ใช้ยาคุมฉุกเฉินบ่อยๆ เพราะคิดว่าใช้ง่ายและสะดวกกว่าการใช้ยาคุมรายเดือนที่ต้องรับประทานต่อเนื่องกันทุกวัน อาจเคยได้ยินมาว่า “ยาคุมฉุกเฉินมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์” ซึ่งถูกต้องแต่ไม่ทั้งหมดเนื่องจาก “ยาคุมฉุกเฉินมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ในระดับหนึ่ง” เท่านั้น นั่นคือ แม้จะได้ผลในการป้องกันการตั้งครรภ์ แต่ไม่สามารถป้องกันได้ 100%
สารบัญ
ยาคุมฉุกเฉินใช้เมื่อไร
ยาคุมฉุกเฉินผลิตมาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในกรณี “ฉุกเฉิน” ตามชื่อ ได้แก่
- กรณีเกิดความผิดพลาดจากการใช้วิธีคุมกำเนิดแบบชั่วคราวอื่น ๆ เช่น ถุงยางแตก / รั่ว หรือ ลืมรับประทานยาคุมรายเดือนต่อเนื่องกันหลายวัน
- กรณีที่มีเพศสัมพันธ์แบบที่ไม่ได้ป้องกัน เช่น ถูกข่มขืน
แต่การมีเพศสัมพันธ์ของคู่รักทางไกลแบบนานๆ เจอกันสักครั้ง หรือคู่รักทั่วไปที่พาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ “อารมณ์พาไป” แล้วตั้งใจจะไม่ใช้ถุงยางอนามัย หรือยาคุมแบบแผงรายเดือน จัดเป็น “การมีเพศสัมพันธ์แบบที่มีเจตนาไม่ป้องกัน” หรือ “การมีเพศสัมพันธ์แบบที่ไม่รอบคอบ” กรณีเหล่านี้ไม่เข้าข่ายที่แนะนำให้ใช้ยาคุมฉุกเฉินค่ะ
เหตุที่ไม่แนะนำเพราะยาคุมฉุกเฉินเป็นวิธีป้องกันการตั้งครรภ์ที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่าการใช้ถุงยางอนามัย หรือการใช้ยาคุมแบบแผงรายเดือน ยาคุมฉุกเฉินจึงเหมาะที่จะใช้ในกรณีสุดวิสัยที่ใช้วิธีอื่นแล้วแต่เกิดความผิดพลาด ไม่ใช่นำมาใช้แทนวิธีคุมกำเนิดแบบธรรมดาเพราะหากใช้ยาคุมฉุกเฉินบ่อยๆ จะยิ่งทำให้เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์มากขึ้น
ยาคุมแบบแผงใช้คุมฉุกเฉินได้ แต่ต้องใช้ให้ถูกวิธี
ยาคุมแบบแผงบางยี่ห้อสามารถนำมาใช้ในลักษณะของการคุมกำเนิดฉุกเฉินได้แต่ต้องรับประทานให้ถูกวิธี
ยาคุมแบบแผงรายเดือน ถ้ารับประทานแบบปกติคือวันละ 1 เม็ดนั้น หากเริ่มรับประทานภายในวันที่ 1-5 ของวันที่มีประจำเดือนจะมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดได้ทันที แต่ถ้าเริ่มรับประทานช้ากว่านั้น ต้องรอให้รับประทานต่อเนื่องกัน 7 วันจึงจะเริ่มมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิด ดังนั้นใน 7 วันนี้จึงควรใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วย หรืองดมีเพศสัมพันธ์ไปก่อน แต่หากจะเริ่มรับประทานยาคุมกำเนิดแบบแผงรายเดือนวันละ 1 เม็ด หลังจากที่มีเพศสัมพันธ์ไปแล้วจะไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้
