อาการปากชาหรือชาที่ริมฝีปากเป็นอาการที่หลายคนอาจเคยพบเจอ ซึงหลายคนเข้าใจว่าแค่ขาดวิตามิน แต่สาเหตุที่เกี่ยวข้องมีหลายกรณีกว่านั้น บางครั้งอาจจะเกิดจากความผิดปกติของเส้นประสาท ขาดสารอาหาร หรืออาจเกิดจากปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ที่ต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างถูกต้อง หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาการปากชาอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้
สารบัญ
อาการปากชาเกิดจากอะไร ?
อาการปากชาเกิดได้จากหลายสาเหตุที่แตกต่างกัน วิธีการรักษาก็จะแตกต่างกันไปตามสาเหตุ
- ปัญหาทางระบบประสาท: ความผิดปกติของเส้นประสาทในบริเวณใบหน้า หรือเส้นประสาทที่ควบคุมการรับรู้รอบๆ ปาก เช่น ภาวะเส้นประสาทกดทับหรือเสื่อม (เช่น โรคเบลส์พาลซี่, โรคปลายเส้นประสาท) หรือโรคที่มีผลกระทบต่อระบบประสาทเช่น โรคหลอดเลือดสมอง หรือ MS (Multiple Sclerosis)
- ขาดสารอาหารหรือวิตามิน: การขาดวิตามิน B12, วิตามิน B1, หรือกรดโฟลิกอาจทำให้เกิดอาการชาในปาก รวมถึงอาการชาที่มือหรือเท้าด้วย
- การแพ้: การแพ้อาหาร หรือสารเคมีอาจทำให้เกิดอาการชาและบวมที่ปากหรือริมฝีปากได้ เช่น แพ้ยาหรือแพ้อาหารบางชนิด
- โรคติดเชื้อ: บางครั้งการติดเชื้อที่มีผลกระทบต่อระบบประสาท เช่น การติดเชื้อไวรัส (เช่น โรคงูสวัด) อาจทำให้มีอาการชาได้
- เกลือแร่ในเลือดต่ำ: ระดับแคลเซียมในเลือดต่ำ อาจทำให้เกิดอาการชาในหลายส่วนของร่างกาย รวมถึงริมฝีปาก
- ภาวะวิตกกังวลหรือเครียด: ความเครียดหรือภาวะวิตกกังวลสูงอาจทำให้เกิดอาการชาในปาก เนื่องจากการหดตัวของกล้ามเนื้อในบริเวณใบหน้า
- ภาวะเลือดไม่หมุนเวียน: เช่น เมื่อเกิดการหมุนเวียนเลือดที่ไม่ดี หรือเกิดภาวะความดันโลหิตต่ำ อาจทำให้รู้สึกชาในบางส่วนของร่างกาย รวมถึงปาก
- อาการจากการใช้ยาบางชนิด: ยาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคมะเร็ง ยาเคมีบำบัด หรือยาต้านไวรัส อาจทำให้เกิดอาการชาเป็นผลข้างเคียง
หากอาการปากชายืดเยื้อหรือมีอาการร่วมอื่นๆ เช่น เจ็บปวด, บวม หรือเปลี่ยนแปลงในลักษณะการรับรส ควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
วิธีแก้อาการปากชา ริมฝีปากชา ?
