Default fallback image

15 ข้อควรรู้เกี่ยวกับภาวะไส้ติ่งอักเสบ

ไส้ติ่งอักเสบ อันตรายไหม ต้องผ่าตัดหรือไม่ ถ้าไม่ผ่าตัดจะเกิดอะไรขึ้น ควรหลีกเลี่ยงอาหารประเภทไหนบ้าง…บทความนี้รวบรวมคำถามที่หลายคนสงสัยเกี่ยวกับไส้ติ่งอักเสบ พร้อมคำตอบไว้ให้แล้ว เพื่อให้คุณเข้าใจข้อมูลที่ถูกต้อง และพร้อมรับมือหากภาวะนี้เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว

สารบัญ

1. ไส้ติ่งอักเสบคืออะไร?

ตอบ: ไส้ติ่งอักเสบคือภาวะที่ไส้ติ่ง ซึ่งเป็นถุงเล็กๆ ยื่นออกมาจากลำไส้ใหญ่ส่วนต้น เกิดการอุดตันจนทำให้เชื้อแบคทีเรียสะสมและก่อให้เกิดการติดเชื้อ เมื่อไส้ติ่งอักเสบจะบวมโตและมีการอักเสบ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดท้องเฉียบพลัน มักเริ่มที่รอบสะดือก่อนแล้วจึงเคลื่อนไปที่ท้องน้อยด้านขวา

2. อาการเริ่มต้นของไส้ติ่งอักเสบเป็นอย่างไร?

ตอบ: ในระยะแรกผู้ป่วยมักมีอาการปวดท้องรอบสะดือหรือลิ้นปี่ ซึ่งอาจคล้ายกับอาการปวดท้องธรรมดาทั่วไป ทำให้หลายคนเข้าใจผิด ต่อมาอาการปวดจะค่อยๆ เคลื่อนลงไปที่ท้องน้อยด้านขวาและปวดมากขึ้นจนชี้ตำแหน่งได้ชัดเจน

นอกจากนี้ อาจมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีไข้ต่ำๆ ร่วมด้วย บางรายอาจมีท้องอืด ถ่ายเหลว หรือท้องผูกร่วมด้วย ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน อาการเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณเตือนที่ไม่ควรละเลย เพราะอาจบ่งบอกถึงไส้ติ่งอักเสบระยะเริ่มต้นที่ต้องรีบรักษา

3. อาการปวดไส้ติ่งต่างจากปวดท้องธรรมดาอย่างไร?

ตอบ: อาการปวดท้องจากไส้ติ่งอักเสบมักเริ่มจากปวดตื้อๆ รอบสะดือหรือบริเวณลิ้นปี่ แล้วค่อยๆ เคลื่อนลงมาที่ท้องน้อยด้านขวา พร้อมกับความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ต่างจากอาการปวดท้องทั่วไปที่มักบรรเทาลงเองหรือหายไปหลังขับถ่าย รับประทานอาหาร หรือพักผ่อน

ผู้ป่วยไส้ติ่งอักเสบจะยิ่งเจ็บมากขึ้นเมื่อขยับตัว เดิน ไอ หรือจาม ทำให้การเคลื่อนไหวเป็นเรื่องลำบาก ลักษณะสำคัญที่แพทย์ใช้แยกโรคคือ อาการกดเจ็บและปล่อยมือแล้วเจ็บมากกว่าเดิมที่ท้องน้อยด้านขวา หรือที่เรียกว่า Rebound Tenderness อาการนี้ถือเป็นสัญญาณสำคัญที่ช่วยแยกไส้ติ่งอักเสบออกจากอาการปวดท้องธรรมดาทั่วไป

4. ปวดท้องด้านขวา ใช่ไส้ติ่งอักเสบทุกกรณีไหม?

ตอบ: ไม่เสมอไป อาการปวดท้องด้านขวาอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น นิ่วในไต การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ภาวะลำไส้แปรปรวน หรือถุงน้ำรังไข่ในผู้หญิง ดังนั้น เมื่อมีอาการปวดที่น่าสงสัย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด

5. ต้องตรวจอะไรบ้างเพื่อยืนยันว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ?

ตอบ: การตรวจวินิจฉัยเพื่อยืนยันภาวะไส้ติ่งอักเสบ ส่วนใหญ่มีขั้นตอนดังนี้

  • ซักประวัติอาการ: แพทย์จะสอบถามลักษณะการปวดท้อง ระยะเวลาที่เริ่มปวด และอาการร่วม เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร
  • ตรวจร่างกาย: กดท้องน้อยด้านขวาเพื่อหาสัญญาณกดเจ็บหรือ Rebound Tenderness
  • ตรวจเลือด: ดูจำนวนเม็ดเลือดขาวว่ามีการติดเชื้อหรือไม่
  • ตรวจปัสสาวะ: เพื่อแยกโรคที่มีอาการคล้ายกัน เช่น นิ่วในไต หรือการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
  • ตรวจทางรังสี
  • อัลตราซาวด์: เหมาะกับเด็กและหญิงตั้งครรภ์ เพราะปลอดภัย
  • CT Scan: วิธีที่แม่นยำที่สุดในการยืนยันการวินิจฉัย

6. ไส้ติ่งอักเสบอันตรายไหม?