ถ้าจะใช้ยาคุมกำเนิดแบบแผงรายเดือน ในลักษณะการคุมฉุกเฉิน (Yuzpe regimen) ต้องรับประทานยี่ห้อที่มีตัวยาฮอร์โมน Ethinyl estradiol (EE) ปริมาณ 100 ไมโครกรัมขึ้นไป (โดยไม่ต้องคำนึงถึงขนาดของโปรเจสติน) เช่น ถ้ามียาคุมที่มี EE 20 ไมโครกรัมก็ต้องใช้ 5 เม็ด หรือถ้าเป็นยาคุมที่มี EE 30 ไมโครกรัมก็ต้องใช้ 4 เม็ด และต้องรับประทานให้เร็วที่สุดหลังจากมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน ยิ่งเร็วยิ่งมีประสิทธิภาพดี แต่ไม่โดยทิ้งไว้นานเกินกว่า 72 ชั่วโมง (3 วัน) หลังจากการมีเพศสัมพันธ์ และหลังจากกินยาชุดแรกไปแล้ว 12 ชั่วโมง ให้กินยาอีกชุดในขนาดเท่าเดิม
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันไม่นิยมใช้วิธีนี้เพราะประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ต่ำกว่ายาคุมฉุกเฉินแบบอื่นและผู้ใช้มักทนผลข้างเคียงเรื่องคลื่นไส้อาเจียนไม่ได้ อีกทั้งในปัจจุบันยาคุมฉุกเฉินสามารถหาซื้อได้ง่ายและมีราคาไม่แพงอยู่แล้ว
ยาคุมฉุกเฉินมีอันตรายต่อร่างกายจึงไม่ควรใช้เกิน 2 ครั้ง
จริงไม่แนะนำให้ใช้บ่อย ๆ แต่เหตุผลไม่ใช่เพราะกลัวอันตรายต่อร่างกาย ในอดีต มีข้อแนะนำจากบริษัทผู้ผลิต/จำหน่าย ซึ่งระบุไว้ในฉลากกำกับยาว่าไม่ควรรับประทานยาคุมฉุกเฉินเกินเดือนละ 2 ครั้ง เพราะเกรงว่าอาจเพิ่มความเสี่ยงของการตั้งครรภ์นอกมดลูก ในกรณีที่การคุมกำเนิดล้มเหลว (หมายถึงใช้ยาคุมฉุกเฉินแล้ว แต่ป้องกันไม่ได้ และผู้ใช้เกิดการตั้งครรภ์) แต่เมื่อมีการศึกษาวิจัยเรื่อยมา ปัจจุบันก็มีข้อสรุปว่า การใช้ยาคุมยังอาจทำให้เกิดความผิดปกติที่รังไข่ เยื่อบุโพรงมดลูก รวมทั้งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกถึง 2% เป็นต้น
ดังนั้น การใช้ยานี้จึงควรใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น ส่วนผลข้างเคียงอื่นๆ ที่อาจพบมักจะเป็นอาการที่ไม่รุนแรงและผู้ใช้ทนได้
บางคนที่ฟัง หรือจำมาผิด ๆ ว่าทั้งชีวิต จะใช้ยาคุมฉุกเฉินได้ไม่เกิน 2 ครั้ง สรุปว่า ใช้ได้ ถึงจะใช้มากกว่าเดือนละ 2 ครั้งก็ยังได้ แต่เราไม่แนะนำ เนื่องจากยาคุมฉุกเฉินมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์เพียงแค่ ร้อยละ 77-82 ถ้ามีเพศสัมพันธ์บ่อยครั้งแนะนำให้ใช้ยาคุมแบบแผงรายเดือนดีกว่าเพราะมีประสิทธิภาพสูงถึงร้อยละ 99 (ถ้ารับประทานถูกต้องและสม่ำเสมอ) หรือใช้ถุงยางอนามัยแทนเพราะนอกจากจะมีประสิทธิภาพสูงถึงร้อยละ 95-98 (ถ้าใช้ถูกต้อง และถุงยางไม่ฉีกขาด) แล้ว ยังสามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วยค่ะ
คำถามเกี่ยวกับใช้ยาคุมฉุกเฉิน
Q : กินแบบเมเปิ้ลฟอร์ทไปค่ะ กังวลอยู่เพราะไม่เคยกินเลย แฟนไปซื้อให้เห็นบอกเภสัชบอกมา ตัวนี้ตัวเดียวจบมีเพศสัมพันธ์เสร็จตอนตี 1 กินตอนเจ็ดโมงครึ่งเกือบๆ แปดโมง จะเกิดอะไรไหมคะ ขอความรู้ค่ะ
