การรักษาโรคลมชักวิธีที่ใช้เป็นหลักคือการให้ผู้ป่วยรับประทานยากันชักอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมไม่ให้มีอาการชัก นอกจากการใช้ยากันชักแล้วยังมีการรักษาอื่นๆ ได้แก่ การผ่าตัด การผ่าตัดเพื่อฝังอุปกรณ์กระตุ้นเส้นประสาทเวกัส, การผ่าตัดฝังขั้วไฟฟ้าไปกระตุ้นสมองส่วนลึก, คีโตเจนิคไดเอต และ การรักษาเสริม
มีคำถามเกี่ยวกับ การรักษาโรคลมชัก? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ
ผู้ป่วยโรคลมชักส่วนใหญ่จะประสบความสำเร็จในการรักษาด้วยยากันชัก (anti-epileptic drugs (AEDs)) ยากันชักไม่ได้ทำให้โรคลมชักหายขาด แต่สามารถป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยมีอาการชักเกิดขึ้น
ยากันชักนั้นมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน โดยทั่วไปยากันชักจะออกฤทธิ์โดยไปเปลี่ยนแปลงระดับของสารเคมีภายในสมองซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับการนำสัญญาณไฟฟ้าภายในสมอง ทำให้ลดโอกาสเกิดอาการชักได้
ชนิดของยากันชักที่แพทย์จะแนะนำสำหรับคุณจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ หลายปัจจัย ได้แก่ ชนิดของอาการชักที่คุณเป็น, อายุของคุณ, มีข้อควรระวังในการใช้ยากันชักกับยาตัวอื่นๆ ที่อาจเกิดปฏิกิริยาต่อกันหรือไม่ (เช่น การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด และคุณกำลังวางแผนที่จะตั้งครรภ์หรือไม่ )
ตัวอย่างรายชื่อยากันชักที่ใช้กันบ่อยๆ ได้แก่ โซเดียมวาโปรเอต (sodium valproate), คาร์บาร์มาซีปีน (carbamazepine), ลาโมไทรจีน (lamotrigine), เลวิไทราซีแทม (levetiracetam), ออกคาร์บาร์ซีปีน (oxcarbazepine), อีโทซูซิไมด์ (ethosuximide) และ โทไปราเมท (topiramate)
สารบัญ [show]
การรับประทานยากันชัก
ยากันชักมีที่ใช้กันอยู่หลายรูปแบบ ได้แก่ ยาเม็ด ยาแคปซูล ยาน้ำ และยาน้ำเชื่อม
สิ่งสำคัญคือคุณจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำใดๆ ก็ตามเกี่ยวกับการรับประทานยากันชัก รวมถึงขนาดยากันชักที่ต้องรับประทานด้วย และอย่าหยุดรับประทานยากันชักเอง เพราะจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการชักได้
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเริ่มให้ยากันชักกับคุณในขนาดต่ำก่อน และค่อยๆ เพิ่มขนาดยากันชักขึ้นแต่ยังอยู่ในช่วงที่ปลอดภัยจนกว่าจะควบคุมไม่ให้คุณมีอาการชักได้ หรือจนกว่าจะเกิดผลข้างเคียงขึ้น หากการใช้ยากันชักชนิดแรกแล้วไม่สามารถควบคุมอาการชักได้ แพทย์จะทดลองให้ยากันชักตัวใหม่โดยค่อยๆ เพิ่มขนาดยากันชักตัวใหม่เข้าไปและค่อยๆ ลดขนาดยากันชักตัวเก่าลง
เป้าหมายของการใช้ยากันชักคือ การควบคุมอาการชักให้ได้ในระดับสูงสุดโดยมีผลข้างเคียงจากยาน้อยที่สุด และใช้ยาด้วยขนาดยาและจำนวนชนิดยาให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การใช้ยากันชักชนิดอื่นที่ออกฤทธิ์แตกต่างกันจะถูกแนะนำให้ทำมากกว่าการเลือกรับประทานยากันชักพร้อมกันมากกว่า 1 ชนิด อย่างไรก็ตามในผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องใช้ยากันชักมากกว่า 1 ชนิดเพื่อควบคุมอาการชัก