การรักษาอาการชาบริเวณริมฝีปากขึ้นอยู่กับสาเหตุของอาการ หากสามารถหาสาเหตุที่แท้จริงได้ การรักษาจะมีแนวทางต่างๆ ตามแต่ละกรณี
- กรณีเกิดจากการขาดวิตามินหรือสารอาหาร
- การรับประทานวิตามินเสริม เช่น วิตามิน B12, B1 หรือกรดโฟลิก (Folic acid) อาจช่วยได้ โดยเฉพาะในกรณีที่ขาดสารอาหาร
- การทานอาหารที่มีสารอาหารเหล่านี้มากขึ้น เช่น เนื้อสัตว์, ปลา, ไข่, ผักใบเขียว
- กรณีเกิดจากการกดทับหรือความผิดปกติของเส้นประสาท
- หากอาการชาเกิดจากเส้นประสาทถูกกดทับ เช่น จากอาการกล้ามเนื้อหรือกระดูกทับเส้นประสาท การบำบัดด้วยการทำกายภาพบำบัดหรือการยืดเหยียดอาจช่วยบรรเทาได้
- ในกรณีที่เป็นอาการจากเส้นประสาทเสื่อม หรือโรคต่างๆ เช่น โรคเบลส์พาลซี่ อาจต้องใช้การรักษาด้วยยาหรือการทำกายภาพบำบัดตามคำแนะนำของแพทย์
- กรณีเกิดจากการแพ้
- หากอาการชาเกิดจากการแพ้อาหารหรือสารเคมี ควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ และอาจต้องใช้ยาต้านฮิสตามีน (Antihistamines) หรือยาสเตียรอยด์ตามคำแนะนำของแพทย์
- กรณีเกิดจากโรคติดเชื้อ
- หากอาการชาเกิดจากการติดเชื้อที่มีผลกระทบต่อเส้นประสาท เช่น โรคงูสวัดหรือเริม ต้องใช้ยาต้านไวรัสตามคำแนะนำของแพทย์
- กรณีเกิดจากเกลือแร่ในเลือดต่ำ
- การรักษาภาวะเกลือแร่ในเลือดต่ำ เช่น แคลเซียมต่ำ อาจต้องเสริมแคลเซียมและวิตามิน D ตามคำแนะนำของแพทย์
หากอาการชาไม่ดีขึ้น หรือมีอาการอื่นๆ ร่วม เช่น การพูดไม่ชัด, อ่อนแรง หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาที่เหมาะสม
ริมฝีปากชา ขาดวิตามินอะไร ?
ผู้ป่วยบางรายขาดวิตามิน วิตามิน B12, B1 หรือกรดโฟลิก สามารถทานวิตามินเพิ่มหรือทานอาหารประเภท เนื้อสัตว์, ปลา, ไข่, ผักใบเขียว เพื่อเพิ่มปริมาณวิตามินได้
อย่างไรก็ตาม อาการชาริมฝีปากเกิดได้จากหลายสาเหตุ หากไม่ได้มาจากวิตามินจะไม่ช่วยบรรเทาอาการชา จำเป็นต้องไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการวินิจฉัยและรักษา
คำถามจากผู้ใช้บริการ HDmall
อาการปากชามา 3 วันแล้วค่ะ ตื่นมาอยู่ดีๆ ก็ชา ชาที่ริมฝีปากล่างด้านขวา ส่วนตัวตรวจสุขภาพแล้วปกติดีทุกอย่าง อยากทราบว่ามันจะเป็นอะไรมั้ยคะ ต้องทำยังไง แล้วมีวิธีอะไรที่ช่วยให้อาการดีขึ้นไหม ?
โดยทั่วไป การชาบริเวณปากอาจมีสาเหตุจากหลายปัจจัย เช่น เส้นประสาท การขาดสารอาหาร ขาดวิตามิน ปฏิกิริยาแพ้ โรคทางภูมิคุ้มกัน โรคติดเชื้อ หรือโรคทางกรรมพันธุ์ เป็นต้น
การวินิจฉัยจึงต้องทราบข้อมูลเพิ่มเติม เช่น แสบชาลิ้น การรับรสผิดเพี้ยนไป ชามือ ตาพร่ามัว พูดไม่ชัด แขนขาอ่อนแรง หรือไม่ครับ รวมทั้งรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ หรือมีประวัติดื่มเหล้า สูบบุหรี่เป็นประจำ น้ำหนักลดหรือเบื่ออาหาร
ตอบโดย นพ. กอบศักดิ์ ชัยชะแตง
ริมฝีปากชาเกิดได้จากหลายสาเหตุครับ เช่น
- ระบบประสาททำงานผิดปกติ
- ขาดสารอาหาร/วิตามิน
- การแพ้ เช่น แพ้อาหารหรือสารเคมี
- เกลือแร่ในเลือดต่ำ เช่น แคลเซียม เป็นต้น
แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อซักประวัติ ตรวจร่างกายเพิ่มเติมอย่างละเอียด และอาจต้องส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัดครับ
ตอบโดย นพ. ชินไตร ถาวรลัญฉ์
บทความที่เกี่ยวข้อง
คำถามสุขภาพที่พบบ่อย