A : ตัวยา Levenorgestrel ที่ใช้เป็นยาคุมฉุกเฉินกินได้ 2 แบบ คือ 1. กิน 1.5 มิลลิกรัมครั้งเดียว 2. กินครั้งละ 0.75 มิลลิกรัม สองครั้ง ห่างกันครั้งละ 12 ชั่วโมง
ยาคุมฉุกเฉินยี่ห้อ โพสตินอร์/มาดอนนา/แมรี่ พิงค์/นอร์แพก จะมียา 2 เม็ด ซึ่งมีตัวยาเม็ดละ 0.75 มิลลิกรัม จึงสามารถกินแบบ 2 เม็ดในครั้งเดียวก็ได้
หรือจะกินครั้งละ 1 เม็ด จำนวน 2 ครั้ง ห่างกัน 12 ชั่วโมงก็ได้ประสิทธิภาพไม่ต่างกันถ้ากินถูกต้องครบถ้วน แต่ยาคุมยี่ห้อ เมเปิ้ลฟอร์ทจะมียา 1 เม็ดซึ่งมีตัวยาอยู่ 1.5 มิลลิกรัม ดังนั้นการกินเมเปิ้ลฟอร์ท 1 เม็ด ก็จะเหมือนกินโพสตินอร์/มาดอนนา/แมรี่ พิงค์/นอร์แพกแบบ 2 เม็ดในครั้งเดียวนั่นเอง
ยาคุมฉุกเฉินนั้น ยิ่งกินเร็วก็ยิ่งดีอย่างช้าไม่เกิน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ดังนั้นการกินเมเปิ้ลฟอร์ทของคุณก็ถือว่าทันเวลาค่ะ หลังจากนี้อาจมีอาการข้างเคียงที่พบได้จากยาคุมฉุกเฉิน เช่น มีเลือดกระปริบกระปรอย หลังกินยาไปแล้ว 2-5 วัน หรือประจำเดือนมาเร็ว หรือช้ากว่าปกติ(มักคลาดเคลื่อนไม่เกิน 1 สัปดาห์) หรืออาจไม่มีอาการข้างเคียงดังที่กล่าวมาก็ได้ค่ะ การมีเลือดกระปริบกระปรอยหลังใช้ยาคุมฉุกเฉินไม่ได้ชี้วัดว่า จะท้องหรือไม่ท้องนะคะ
ส่วนจะมีโอกาสตั้งครรภ์มั้ย? ตอบว่า มีค่ะ แต่อาจเสี่ยงน้อยกว่าการไม่กินยาคุมฉุกเฉิน (คือกินก็ดีกว่าไม่กิน) แต่เสี่ยงสูงกว่าการใช้ถุงยางอนามัย หรือกินยาคุมรายเดือน
Q : กินยาคุมฉุกเฉินยี่ห้อเลดี้นอร์ไปค่ะ เภสัชกรจับยาตัวนี้มาให้ค่ะ มีเพศสัมพันธ์ตอน 4 โมงเย็น แล้วไปกินยาคุมฉุกเฉิน ตอน 10 โมงเช้ากว่าๆ จะเป็นอะไรมั้ยคะ แนะนำด้วยค่ะ
A : ตามที่กล่าวไว้ในบทความนะคะ หากกินครบขนาดภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ โดยมีประสิทธิภาพร้อยละ 77-82 ซึ่งถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี
หากใช้เมื่อมีเพศสัมพันธ์ไปแล้วโดยไม่ได้ป้องกัน แต่ไม่ใช่ทางเลือกที่ “ดีที่สุด” ในกรณีที่สามารถเลือกใช้วิธีอื่นที่มีประสิทธิภาพสูงกว่ามากได้ เช่น ถุงยางหรือยาคุมแบบรายเดือน
แต่กลับเลือกยาคุมฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่ามาใช้แทน
ในกรณีนี้เนื่องจากมีเพศสัมพันธ์ไปแล้วการป้องกันโดยการใช้ยาคุมฉุกเฉินภายในระยะเวลาที่กำหนดถือว่า เป็นการแก้ไขปัญหาที่ดีค่ะ แต่ถ้าเป็นไปได้ เลือกใช้ถุงยางอนามัย หรือยาคุมรายเดือนเป็นทางเลือกแรกเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ แล้วค่อยใช้ยาคุมฉุกเฉินเมื่อทางเลือกแรกเกิดปัญหา เช่น ถุงยางฉีกขาด หรือลืมกินยาคุมรายเดือนติดต่อกันหลายวัน จะป้องกัน “การตั้งครรภ์ไม่พร้อม” ได้ดีกว่า