ตอบ: ไส้ติ่งอักเสบถือเป็นภาวะฉุกเฉินที่อันตรายและต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา ไส้ติ่งที่อักเสบจะบวมและเกิดแรงดันภายในสูง ทำให้มีโอกาสแตกหรือฉีกขาด เมื่อไส้ติ่งแตก เชื้อแบคทีเรียและหนองจะกระจายเข้าสู่ช่องท้อง ส่งผลให้เกิดเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis) ซึ่งเป็นภาวะติดเชื้อรุนแรงและสามารถคุกคามชีวิตได้

ภาวะแทรกซ้อนจากไส้ติ่งอักเสบไม่ได้จำกัดแค่การติดเชื้อในช่องท้องเท่านั้น แต่ยังอาจทำให้เกิดฝีในช่องท้อง (Intra-abdominal Abscess) การติดเชื้อแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด (Sepsis) หรือภาวะช็อกติดเชื้อ ซึ่งต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนที่โรงพยาบาล การรักษาล่าช้าหรือชะลอการผ่าตัดสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนและความรุนแรงของโรค ทำให้การฟื้นตัวช้าลงและมีอัตราการเสียชีวิตสูง

7. ถ้าไม่ผ่าตัดจะเกิดอะไรขึ้น?

ตอบ: หากไส้ติ่งอักเสบไม่ได้รับการผ่าตัด จะบวมและอักเสบมากขึ้นเรื่อยๆ มีความเสี่ยงที่ไส้ติ่งจะแตก ทำให้เนื้อเยื่อและเชื้อแบคทีเรียกระจายเข้าสู่ช่องท้อง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น เยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis) หรือ ฝีในช่องท้อง การติดเชื้ออาจลุกลามเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เกิดการติดเชื้อรุนแรงจนถึงชีวิต (Sepsis) ด้วยเหตุนี้ ไส้ติ่งอักเสบถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการรักษาโดยเร็ว

8. ถ้าไส้ติ่งแตกแล้วจะเสียชีวิตเลยไหม?

ตอบ: ไส้ติ่งแตกไม่ได้หมายความว่าผู้ป่วยจะเสียชีวิตทันที แต่เป็นภาวะฉุกเฉินที่ร้ายแรง เมื่อไส้ติ่งแตกแล้วต้องผ่าตัดทันทีเพื่อล้างช่องท้องและให้ยาปฏิชีวนะเข้มข้นเพื่อควบคุมการติดเชื้อ การผ่าตัดในกรณีนี้จะซับซ้อนกว่าปกติและมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น การติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis) ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลอย่างทันท่วงทีก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

9. เป็นไส้ติ่งอักเสบ ต้องผ่าตัดทุกรายไหม?

ตอบ: โดยทั่วไป การผ่าตัดยังคงเป็นการรักษาหลักและดีที่สุดสำหรับไส้ติ่งอักเสบ อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีที่ไส้ติ่งยังไม่แตกและอาการไม่รุนแรง แพทย์อาจพิจารณาการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะเพียงอย่างเดียว ซึ่งอาจช่วยให้อาการดีขึ้นได้ แต่มีความเสี่ยงที่อาการจะกลับมาเป็นซ้ำได้ในอนาคต ดังนั้นแพทย์ส่วนใหญ่จึงแนะนำให้ผ่าตัดเพื่อแก้ไขที่ต้นเหตุ

10. การผ่าตัดไส้ติ่งมีกี่วิธี? 

ตอบ: การผ่าตัดมี 2 วิธีหลักคือ การผ่าตัดแบบเปิด (Open Appendectomy) โดยแพทย์จะผ่าเปิดหน้าท้องเพื่อนำไส้ติ่งออก และการผ่าตัดส่องกล้อง (Laparoscopic Appendectomy) ซึ่งนิยมมากกว่าในปัจจุบัน เพราะใช้การเจาะรูเล็กๆ 2-3 รู ทำให้แผลมีขนาดเล็ก เจ็บน้อย และฟื้นตัวได้เร็วกว่า

นอกจาก 2 วิธีหลักข้างต้นแล้ว ปัจจุบันยังมีอีก 1 ทางเลือก คือ การผ่าตัดรักษาไส้ติ่งอักเสบแบบส่องกล้องแผลเดียว หรือ Single Incision Laparoscopic Appendectomy (SILA)

คือการผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบ โดยแพทย์จะเจาะเปิดแผลเพียงแผลเดียวบริเวณสะดือ ขนาดประมาณ 2 เซนติเมตร เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะแผลมีขนาดเล็ก และเจ็บน้อยกว่า

11. หลังผ่าตัดไส้ติ่งต้องพักฟื้นนานแค่ไหน?

