สิวอักเสบ คือ สิวอุดตันที่มีแบคทีเรียเข้ามาก่อให้เกิดการอักเสบของรูขุมขนและต่อมไขมัน สามารถเกิดได้ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะใบหน้า สิวอักเสบสามารถแบ่งย่อยออกได้ตามลักษณะการอักเสบและความรุนแรง ดังนี้
- สิวแดงเป็นไต (Papule) มีลักษณะเป็นหัวไตค่อนข้างแข็ง มีอาการแดงและเจ็บเล็กน้อย เกิดจากการอักเสบใกล้ชั้นผิวหนังด้านบน
- สิวหัวหนองขนาดเล็ก (Pustule) มีลักษณะเป็นไตสีแดง และมีหัวหนองขนาดเล็กอยู่ตรงกลาง มีอาการเจ็บได้ แต่ไม่มาก เกิดจากการอักเสบใกล้ชั้นผิวด้านบน และมีเม็ดเลือดขาวมาเป็นจำนวนมากทำให้เกิดเป็นหัวหนองขึ้น
- สิวหัวหนองขนาดใหญ่ (Nodule) มีลักษณะเป็นก้อนหนองลึกลงไปในชั้นผิว ก้อนหนองจะนิ่ม และมีอาการ แดงร่วมกับปวดได้มาก เกิดจากการอักเสบลึกลงไปในชั้นผิวหนังด้านล่าง มีการส่งเม็ดเลือดขาวมาเป็นจำนวนมากจนกลายเป็นก้อนหนองอยู่ใต้ผิวหนัง
- สิวถุงหนอง (Cyst) เป็นก้อนหนองขนาดใหญ่ บวมแดงและเจ็บมาก โดยก้อนหนองนี้จะไม่นิ่มมากแบบ nodule เนื่องจากมีการสร้างชั้นผิวหนังมาหุ้มหนองไว้ทำให้กลายเป็นถุงน้ำ (Cyst) เกิดจากการอักเสบภายในชั้นผิวหนัง ด้านล่างเช่นเดียวกับ nodule แต่มีการอักเสบที่แย่กว่า และเมื่อสิวหายอาจจะเหลือร่องรอยได้หลายแบบ ได้แก่ รอยแดง รอยดำ หลุมแผลเป็น แผลเป็นนูน
สิวอักเสบที่เกิดขึ้นแต่ละตำแหน่งเกิดจากอะไร?
สิวแต่ละตำแหน่งบนใบหน้าเกิดขึ้นได้จากสาเหตุที่แตกต่างกัน ซึ่งหากจัดการแก้ปัญหาต้นเหตุได้อย่างถูกต้อง สิวก็จะหายไปได้อย่างรวดเร็ว ดังนี้
- สิวบริเวณโคนผม หากมีสิวอักเสบขึ้นเฉพาะตำแหน่งนี้ แสดงว่าเกิดจากผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผมอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นแชมพู ครีมนวดผม เซรัมบำรุงผม หากมีการเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแล้วสิวขึ้น แนะนำให้หยุดใช้ทันที
- สิวบริเวณหน้าผาก สิวอักเสบบริเวณนี้มักเกิดจากอากาศร้อน ความเครียดสะสม นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ ระบบย่อยอาหารไม่ดี รับประทานอาหารไม่ดีต่อสุขภาพมากเกินไป หรืออาจเกิดจากผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเส้นผม และการสัมผัสบริเวณหน้าผากด้วยมือที่สกปรก
- สิวบริเวณคิ้ว เกิดจากผลิตภัณฑ์ที่ใช้แต่งคิ้ว ขนคุดบริเวณคิ้ว และดื่มน้ำไม่เพียงพอ
- สิวบริเวณหู เกิดจากแบคทีเรียรวมถึงสิ่งสกปรกสะสม ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง และการแพ้ผลิตภัณฑ์ดูแล เส้นผม รวมถึงการอักเสบบริเวณหนังศรีษะ
- สิวบริเวณแก้ม สิวอักเสบบริเวณนี้เกิดจากเครื่องสำอาง ปลอกหมอน และการใช้หน้าแนบโทรศัพท์มือถือที่สกปรก