Q : มีเพศสัมพันธ์แบบหลั่งใน หลังจากนั้นก็ให้แฟนไปซื้อยาคุมกำเนิด เภสัชให้ของเมเปิ้ล ฟอร์ทมา กินยาภายในครึ่งชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์จะมีโอกาสท้องไหมคะ
A : การใช้ยาคุมฉุกเฉินภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ พบว่า มีอัตราการตั้งครรภ์ ร้อยละ 1.5 นั่นคือ มีโอกาสตั้งครรภ์นะคะ แต่ก็น้อยกว่าในกรณีที่ไม่กินยาคุมฉุกเฉินเลย ยาคุมแบบแผงรายเดือนไม่ใช่ยาคุมฉุกเฉินนะคะ ถ้ามีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกันไปแล้วจะมากินยาคุมแบบรายเดือน ในขนาดปกติ (คือวันละเม็ด) ตามทีหลัง ไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ ดังนั้นที่เภสัชกรจ่ายยาคุมฉุกเฉินมาให้นั้นก็เหมาะสมแล้วค่ะ
Q : มีอะไรกับแฟน วันที่ 29 กันยายน 2560 ช่วงเช้า แฟนหลั่งในไปนิดนึงค่ะ แฟนไปซื้อยาคุมฉุกเฉินมาให้ของเมเปิ้ล ฟอร์ท แบบกินเม็ดเดียว 1.5 mg คะ หนูกินยาคุมฉุกเฉินทันทีเรียกว่า ไม่เกิน 30 นาที หลังจากมีเพศสัมพันธ์ค่ะ จะมีโอกาสท้องไหม ประจำเดือนของเดือนที่แล้วมาวันที่ 14 กันยายน 2560 ค่ะ วันนี้ (11 ตุลาคม 2560) ประจำเดือนยังไม่มาเลยคะ หนูกินยาสตรีเบนโลได้จะ 1 สัปดาห์แล้วค่ะ หลังมีเพศสัมพันธ์ไป 14 วัน ลองตรวจครรภ์ดู ผลออกมา 1 ขีด หนูจะท้องไหมคะ
A : อย่างที่แนะนำไว้ในบทความนั่นแหละ ยาคุมฉุกเฉินไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100% ฉะนั้น ถ้าถามว่ามีโอกาสท้องมั้ย คำตอบก็คือ “มี” ที่ตรวจตั้งครรภ์ไปแล้วขึ้นขีดเดียว ยังไม่ได้ชี้ชัดว่า “ไม่ท้องแน่นอน” เพราะเวลาน้อยไป ควรตรวจหลังมีเพศสัมพันธ์ไปแล้ว 14 วัน และถ้าท้องจริงๆ การกินยาสตรีไม่ได้ช่วยอะไรค่ะ แต่การที่ประจำเดือนยังไม่มาในตอนนี้ ไม่ได้บ่งชี้ว่า “ท้องแน่นอน” นะคะ เพราะประจำเดือนอาจคลาดเคลื่อนจากความเครียด รวมถึงการใช้ยาคุมฉุกเฉินก็อาจทำให้ประจำเดือนคลาดเคลื่อนได้เช่นกัน หรืออาจแค่ยังไม่ถึงเวลามาตามปกติ แนะนำให้รอดูไปก่อนค่ะ ประจำเดือนอาจแค่มาช้าจากความเครียดและการใช้ยาคุมฉุกเฉินก็ได้ หากต้องการตรวจตั้งครรภ์ รออีก 3-7 วันค่อยตรวจนะคะ
Q : เมื่อวานมีอะไรกับแฟนตอน 3 โมงเย็นกว่าๆ แบบหลั่งใน พอตอน 5 โมง ก็เย็นกินยาฉุกเฉินของเมเปิ้ลฟอร์ทไป มันจะคุมได้มาก หรือน้อยคะ แล้วหนูก็ซื้อยาคุมรายเดือนของแอนมาด้วยเพื่อจะกินใรวันถัดไปกินไปเรื่อยๆ มันจะคุมได้มากไหมคะ
