ตรวจสารเสพติด การตรวจที่ไม่ได้เกี่ยวกับกฎหมายเสมอไป!

การตรวจเสพติด เป็นหนึ่งในการตรวจที่พบได้บ่อยตามแต่สถานการณ์ แต่หลายคนอาจไม่คุ้นเคยกับวิธีการตรวจ และไม่แน่ใจว่าควรใช้การตรวจแบบใด

มีคำถามเกี่ยวกับ ตรวจสารเสพติด? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

ในบทความนี้ได้สรุปข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจสารเสพติดมาให้ในรูปแบบถามตอบแบบเข้าใจง่าย ดังนี้

การตรวจสารเสพติดจากปัสสาวะ คืออะไร?

การตรวจสารเสพติด (Drug test) หรือตามที่หลายคนว่า “การตรวจปัสสาวะหาสารเสพติด” เป็นการตรวจวิเคราะห์หาสารผิดกฎหมาย หรือสารที่ไม่ผิดกฎหมายแต่อาจเป็นพิษต่อร่างกายได้

โดยปกติหากมีการเสพสารเสพติดเข้าไป ร่างกายของคุณจะพยายามกำจัดสารเคมีเหล่านั้นออกมาผ่านปัสสาวะ ซึ่งจะตรวจพบในไม่กี่วันยาวไปจนหลังหลายสัปดาห์หลังเสพสารเสพติด หากแพทย์ตรวจเจอสารเสพติดหรือสารพิษในร่างกาย ก็อาจช่วยกำหนดแนวทางการรักษาที่ปลอดภัยให้คุณได้

การตรวจสารเสพติดจากปัสสาวะเหมาะกับใคร?

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า การตรวจสารเสพติดจากปัสสาวะถูกใช้ค่อนข้างบ่อย โดยไม่ได้จำกัดเฉพาะเรื่องผิดกฏหมายเพียงอย่างเดียว ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างเหตุผลที่สามารถตรวจสารเสพติดได้

  • เพื่อขอใบรับรองแพทย์ในการใช้สมัครงาน ตามแต่นโยบายของแต่ละบริษัท
  • เพื่อประกอบการวินิจฉัยอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์
  • เพื่อประเมินอาการจากการใช้ยาเกินขนาด ใช้ประกอบการวินิจฉัยของแพทย์
  • เพื่อติดตามผลการรักษาจากการพยายามหยุดยา
  • ตรวจตามนโยบายบริษัท บางบริษัทอาจมีการตรวจสารเสพติดเป็นระยะเพื่อความปลอดภัยของพนักงาน เช่น ผู้บริการด้านขนส่ง พนักงานในโรงงานอุตสาหกรรม ผู้ให้บริการด้านสุขภาพ

ตรวจสารเสพติดตรวจอะไรบ้าง?

สารเสพติดบางชนิด อาจสามารถใช้ได้ภายใต้การดูแลของแพทย์ ดังนั้นการตรวจสารเสพติดจึงสามารถตรวจได้หลายรายการ ดังนี้

