ปล่อยใน หลั่งใน ช่วงหน้า 7 หลัง 7 จะท้องหรือไม่

ปัญหาหนึ่งของการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรที่น่ากังวลใจก็คือ “การตั้งท้อง” เพราะไม่เข้าใจถึงวิธีการคุมกำเนิดที่ถูกต้อง บางรายมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้คุมกำเนิดด้วยวิธีใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการใส่ถุงยางอนามัย หรือการรับประทานยาคุมฉุกเฉิน แล้วมีคำถามเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าบ่อยๆ อย่างเช่น ปล่อยใน หรือหลั่งในแล้วจะท้องไหม หรือมีเพศสัมพันธ์หลังมีประจำเดือนจะท้องหรือไม่

กรณีที่ผู้หญิงมีประจำเดือนมาปกติและตรงเวลา

การมีเพศสัมพันธ์แล้วหลั่งน้ำอสุจิข้างในช่องคลอดจะท้องหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างด้วยกัน แต่สำหรับผู้ที่มีประจำเดือนมาปกติ ตรงต่อเวลา คำตอบจะค่อนข้างชัดเจนกว่าผู้ที่มีประจำเดือนมาไม่แน่นอน เพราะการหลั่งในย่อมหมายความว่า อสุจิได้เข้าไปในช่องคลอดของฝ่ายหญิงแล้ว จึงมีโอกาสที่ไข่และอสุจิจะผสมกันแล้วเกิดการตั้งครรภ์ได้

ตัวอย่างเช่น หากประจำเดือนมาทุกๆ 28–30 วัน ให้นับจากวันแรกที่มีประจำเดือนมาอีก 9–18 วัน ในช่วงนี้เป็นช่วงที่กำลังมีไข่ตก ซึ่งถ้ามีเพศสัมพันธ์แล้วหลั่งในจะมีโอกาสที่จะตั้งครรภ์สูงมาก

หรือประมาณระยะปลอดภัยด้วยวิธี “หน้า 7 หลัง 7” โดยการนับ 7 วัน ก่อนวันมีประจำเดือน กับ 7 วัน หลังวันมีประจำเดือน

ตัวอย่างเช่น ประจำเดือนมาวันที่ 10 ก็ให้นับมาข้างหน้า 7 คือวันที่ 4 – 10 นับถอยหลัง 7 คือ วันที่ 10 – 16 โดยถ้ามีเพศสัมพันธ์ในช่วงระยะวันที่ 4 – 16 ก็จะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้น้อย

กรณีที่ผู้หญิงมีประจำเดือนมาผิดปกติและไม่แน่นอน

สำหรับกรณีนี้จะไม่มีทางทราบได้เลยว่า วันไข่ตก และช่วงระยะปลอดภัยคือวันใด ดังนั้นจึงมีโอกาสเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์ได้ค่อนข้างสูง ถึงแม้ว่าจะหลั่งในเพียงครั้งเดียวก็ตาม

ตกลง “หลั่งในจะท้องหรือไม่”

การมีประจำเดือนตรงเวลา หรือไม่ตรงเวลาแล้วมีเพศสัมพันธ์นั้น เป็นแค่การประมาณโอกาสความเสี่ยงว่า ตั้งครรภ์ได้มากน้อยเท่านั้น โดยไม่สามารถตอบได้อย่างชัดเจนว่าจะตั้งครรภ์หรือไม่ เพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น รอบเดือนมาสั้น หรือรอบเดือนมายาว

ถึงแม้ว่าจะมีเพศสัมพันธ์ในวันเดียวกัน แต่โอกาสในการตั้งครรภ์ยังคงมีความเสี่ยงไม่เท่ากัน

นอกจากนี้ถ้าสุขภาพของฝ่ายชายและฝ่ายหญิงแข็งแรงสมบูรณ์ ก็ย่อมมีโอกาสเพิ่มการตั้งครรภ์ได้สูงกว่าผู้ที่มีร่างกายไม่แข็งแรง ซึ่งหลังมีเพศสัมพันธ์จะต้องรอประจำเดือนที่มีลักษณะปกติมาในรอบถัดไปเสียก่อน

หากมาไม่ปกติ มากะปริบกะปรอย หรือเลยเวลาไปมาก ก็ควรรับการตรวจตั้งครรภ์ที่ให้ผลถูกต้อง และแม่นยำ จากการตรวจปัสสาวะ เพราะอาจเป็นสัญญาณของการตั้งครรภ์ได้

  • อ่านเพิ่มเติม: กินยาคุมกี่วัน ถึงปล่อยในได้ ?