A : ประสิทธิภาพของยาคุมฉุกเฉินไม่สูงมากเมื่อเทียบกับการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบแผงรายเดือนอย่างถูกต้อง ตัวเลขตามที่กล่าวไว้ในบทความนะคะ หลังใช้ยาคุมฉุกเฉิน 2-5 วัน อาจมีเลือดกระปริบกระปรอย หรืออาจไม่มีก็ได้ เป็นผลข้างเคียงจากยา ไม่ใช่เป็นตัวชี้วัดว่าจะท้อง หรือไม่ท้อง ส่วนประจำเดือน อาจมาเร็ว หรือช้ากว่ากำหนดเดิมได้ถึง 1 สัปดาห์ การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบแผงรายเดือน มีประสิทธิภาพสูงกว่ายาคุมฉุกเฉินแต่ควรเริ่มใช้ภายใน 5 วันแรกที่มีประจำเดือน เพื่อให้มั่นใจว่า ไม่ได้ใช้ขณะท้อง (การใช้ขณะที่ท้องอยู่ ไม่มีผลให้แท้ง แต่อาจทำให้เกิดความพิการของเด็ก) ดังนั้นจึงยังไม่ควรเริ่มใช้แอนนาค่ะเพราะยังไม่มั่นใจว่าจะท้องหรือไม่ จากการมีเพศสัมพันธ์ในครั้งนี้ ระหว่างที่รอให้มีประจำเดือนหากจะมีเพศสัมพันธ์อีก ควรใช้ถุงยางอนามัยนะคะและเมื่อประจำเดือนมา สามารถเริ่มใช้ยาคุมรายเดือนได้เลย เมื่อเริ่มกินแผงแรกภายในวันที่ 1-5 ของการมีประจำเดือน จะสามารถคุมได้ตั้งแต่เม็ดแรกที่ใช้ค่ะ
Q : มีอะไรกับแฟน แต่ถุงยางฉีกขาดเลยซื้อยาคุมฉุกเฉินของเมเปิลฟอร์ทมากินหลังมีเพศสัมพันธ์ไม่เกินครึ่งชม.ครับ ปกติแฟนกินยาคุม แบบแผง 21 เม็ดทุกเดือนครับ แต่วันนั้นแฟนลืมกิน แต่ก่อนหน้านี้กินทุกวันไม่เคยขาด
A : การใช้ยาคุมแบบแผงรายเดือนร่วมกับถุงยางเป็นการป้องกันที่รอบคอบดีแล้วค่ะ เมื่อใช้ได้อย่างถูกต้องก็มีโอกาสตั้งครรภ์ต่ำมาก และหากพลาดในทางใดทางหนึ่งก็ยังมีการป้องกันอีกทางช่วยไว้
อันที่จริงในกรณีนี้ยาคุมแบบแผงรายเดือนน่าจะยังมีผลคุมกำเนิดได้อยู่โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาคุมฉุกเฉินซ้ำ แต่กินเมเปิ้ลฟอร์ทไปแล้วก็ไม่เป็นไรค่ะ หลังจากนี้ 2-5 วัน อาจมีเลือดกระปริบกระปรอย (หรืออาจไม่มีก็ได้) ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากยาคุมฉุกเฉิน ไม่ต้องตกใจนะคะ
Q : อยากสอบถามคะว่า มีเพศสัมพันธ์กับแฟนมา 2 วันติดกัน เว้น 1 วัน แล้วมีอีก 2 วัน แฟนหลั่งนอกทุกครั้ง บางครั้งก็ไม่เสร็จ แล้ววันที่หยุดไปคือมีเลือดไหลค่ะ แต่ 2 วันสุดท้ายที่แฟนมีเพศสัมพันธ์ เลือดไหลน้อยกว่าวันที่หยุดไป 1 วัน แล้วมากินยาคุมฉุกเฉินของ maple forte หลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งสุดท้ายวันต่อมาอ่ะคะ มีโอกาศท้องไหมคะ
A : ลองพิจารณาว่า เลือดที่ออกมาตรงกับช่วงเวลาที่คาดว่าจะเป็นประจำเดือนหรือไม่ และมีเลือดออกมาเหมือนกับที่เคยเป็นในช่วงที่เป็นประจำเดือนหรือเปล่า หากเลือดที่ออกมาคือเลือดประจำเดือน ก็ไม่น่าจะมีการตั้งครรภ์ค่ะ แต่หากไม่ใช่เลือดประจำเดือนเมื่อมีเพศสัมพันธ์ย่อมมีโอกาสท้องได้เสมอค่ะ ไม่ว่าจะป้องกันด้วยวิธีใด วิธีคุมกำเนิดช่วยแค่ลดความเสี่ยงให้น้อยลง