ในขณะที่กำลังรับประทานยากันชัก อย่ารับประทานยาอื่นใดร่วมด้วย หากยังไม่ได้ปรึกษาแพทย์ แม้ว่าจะเป็นยาสามัญประจำบ้านหรือการแพทย์ทางเลือกก็ตาม เพราะยาอื่นๆ อาจเกิดปฏิกิริยากับยากันชักและทำให้คุณมีอาการชักเกิดขึ้น
ยา sodium valproate มักไม่ถูกจ่ายในหญิงวัยเจริญพันธุ์เพราะมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความบกพร่องด้านร่างกายหรือปัญหาทางพัฒนาการของทารกในครรภ์ได้
ดังนั้นยานี้ควรใช้ในหญิงวัยเจริญพันธุ์ต่อเมื่อไม่มียาทางเลือกอื่นแล้ว หรือเมื่อแพทย์ได้ประเมินแล้วว่าคุณไม่น่าจะตอบสนองหรือทนต่อการรักษาอื่นๆ ได้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่รักษาคุณจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณใช้วิธีคุมกำเนิดที่เชื่อถือได้ระหว่างการใช้ยานี้
ระหว่างการรับประทานยากันชัก หากคุณไม่มีอาการชักเลยเป็นเวลานานมากกว่า 2 ปี กรณีเช่นนี้คุณจะมีความเป็นไปได้ที่จะหยุดรับประทานยากันชัก โดยแพทย์ผู้รักษาจะพูดคุยกับคุณเกี่ยววิธีการที่เหมาะสมและดีที่สุดในการหยุดยากันชัก
ผลข้างเคียงจากยากันชัก
ผลข้างเคียงเป็นเรื่องที่พบได้เป็นปกติเมื่อเริ่มมีการรับประทานยากันชัก อย่างไรก็ตามผลข้างเคียงส่วนใหญ่มักเป็นไม่นานและหายไปในเวลาไม่กี่วัน
ผลข้างเคียงเฉพาะตัวยาที่อาจเกิดขึ้นจะขึ้นกับชนิดของยาที่รับประทาน แต่ผลข้างเคียงโดยทั่วไปที่พบได้บ่อยของยากันชัก ได้แก่:
- ง่วงนอน
- รู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง
- อยู่ไม่สุข ร้อนรน
- ปวดศีรษะ
- มีอาการสั่นที่ควบคุมไม่ได้
- ผมร่วง หรือมีขนขึ้นตามตัว
- เหงือกบวม
- ผื่น
หากคุณมีอาการผื่นหลังจากรับประทานยากันชัก นั่นหมายความว่า คุณอาจแพ้ยากันชักชนิดนั้น กรณีนี้คุณต้องรีบไปพบแพทย์ทันที
บางครั้งคุณอาจมีอาการคล้ายกับการเวลาดื่มแอลกอฮอล์หากได้รับขนาดยาสูงเกินไป เช่น ทรงตัวไม่อยู่ การมีสติน้อยลง และอาเจียน หากมีอาการเช่นนี้ให้รีบไปพบแพทย์ทันที เพื่อให้แพทย์พิจารณาปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับคุณ
สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับผลข้างเคียงเฉพาะของยากันชักชนิดต่างๆ ที่คุณได้รับ สามารถอ่านได้จากเอกสารกำกับยาที่จะแนบไปพร้อมกับยาที่ได้รับ
การผ่าตัดสมอง
ถ้าหากอาการชักไม่สามารถควบคุมได้ดีภายหลังการใช้ยากันชักแล้ว คุณอาจถูกส่งตัวไปยังศูนย์รับรักษาด้านโรคลมชักโดยเฉพาะเพื่อพิจารณาว่าคุณมีความเหมาะสมสำหรับการผ่าตัดเอาบางส่วนของสมองที่เป็นสาเหตุของอาการชักออกหรือไม่
ก่อนการผ่าตัดจะมีการตรวจสแกนสมองหลายชนิดเพื่อหาบริเวณที่เป็นปัญหา และคุณจะได้รับการทดสอบด้านความจำและทางจิตวิทยาก่อนการผ่าตัดเพื่อประเมินว่าคุณมีแนวโน้มที่จะรับมือกับความเครียดของการผ่าตัดได้อย่างไร และการผ่าตัดจะส่งผลกระทบต่อคุณอย่างไรบ้าง
การผ่าตัดจะถูกแนะนำเฉพาะในกรณี:
มีคำถามเกี่ยวกับ การรักษาโรคลมชัก? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ
- มีสมองแค่บริเวณเดียวที่ทำให้เกิดอาการชัก (การชักเฉพาะที่ หรือ partial seizures)
- การผ่าตัดเอาส่วนของสมองออกจะต้องไม่ทำให้เกิดการสูญเสียหน้าที่การทำงานของสมองอย่างมีนัยสำคัญ
เช่นเดียวกับการผ่าตัดชนิดอื่นๆ การผ่าตัดสมองนี้มีความเสี่ยงต่อผู้ป่วยหลายประการ คือความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาร้ายแรง เช่น ปัญหาด้านความจำ และปัญหาด้านโรคหลอดเลือดสมอง (strokes) ภายหลังการผ่าตัด อย่างไรก็ตามผู้ป่วยโรคลมชักที่ได้รับการผ่าตัด 70% จะหายจากอาการชัก
ก่อนการผ่าตัด ศัลยแพทย์จะอธิบายถึงประโยชน์และความเสี่ยงของการผ่าตัดที่จะเกิดขึ้น
ผู้ที่ได้รับการผ่าตัดส่วนใหญ่มักฟื้นตัวจากผลของการผ่าตัดในเวลาไม่กี่วัน แต่อาจใช้เวลาหลายเดือนก่อนที่จะฟื้นตัวเต็มที่และสามารถกลับไปทำงานได้
การรักษาทางเลือก
หากอาการชักของคุณไม่สามารถควบคุมได้ดีด้วยการใช้ยากันชัก และการผ่าตัดไม่ใช่วิธีรักษาที่เหมาะสมสำหรับคุณแล้ว แพทย์อาจแนะนำให้คุณรักษาด้วยการรักษาทางเลือก
การรักษาทางเลือกนอกเหนือจากการผ่าตัดคือ การผ่าตัดเพื่อฝังอุปกรณ์กระตุ้นเส้นประสาทเวกัส (vagus nerve stimulation; VNS) และในผู้ป่วยบางราย แพทย์อาจแนะนำให้รักษาด้วย การผ่าตัดฝังขั้วไฟฟ้าไปกระตุ้นสมองส่วนลึก (Deep brain stimulation; DBS)
การผ่าตัดเพื่อฝังอุปกรณ์กระตุ้นเส้นประสาทเวกัส (vagus nerve stimulation; VNS)
การกระตุ้นเส้นประสาทเวกัส แพทย์จะทำการผ่าตัดเผื่อฝังอุปกรณ์ขนาดเล็กคล้ายเครื่องกระตุ้นหัวใจไว้ภายใต้ผิวหนัง ซึ่งอยู่บริเวณใกล้ๆ กระดูกไหปลาร้า
อุปกรณ์นี้จะมีสายที่เชื่อมต่อกับเส้นประสาทที่อยู่ด้านซ้ายของลำคอ ที่เรียกว่าเส้นประสาทเวกัส (vagus nerve) อุปกรณ์นี้จะส่งกระแสไฟฟ้าไปยังเส้นประสาทเพื่อกระตุ้นเส้นประสาท วิธีการนี้จะช่วยลดความถี่และความรุนแรงของการชักได้
หากคุณรู้สึกถึงอาการเตือนของการเกิดอาการชัก คุณสามารถเปิดใช้การกระตุ้นแบบพิเศษที่ตัวเครื่อง ซึ่งอาจป้องกันไม่ให้เกิดอาการชักได้
สำหรับกลไกในการทำงานของการกระตุ้นเส้นประสาทเวกัสในการป้องกันอาการชักยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างสมบูรณ์ แต่แนวคิดคือการกระตุ้นเส้นประสารทเวกัสจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับการสื่อสารระหว่างเซลล์ภายในสมองที่อาศัยการทำงานของสารสื่อประสาท
คนส่วนใหญ่ที่เข้ารับการผ่าตัดเพื่อฝังอุปกรณ์กระตุ้นเส้นประสาทเวกัส จะยังคงต้องรับประทานยากันชักอยู่
มีรายงานผลข้างเคียงในระดับเล็กน้อยถึงปานกลางของการรักษาด้วยการผ่าตัดเพื่อฝังอุปกรณ์กระตุ้นเส้นประสาทเวกัส ได้แก่ เสียงแหบ เจ็บคอ และมีอาการไอขณะเครื่องถูกใช้งาน (โดยปกติจะเกิดขึ้นทุก ๆ ถ นาที และกินเวลานานประมาณ 30 วินาที)
สำหรับแบตเตอร์รี่ของอุปกรณ์กระตุ้นเส้นประสาทเวกัส โดยทั่วไปจะมีอายุนานสูงสุด 10 ปี หลังจากนั้นจะต้องทำการเปลี่ยนตัวใหม่
การผ่าตัดฝังขั้วไฟฟ้าไปกระตุ้นสมองส่วนลึก (Deep brain stimulation (DBS))
