรักษาไส้ติ่งอักเสบแบบส่องกล้องแผลเดียว หรือ Single Incision Laparoscopic Appendectomy (SILA) คือการผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบ โดยแพทย์จะเจาะเปิดแผลเพียงแผลเดียวบริเวณสะดือ ขนาดประมาณ 2 เซนติเมตร จากนั้นจึงใช้เครื่องมือผ่าตัดสอดเข้าไป เพื่อตัดไส้ติ่งออก เป็นวิธีที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะแผลมีขนาดเล็ก และเจ็บน้อยกว่าการผ่าตัดแบบส่องกล้องทั่วไป
 
อาการปวดท้องขวาล่างไม่ควรมองข้าม เมื่อสงสัยว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะการวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็ว จะช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง และช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็ว ลดความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาว
มีอาการปวดท้องที่น่าสงสัย อยากตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด ทักหาทีม HDcare ได้เลย เราพร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวดูแลสุขภาพคุณ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับคุณหมอเฉพาะทาง ทำนัดปรึกษาคุณหมอได้รวดเร็ว จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย