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับหน้า 7 หลัง 7

หน้า 7 หลัง 7 คือ อะไร? นับจากวันไหน นับเพื่ออะไร?

การนับวันปลอดภัย หรือ หน้า 7 หลัง 7 ในทางการแพทย์ เป็นหนึ่งในวิธีคุมกำเนิดที่เรียกว่า “Fertility Awareness-Based Methods”

หมายถึง การคุมกำเนิดโดยเลือกมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่มีอัตราการเจริญพันธุ์ต่ำสุดในแต่ละรอบเดือน เพื่อลดโอกาสการตั้งครรภ์ลง

โดยทั่วไป ผู้หญิงปกติที่มีรอบเดือนสม่ำเสมอ ประจำเดือนมาทุก 28-30 วัน ไข่จะตกประมาณช่วงกลางรอบเดือน คือประมาณวันที่ 14 ของรอบเดือน นับจากประจำเดือนมาวันแรก (ปกติจะนับวันที่ประจำเดือนมาวันแรกเป็นวันที่ 1 ของรอบเดือน)

โดยช่วงที่ไข่ตกเป็นช่วงที่อัตราการเจริญพันธุ์สูงสุด โอกาสตั้งครรภ์มากที่สุดในแต่ละรอบเดือน

แต่ถ้าไข่ตกแล้วไม่ได้รับการผสม อีก 2 สัปดาห์ถัดมา เยื่อบุโพรงมดลูกก็จะหลุดออกมาเป็นเลือดประจำเดือน

ในทางตรงข้าม ช่วงที่ห่างจากวันไข่ตกมากที่สุด คือช่วงที่มีประจำเดือนวันแรก ก็เป็นช่วงที่โอกาสตั้งครรภ์ต่ำสุด

การนับวันปลอดภัย หน้า 7 หลัง 7 จึงหมายถึง การคุมกำเนิด โดยเลือกมีเพศสัมพันธ์เฉพาะวันที่โอกาสตั้งครรภ์ต่ำ คือช่วง 7 วันก่อนวันที่คาดว่าเป็นวันที่ประจำเดือนมาวันแรก ถึง 7 วันหลังประจำเดือนมาวันแรก

การนับหน้า 7 หลัง 7 เหมาะกับใคร ไม่เหมาะกับใครบ้าง?

จากที่กล่าวมาแล้ว การคุมกำเนิดโดยนับวันปลอดภัย คือการมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 7 วันก่อนหน้า ถึง 7 วันหลังวันที่คาดว่าประจำเดือนจะมาวันแรก

ดังนั้น วิธีนี้ จึงจะใช้ได้เฉพาะในคนที่ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ สามารถคาดการณ์วันที่ประจำเดือนจะมาได้ชัดเจน เท่านั้น

กรณีที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ไม่รู้แน่ว่าประจำเดือนรอบถัดไปจะมาวันไหน จะไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้

นอกจากนี้ ในผู้หญิงที่รอบเดือนไม่ได้มาทุก 28 วัน ไข่จะไม่ได้ตกช่วงกลางรอบเดือน (14 วัน นับจากประจำเดือนมาวันแรก) ดังนั้น จึงไม่เหมาะกับวิธีนี้เช่นกัน

โดยสรุป วิธีนี้เหมาะกับคู่ที่ฝ่ายหญิง ประจำเดือนมาสม่ำเสมอทุก 28-30 วันเท่านั้น

คุมกำเนิดด้วยวิธีหน้า 7 หลัง 7 มีสิทธิ์ท้องไหม?

ความจริงแล้ว ไม่มีวิธีคุมกำเนิดใดที่คุมกำเนิดได้ 100% ดังนั้นแม้ว่าจะคุมด้วยวิธีไหน ก็มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ทั้งนั้น การนับหน้า 7 หลัง 7 ก็มีสิทธิ์ท้องเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม วิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น ยาฝัง ยาฉีดคุมกำเนิด มักป้องกันการตั้งครรภ์ได้มากกว่า 98%

วิธีนับหน้า 7 หลัง 7 ป้องกันการตั้งครรภ์ได้กี่เปอร์เซ็นต์?