- สิวบริเวณคาง รอบปาก และกรอบหน้า เกิดจากการทานอาหารที่ก่อให้เกิดสิว อาการแพ้ยาสีฟัน และฮอร์โมนที่ผิดปกติ
วิธีป้องกันและรักษาสิวอักเสบ
เนื่องจากสิวอักเสบเกิดจากการอุดตันและเชื้อแบคทีเรีย ดังนั้นการป้องกันและรักษาส่วนมากจึงเน้นที่การรักษาความสะอาด ดังนี้
- กำจัดสาเหตุของการเกิดสิวในบริเวณนั้นๆ ออกไป เช่น ทำความสะอาดปลอกหมอน ที่นอน โทรศัพท์ แปรงแต่งหน้า
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าโดยไม่จำเป็น
- รักษาความสะอาดสิ่งของรอบตัวอยู่เสมอ และล้างมือเป็นประจำ
- ล้างเครื่องสำอางออกให้สะอาด เพื่อช่วยลดความอุดตันของผิวหนัง
- หากเป็นสิวอักเสบระดับน้อยถึงปานกลาง มีการอักเสบไม่กี่จุด ขนาดไม่ใหญ่นัก สามารถรักษาด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าสำหรับคนเป็นสิว ที่สามารถซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป
- หากเป็นสิวอักเสบระดับปานกลางถึงมาก การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าสำหรับสิวเพียงอย่างเดียว อาจไม่สามารถช่วยให้สิวดีขึ้นได้มากนัก เนื่องจากจำเป็นต้องใช้ยารักษาสิวควบคู่ไปด้วย หรืออาจจำเป็นต้องรับยาแบบรับประทาน จึงควรไปพบแพทย์เพื่อรักษา
- ตัวยารักษาสิวที่จำเป็นต้องใช้อย่างระมัดระวัง ได้แก่ เบนโซอิล เปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) ยานี้ช่วยลดอาการอุดตันและลดอาการอักเสบได้ค่อนข้างดี ส่วนคลินดาไมซิน (Clindamycin) และเมโทรนิดาโซล (Metronidazole) เป็นตัวยาช่วยฆ่าเชื้อสิวที่นิยมใช้กันในปัจจุบัน รวมถึงอนุภัณฑ์ของวิตามินเอในรูปแบบต่างๆ ก็สามารถช่วยลดอาการอุดตัน และลดความมันบนใบหน้าได้เช่นกัน
- หากเป็นสิวอักเสบแบบมีหนอง จำเป็นต้องนำหนองออกเพื่อลดอาการอักเสบลง โดยแนะนำให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยนำหนองออกให้ เนื่องจากการทำเองอาจก่อให้เกิดการติดเชื้อซ้ำซ้อนเพิ่มขึ้นได้
- การฉีดสารสเตียรอยด์เข้าไปในสิวเพื่อลดการอักเสบ สามารถทำได้โดยแพทย์ และได้ผลดีหากเป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่ โดยจะช่วยทำให้สิวยุบอย่างรวดเร็ว แต่ต้องระมัดระวังการเกิดชั้นไขมันที่ผิวหนังยุบตัวได้ หากฉีดด้วยความเข้มข้นที่มากเกินไป
- สำหรับผู้หญิง หากมีสิวอักเสบมาก มีใบหน้ามัน และมีขนขึ้นตามบริเวณต่างๆ ของร่างกายมาก อาจสงสัยว่าเป็นภาวะถุงน้ำในรังไข่ ซึ่งจำเป็นต้องมีการตรวจเพิ่มเติมด้านสูตินารี การรักษาอาจใช้ยาคุมเพื่อช่วยปรับฮอร์โมนให้ดีขึ้นได้ โดยจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์
- เลือกรับประทานอาหารที่มีโอเมก้า 3 สูง และโอเมก้า 6 เช่น ปลาแมคเคอเรล แซลมอน เมล็ดแฟลก ถั่วเหลือง เป็นต้น สามารถช่วยลดการเกิดสิวอักเสบลงได้