ตอบ: โดยทั่วไปผู้ป่วยจะพักฟื้นในโรงพยาบาลประมาณ 1-3 วัน และสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้ใน 1-2 สัปดาห์หลังการผ่าตัดแบบส่องกล้อง แต่ควรหลีกเลี่ยงการยกของหนัก หรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงหน้าท้องมากในช่วงแรก

12. หลังผ่าตัดห้ามกินอะไร?

ตอบ: การดูแลตัวเองหลังผ่าตัดไส้ติ่ง สิ่งสำคัญคือการเลือกอาหารที่เหมาะสมเพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวและลดภาระของระบบย่อยอาหาร โดยทั่วไปแพทย์มักจะแนะนำให้งดอาหารบางประเภทในช่วงแรกหลังการผ่าตัด ได้แก่

  • อาหารที่ย่อยยากและมีกากใยสูงมาก: เช่น ข้าวกล้อง ผักและผลไม้สดที่ยังไม่ได้ปรุงสุก ถั่ว และธัญพืชต่างๆ เนื่องจากอาหารเหล่านี้อาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้รู้สึกไม่สบายท้องได้
  • อาหารรสจัด เผ็ดจัด หรือเค็มจัด: อาหารรสจัดอาจทำให้ระคายเคืองกระเพาะอาหารและลำไส้ที่กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัว
  • อาหารมันและอาหารทอด: อาหารประเภทนี้จะทำให้ย่อยยากและอาจทำให้เกิดอาการท้องอืด
  • เครื่องดื่มที่มีแก๊สและแอลกอฮอล์: เครื่องดื่มอัดลมและแอลกอฮอล์สามารถทำให้เกิดแก๊สในช่องท้อง และอาจรบกวนการทำงานของยาปฏิชีวนะหรือยาแก้ปวดที่แพทย์ให้ได้

ในช่วงแรกหลังผ่าตัด แพทย์จะแนะนำให้เริ่มจากการดื่มน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้ใส จากนั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอาหารอ่อนๆ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ซุป และเมื่อร่างกายฟื้นตัวดีขึ้นจึงค่อยกลับไปรับประทานอาหารปกติ

13. เม็ดฝรั่งหรือเมล็ดพืชอื่นๆ ทำให้เป็นไส้ติ่งอักเสบจริงหรือไม่?

ตอบ: โดยทั่วไปแล้ว ไส้ติ่งอักเสบไม่ได้เกิดจากการกินเม็ดฝรั่งหรือเมล็ดพืชอื่นๆ สาเหตุหลักคือ การอุดตันภายในไส้ติ่งจากอุจจาระแข็งตัว (Fecalith) หรือการติดเชื้อแบคทีเรีย

อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีที่เกิดขึ้นได้ยากมาก คือ สิ่งแปลกปลอม เช่น เมล็ดพืชที่ไม่ย่อย ก้อนพยาธิ หรือเศษอาหารแข็ง อาจเข้าไปอุดตันในไส้ติ่งและกระตุ้นให้เกิดการอักเสบได้ แต่โอกาสเกิดขึ้นจริงมีน้อยมาก และไม่ใช่สาเหตุหลักของโรค

14. ไส้ติ่งอักเสบเกิดขึ้นได้ในทุกเพศทุกวัยไหม?

ตอบ: ไส้ติ่งอักเสบสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตาม กลุ่มอายุที่พบบ่อยที่สุดคือวัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้น ประมาณ 10–30 ปี เพศชายมีแนวโน้มเกิดไส้ติ่งอักเสบได้มากกว่าเพศหญิงเล็กน้อย แต่ก็สามารถเกิดกับผู้หญิงได้เช่นกัน เด็กเล็กและผู้สูงอายุมักมีอาการแสดงไม่ชัดเจน ทำให้บางครั้งวินิจฉัยล่าช้าและเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน ดังนั้นไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ หากมีอาการปวดท้องเฉียบพลัน ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจทันที

15. สามารถป้องกันไส้ติ่งอักเสบได้ไหม?

ตอบ: ปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันไส้ติ่งอักเสบได้ 100% เนื่องจากสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการอุดตันที่เกิดขึ้นเองภายในร่างกาย แต่การรับประทานอาหารที่มีกากใยสูงและดื่มน้ำให้เพียงพออาจช่วยลดความเสี่ยงจากการท้องผูกซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจนำไปสู่การอุดตันได้

ไส้ติ่งอักเสบเป็นภาวะฉุกเฉินที่ควรได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็ว แม้จะไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่การสังเกตอาการตั้งแต่ระยะแรก รู้จักสัญญาณเตือน และปรึกษาแพทย์ทันที จะช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนได้ 

ยังมีข้อสงสัยเพิ่มเติมไส้ติ่งอักเสบใช่ไหม? อยากปรึกษาคุณหมอ ตรวจให้แน่ชัด ทักหาทีม HDcare ได้เลย เราพร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวดูแลสุขภาพคุณ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับคุณหมอเฉพาะทาง ทำนัดปรึกษาคุณหมอได้รวดเร็ว จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย

Scroll to Top