ในกรณีที่ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ ทุก 28-30 วัน มีการนับวันอย่างถูกต้องทุกครั้ง งานวิจัยพบว่าโอกาสตั้งครรภ์อยู่ที่ประมาณ 5% ในปีแรก

ในขณะที่ถ้าประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ ทุก 28-30 วัน หรือมีการนับวันผิดบางครั้ง โอกาสตั้งครรภ์อาจเพิ่มขึ้นสูงได้ถึง 24%

นับหน้า 7 หลัง 7 ร่วมกับใส่ถุงยาง จะท้องหรือไม่?

เนื่องจากการนับวันปลอดภัยไม่ใช่วิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังใช้ได้เฉพาะในผู้หญิงที่ประจำเดือนมาสม่ำเสมอทุก 28-30 วันเท่านั้น จึงไม่ได้เป็นวิธีที่แนะนำทั่วไป

ส่วนการใช้ถุงยางอนามัย ถือเป็นวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงถ้าใช้อย่างถูกต้อง ได้แก่ ถุงยางใช้ครั้งเดียวทิ้ง ใส่ถุงยางเมื่ออวัยวะเพศชายแข็งตัว และมีวิธีใส่-ถอดถุงยางที่ถูกต้อง ดังนั้น การใส่ถุงยางจึงเป็นวิธีคุมกำเนิดที่แนะนำมากกว่าการนับวัน

ถ้าใช้ 2 วิธีร่วมกัน คือ มีเพศสัมพันธ์ในวันปลอดภัยที่โอกาสตั้งครรภ์ต่ำอยู่แล้ว ร่วมกับการใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้อง ก็สามารถคุมกำเนิดได้ดี

อย่างไรก็ตาม ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ไม่มีวิธีคุมกำเนิดใดที่ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100% เนื่องจากอาจมีความผิดพลาดบางอย่างเกิดขึ้นได้เสมอแต่โอกาสก็ยังน้อยกว่าคุมกำเนิดด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง

นับหน้า 7 หลัง 7 แล้วยังต้องกินยาคุมฉุกเฉินอยู่ไหม?

จากที่กล่าวมาแล้ว การนับวันปลอดภัย ไม่ใช่วิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพและมีข้อจำกัด

หากมีเพศสัมพันธ์ไปแล้วโดยมิได้ป้องกัน (ไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย ไม่ได้ใช้ยาคุมรายเดือน) แม้ว่าจะอยู่ในช่วงหน้า 7 หลัง 7 จากวันที่ประจำเดือนมาวันแรก ก็ควรรับประทานยาคุมฉุกเฉินเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์

แม้ว่ายาคุมฉุกเฉินจะประสิทธิภาพไม่ได้ดีมาก เมื่อเทียบกับวิธีอื่นๆ เช่น ยาคุมรายเดือน ถ้ารับประทานถูกวิธี ประสิทธิภาพคุมกำเนิดมากกว่า 95 % แต่ยาคุมฉุกเฉิน อาจจะแค่ประมาณ 80-85% แต่ก็ถือว่าดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

หลังจากนั้น หากยังไม่อยากท้อง ไม่ต้องการตั้งครรภ์ ควรคุมกำเนิดโดยใช้วิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น ยาคุมกำเนิดรายเดือน ถุงยางอนามัย ยาฉีด ยาฝังคุมกำเนิด ก่อนการมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง


ข้อควรปฏิบัติสำหรับการมีเพศสัมพันธ์แบบปลอดภัย

การมีเพศสัมพันธ์ที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น หรือกรณีที่ยังไม่พร้อมจะมีบุตร จะต้องคุมกำเนิดด้วยวิธีดังต่อไปนี้

การใช้ถุงยางอนามัย

เป็นวิธีที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุด เพราะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและสามารถคุมกำเนิดได้อย่างแน่นอน อีกทั้งยังช่วยป้องกันการติดต่อหรือแพร่กระจายของโรคทางเพศสัมพันธ์ได้ เช่น โรคหนองในแท้ หนองในเทียม โรคซิฟิลิส และโรคเอดส์