จะมากหรือน้อยก็ขึ้นกับว่าแต่ละวิธีนั้นมีประสิทธิภาพเพียงใด และผู้ใช้ ใช้ได้ถูกต้องหรือไม่ โอกาสที่จะท้อง เมื่อใช้ยาคุมฉุกเฉินภายใน 120 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์สามารถอ่านได้ในบทความนะคะ ส่วนการหลั่งนอก ไม่แนะนำให้ใช้เป็นทางเลือกหลักในการคุมกำเนิดค่ะเพราะในทางปฏิบัติโดยทั่วไป มักจะมีการหลั่งอสุจิออกมาบ้างไม่มากก็น้อย
Q : กินยาเมเปิ้ลฟอทไปแล้ว 2-3 เดือน จะกินอีกครั้งที่ 2 จะเป็นอะไรมไหมคะ
A : กินได้ค่ะ แต่เนื่องจากยาคุมฉุกเฉินมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับการใช้ยาคุมแบบรายเดือนเป็นประจำอย่างถูกต้อง หรือการใช้ถุงยางอนามัยที่ถูกต้องและไม่ฉีกขาด ดังนั้นหากเป็นไปได้ควรเลือกใช้การคุมกำเนิดด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าก่อน และหากเกิดความผิดพลาดจากการใช้วิธีดังกล่าวจึงค่อยใช้ยาคุมฉุกเฉินเป็นวิธีสุดท้ายนะคะ
Q : ขอสอบถามครับ ผมมี พสพ กับแฟนหลั่งใน ผ่าน5 ชม แล้วกินเมเปิ้นฟอร์ด หลังจากนั้นผมหลั่งในอีกแต่อยู่ในเวลา 72 ชม.ยายังมีประสิทธิภาพป้องกันมั้ยคับ
A : ต้องเน้นย้ำว่า “ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดของยาคุมฉุกเฉิน ***ไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับวิธีอื่น ๆ*** เช่น ยาคุมแบบแผงรายเดือน ยาคุมแบบฉีด/ฝัง/แผ่นแปะ หรือการใช้ถุงยางอนามัย
จึงแนะนำให้ใช้เฉพาะกรณีฉุกเฉินจริง ๆ ได้แก่
- การมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ตั้งใจ/ไม่สามารถป้องกันได้ เช่น กรณีถูกข่มขืน
- เกิดความผิดพลาดจากการใช้วิธีคุมกำเนิดอื่น ๆ เช่น ถุงยางฉีกขาด, ลืมกินยาคุม
ยาคุมฉุกเฉิน สามารถใช้ภายใน 120 ชั่วโมงหลังจากที่มีเพศสัมพันธ์ไปแล้ว (แต่ยิ่งรับประทานเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี) ***ไม่มีข้อมูลประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดหากมีเพศสัมพันธ์หลังรับประทานยาค่ะ***
ดังนั้นเมื่อรับประทานยาคุมฉุกเฉินหลังการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกไปแล้ว กรณีที่มีเพศสัมพันธ์อีก หากไม่ได้ป้องกัน ก็ควรใช้ยาคุมฉุกเฉินซ้ำค่ะ พกถุงยางไว้เผื่อต้องใช้เมื่อจะมีเพศสัมพันธ์อีก …จะดีกว่านะคะ
Q : มีเพศสัมพันธ์ตี 5 ทานยาคุมฉุกเฉินประมาณ 9 โมงแล้วค่ ะ สรุปหากจะทานยาคุมแบบ 21 เม็ด ก็สามารถทานได้เลยหรือเปล่าค่ะ หรือต้องรอ 7 วันเพราะช่วงนั้นอาจจะมีเลือดกระปริดกระปรอยค่ะ และต้องรอทานครบประมาณ 7 เม็ดใช่ไหมค่ะถึงจะมีประสิทธิภาพคะ