การผ่าตัดนี้คือการผ่าตัดเพื่อฝังขั้วไฟฟ้าเข้าไปที่บริเวณจำเพาะของสมองเพื่อลดการสร้างกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติที่สัมพันธ์กับการเกิดอาการชัก
ขั้วไฟฟ้านี้จะถูกควบคุมด้วยอุปกรณ์ภายนอกสมองอีกชนิดซึ่งเชื่อมต่อกันไว้และฝังไว้ที่ใต้ผิวหนังบริเวณหน้าอกซึ่งมักจะเปิดสวิตซ์การทำงานไว้ตลอดเวลา
การผ่าตัดฝังขั้วไฟฟ้าไปกระตุ้นสมองส่วนลึก สามารถช่วยลดความถี่ของการเกิดอาการชัก แต่การผ่าตัดด้วยวิธีนี้มีข้อที่ต้องกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงร้ายแรงที่จะเกิดขึ้น ได้แก่ เลือดออกในสมอง, ซึมเศร้า และปัญหาด้านความจำ
คีโตเจนิคไดเอต (Ketogenic diet)
คีโตเจนิคไดเอต คืออาหารที่มีไขมันสูงและมีคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนต่ำ ซึ่งคิดกันว่าอาหารนี้อาจทำให้เกิดอาการชักได้น้อยลง โดยการไปเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบทางเคมีภายในสมอง
การรักษานี้เป็นหนึ่งในหลักการรักษาโรคลมชักที่ใช้กันมาก่อนที่จะมียากันชักใช้เหมือนในปัจจุบัน แต่ปัจจุบันไม่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่ที่มีอาการชักแล้ว เพราะอาการไขมันสูงมีความเชื่อมโยงกับสภาวะทางสุขภาพร้ายแรง เช่น โรคเบาหวาน และโรคหัวใจหลอดเลือด (cardiovascular disease; CVD)
อย่างไรก็ตามคีโตเจนิคไดเอตจะถูกแนะนำเป็นบางครั้งในเด็กที่มีอาการชักแต่ไม่สามารถควบคุมอาการชักและไม่ตอบสนองต่อการใช้ยากันชัก เพราะมีข้อมูลว่าคีโตเจนิคไดเอตสามารถลดจำนวนครั้งของการชักได้ในเด็กบางราย ซึ่งการรักษาด้วยวิธีนี้ต้องทำภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคลมชักร่วมกับนักโภชนาการเท่านั้น
การรักษาเสริม (Complementary therapies)
มีการรักษาเสริมหลายชนิดที่ผู้ป่วยโรคลมชักบางรายรู้สึกว่าเป็นประโยชน์สำหรับพวกเขา อย่างไรก็ตามยังไม่มีการพิสูจน์เป็นข้อสรุปจากการศึกษาทางการแพทย์ว่าสามารถช่วยลดการเกิดอาการชักได้
ดังนั้นคุณควรระมัดระวังเมื่อได้รับคำแนะนำให้ลดขนาดยากันชัก, หยุดยากันชัก และให้ทดลองรักษาด้วยการรักษาทางเลือก ซึ่งเป็นคำแนะนำจากผู้ที่ไม่ใช่แพทย์หรือไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคลมชัก เพราะการหยุดยากันชักโดยไม่ได้รับการดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอาจทำให้มีอาการชักเกิดขึ้นได้
การใช้สมุนไพรก็ควรใช้อย่างระมัดระวังเช่นกัน เพราะส่วนผสมบางอย่างของสมุนไพรจะเกิดปฏิกิริยากับยากันชักได้ ตัวอย่างเช่น สมุนไพรที่ชื่อว่า St John’s Wort ซึ่งใช้สำหรับรักษาอาการซึมเศร้าในระดับรุนแรงน้อยเป็นสมุนไพรที่ไม่แนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคลมชักเพราะจะส่งผลต่อระดับยากันชักในเลือด และอาจส่งผลต่อการควบคุมอาการชักได้
ในบางคนที่เป็นโรคลมชักจะพบว่าความเครียดเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการชักได้ ดังนั้นการผ่อนคลายความเครียด เช่น การออกกำลังกาย การเล่นโยคะ และการนั่งสมาธิอาจช่วยได้
มีคำถามเกี่ยวกับ การรักษาโรคลมชัก? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