ห่วงอนามัยคุมกำเนิด

ปัจจุบันห่วงอนามัยคุมกำเนิด (ไอยูดี) เป็นอุปกรณ์ขนาดเล็ก มักมีรูปตัว T และมักเคลือบด้วยทองแดงหรือฮอร์โมนลีโวนอร์เจสเตรล (levonorgestrel) ซึ่งใช้โดยการใส่เข้าไปในมดลูก นับเป็นวิธีคุมกำเนิดระยะยาวที่ย้อนกลับได้แบบหนึ่ง อัตราการล้มเหลวของห่วงคุมกำเนิดเคลือบทองแดงอยู่ที่ประมาณ 0.8% ส่วนแบบใช้ลีโวนอร์เจสเตรลมีอัตราการล้มเหลวอยู่ที่ 0.2% ในการใช้ปีแรก

ห่วงอนามัยปลอดภัยและมีประสิทธิภาพดีเมื่อใช้กับวัยรุ่น และคนที่ไม่เคยมีลูก ห่วงอนามัยไม่ส่งผลกระทบต่อการให้นมลูก และสามารถติดตั้งได้ทันทีหลังให้กำเนิดบุตร นอกจากนี้ยังสามารถใช้ได้ทันทีหลังทำแท้ง เมื่อถอดออกภาวะเจริญพันธุ์จะกลับมาปกติทันทีแม้จะเคยใช้มาเป็นเวลานาน

การคุมกำเนิดโดยใช้ฮอร์โม

มีหลายแบบ เช่น ยาเม็ด ยาฝังใต้ผิวหนัง ยาฉีด ยาแปะ ห่วงอนามัย และวงแหวนช่องคลอด วิธีเหล่านี้ใช้ได้กับผู้หญิงเท่านั้น ประสิทธิภาพของยาขึ้นอยู่กับการที่ผู้ใช้รับประทานยาอย่างตรงเวลา โดยยาอาจส่งผลต่อเยื่อบุโพรงมดลูกทำให้ตัวอ่อนฝังตัวยากขึ้น

ยาเม็ดคุมกำเนิดมี 2 ชนิด ได้แก่ แบบฮอร์โมนรวม ซึ่งมีทั้งเอสโตรเจนและโปรเจสติน และแบบที่มีแค่โปรเจสตินอย่างเดียว ยาทั้ง 2 ชนิดไม่มีผลต่อทารกในครรภ์หากรับประทานขณะตั้งครรภ์ และสามารถป้องกันการปฏิสนธิโดยยับยั้งการตกไข่และเพิ่มความข้นของมูกช่องคลอดเป็นหลัก

ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงของภาวะอุดตันของหลอดเลือดดำและหลอดเลือดแดงเล็กน้อย เพราะเหตุนี้จึงไม่แนะนำให้ผู้หญิงอายุมากกว่า 35 ปีที่สูบบุหรี่รับประทานยาคุมกำเนิด

วิธีคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนเดียวอาจส่งผลต่อประจำเดือน โดยผู้ใช้บางคนอาจไม่มีประจำเดือนเลย อัตราการล้มเหลวในปีแรกเมื่อใช้อย่างถูกต้องของโปรเจสตินแบบฉีดอยู่ที่ 0.2% และอยู่ที่ 6% ในการใช้แบบทั่วไป

การรับประทานยาคุมฉุกเฉิน

กรณีที่มีเพศสัมพันธ์ไปแล้ว เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์โดยไม่พร้อม หลังมีเพศสัมพันธ์ควรรับประทานยาคุมฉุกเฉินภายใน 72 ชั่วโมง หรือถ้าจะให้ผลดี คือ ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังการมีเพศสัมพันธ์ จะสามารถคุมกำเนิดได้ 85–88% แต่ไม่ควรใช้วิธีนี้เป็นประจำ เนื่องจากมีผลต่อสุขภาพมดลูก และระบบการสืบพันธุ์ในระยะยาว

หยุดพฤติกรรมเสี่ยง

หากไม่ต้องการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ จะต้องหลีกเลี่ยงพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์แบบหลั่งใน จะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด สิ่งที่ควรรู้คือ ในระหว่างที่มีเพศสัมพันธ์นั้น การสอดใส่อวัยวะเพศชายโดยไม่สวมถุงยางอนามัยอาจมีเชื้ออสุจิปนมากับน้ำเมือกแล้วบางส่วน อีกทั้งขณะใกล้ถึงจุดสุดยอด ฝ่ายชายจะมีโอกาสถอนอวัยวะเพศออกไม่ทันสูง

ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยจึงควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เพราะนอกจากจะป้องกันการตั้งครรภ์ได้แล้ว ยังช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วย

Scroll to Top