A : แม้จะใช้ยาคุมฉุกเฉินภายในเวลาที่เหมาะสมแล้ว แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์นะคะ (โอกาสตั้งครรภ์ในผู้ที่ใช้ยาคุมฉุกเฉินคือ 15-25%) ฉะนั้น ยังไม่ควรเริ่มใช้ยาคุมแบบ 21 เม็ดในช่วงนี้ค่ะ
หลังจากใช้ยาคุมฉุกเฉิน ประมาณ 2-5 วัน บางคนอาจจะมีเลือดกะปริบกะปรอย (แต่บางคนก็ไม่มีค่ะ จะมีหรือไม่มี ไม่ได้สำคัญอะไร ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าจะท้องหรือไม่) ส่วนประจำเดือน ไม่ได้จะมาใน 7 วันหลังจากใช้ยาคุมฉุกเฉินนะคะ ประจำเดือนเคยมาในช่วงไหนก็จะมาในช่วงเดิมค่ะ อาจเร็วหรือช้าไปบ้าง แต่มักไม่เกิน 1 สัปดาห์จากวันที่คาดไว้เดิมค่ะ
แนะนำให้รอวันที่ประจำเดือนมาวันแรก หรือไม่เกินวันที่ 5 ของการเป็นประจำเดือน จึงค่อยเริ่มใช้ยาคุมแบบ 21 เม็ดนะคะ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีการตั้งครรภ์ก่อนจะใช้ยาอย่างแน่นอน เพราะการใช้ยาคุมขณะตั้งครรภ์จะเสี่ยงต่อความพิการของทารกในครรภ์ค่ะ ถ้าเริ่มใช้ยาคุมแบบ 21 เม็ดภายในวัน 5 วันแรกที่เป็นประจำเดือนจะสามารถคุมกำเนิดได้ตั้งแต่เม็ดแรกที่ใช้ค่ะ
Q :ยาคุมฉุกเฉินแบบ 1 เม็ดคุมได้กี่ชั่วโมงคะ หลังจากที่ทานแล้วสามารถมีเพศสัมพันธ์ต่อได้อีกไหมแล้วต้องกินยาเพิ่มไหมคะ
A : ไม่มีข้อมูลประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดหากมีเพศสัมพันธ์หลังรับประทานยาคุมฉุกเฉินค่ะ ดังนั้นเมื่อรับประทานยาคุมฉุกเฉินหลังการมีเพศสัมพันธ์ไปแล้ว กรณีที่มีเพศสัมพันธ์อีก หากไม่ได้ป้องกันก็ควรใช้ยาคุมฉุกเฉินซ้ำค่ะ แต่ยาคุมฉุกเฉิน มีวัตถุประสงค์ให้ใช้สำหรับกรณีฉุกเฉินเท่านั้นซึ่งหมายถึง ได้พยายามคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นแล้ว เช่น ยาคุมรายเดือน หรือ ถุงยางอนามัย
แต่มีข้อผิดพลาดในการใช้ เช่น ลืมกินยาคุม หรือ ถุงยางแตก เนื่องจากประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ของยาคุมฉุกเฉิน ***ไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับการใช้ยาคุมรายเดือนหรือถุงยางอย่างถูกวิธี***
ต่อไป ควรใช้วิธีที่มีประสิทธิภาพสูงกว่ามาป้องกันดีกว่านะคะเช่น ใช้ถุงยางอนามัย ซึ่งช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วยหรือใช้การคุมด้วยฮอร์โมนวิธีอื่น ๆ เช่น
- ยาคุมคุมกำเนิดรายเดือน(ต้องกินประจำ ไม่ใช่กินเฉพาะวันที่มีเพศสัมพันธ์)
- ยาฝังคุมกำเนิด(ฝังฟรีที่ รพ.รัฐทั่วประเทศ หากอายุยังไม่เกิน 20 ปี)
- ยาฉีดคุมกำเนิด (คุมได้นานหลายเดือน ไม่ต้องกลัวลืมกินเหมือนยาเม็ด)
การฝังยาคุมกำเนิดจะป้องกันการตั้งครรภ์ได้ดีกว่ายาคุมฉุกเฉินค่ะ
เปรียบเทียบราคาแพ็กเกจฝากครรภ์ คลอดบุตร
เปรียบเทียบราคาแพ็กเกจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
คำถามที่เกี่ยวข้อง