  • แอมเฟตามีน (Amphetamine) เป็นสารเสพติดที่มีฤทธิ์ต่อระบบประสาท ทำให้ไม่รู้สึกอ่อนเพลีย รู้สึกเหมือนมีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น แต่เมื่อยาหมดฤทธิ์จะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียมาก ซึมเศร้า และหลับนานเพื่อชดเชยพลังงานที่ร่างกายเสียไป สามารถตรวจสารเสพติดเจอได้ใน 1-3 วันหลังเสพ แต่หากใช้สารเสพติดเป็นประจำจะตรวจเจอได้นานสุด 3 สัปดาห์
  • เมทแอมเฟตามีน (Methamphetamine) เป็นสารเสพติดส่งผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง สามารถนำมาใช้ในการรักษาอาการจิตเวชบางชนิดได้ แต่ต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ เนื่องจากมีผลข้างเคียงสูงมากหากใช้ผิดวิธี เช่น ได้ยินเสียงที่ไม่มีอยู่จริง หลอนประสาท สามารถสารเสพติดตรวจเจอได้ใน 1-3 วันหลังเสพ แต่หากใช้สารเสพติดเป็นประจำจะตรวจเจอได้นานสุด 3 สัปดาห์
  • เบนโซไดอะซีปีน (Benzodiazepine) หรือ “ยาเสียสาว” เป็นยารักษาอาการทางจิตเวชชนิดหนึ่ง มีผลเปลี่ยนแปลงสารสื่อประสาท หากนำมาใช้ผิดวิธี หรือนอกเหนือการดูแลจากแพทย์ อาจทำให้เสียความสามารถในการตัดสินใจ กระวนกระวาย หรืออาจเสียชีวิตได้ สามารถตรวจสารเสพติดเจอได้ใน 2-5 วันหลังเสพ แต่หากใช้สารเสพติดเป็นประจำจะตรวจเจอได้นานสุด 1 เดือน
  • บาร์บิเชอริต (Barbiturate) เป็นหนึ่งในยาที่เคยใช้สำหรับคลายกังวล และรักษาอาการนอนไม่หลับ แต่ปัจจุบันเลิกใช้แล้วเนื่องจากมีผลข้างเคียงสูงโดยเฉพาะหากนำไปใช้ผิดวิธี เช่น พูดลิ้นพัน ง่วงซึม หยุดหายใจขณะนอนหลับ
  • กัญชา (Cannabis) เป็นพืชชนิดหนึ่งที่มีสารกลุ่มแคนนาบินอยด์ (Cannabinoids) มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้เคลิบเคลิ้ม ผ่อนคลาย นอนหลับได้ดี แต่หากใช้ผิดวิธี หรือมากเกินไปอาจส่งผลต่อระบบความจำ ทำให้ความจำเสื่อม ร่างกายไม่ตอบสนองตามที่สมองสั่งการ และอาจนำไปสู่อาการทางจิตเวชได้ สามารถตรวจสารเสพติดเจอได้ใน 2-5 วันหลังเสพ แต่หากใช้สารเสพติดเป็นประจำจะตรวจเจอได้นานสุด 3 เดือน
  • โคเคน (Cocaine) เป็นสารเสพติดที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง และระบบประสาทอัตโนมัติ (Sympathetic) อาการคล้ายกับแอมเฟตามีน แต่ออกฤทธิ์เร็วกว่า และสั้นกว่า อาจมีผลให้หัวใจเต้นเร็ว ความดันสูง เห็นภาพหลอนและเกิดพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง สามารถตรวจสารเสพติดเจอได้ใน 1-2 วันหลังเสพ แต่หากใช้สารเสพติดเป็นประจำจะตรวจเจอได้นานสุด 3 สัปดาห์
  • เฟนไซคลิดีน (Phencyclidine) เป็นสารมีฤทธิ์ระงับความรู้สึก มีผลข้างเคียงทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อผิดปกติ ตากระตุก พูดลิ้นรัว หากใช้เกินขนาดอาจทำให้ความดันสูง ชัก และเสียชีวิตได้
  • เมทาโดน (Methadoneเป็นยาบรรเทาอาการปวด และทำให้เคลิบเคลิ้มมีความสุข แต่ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น หากใช้ผิดวธีจะทำให้กระวาย ง่วงซึม หรือซึมเศร้า มีฤทธิ์กดการหายใจ แน่นหน้าอก หัวใจเต้นช้า อาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้

ในบางโปรแกรมการตรวจ อาจรวมระดับแอลกอฮอล์ (Alcohol) อยู่ในรายการตรวจด้วย แต่ส่วนมากมักใช้เครื่องเป่าลมหายใจเช่นเดียวกับด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ตรวจสารเสพติดมีกี่วิธี

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า การตรวจสารเสพติดในปัสสาวะเป็นวิธีที่พบบ่อยที่สุด แต่บางกรณีก็อาจพบการตรวจด้วยวิธีอื่นได้ ดังนี้

1. การตรวจสารเสพติดในปัสสาวะ

การตรวจสารเสพติดในปัสสาวะ สามารถแบ่งย่อยได้อีก 2 ประเภทหลักๆ ดังนี้

  • การตรวจด้วยชุดตรวจภูมิคุ้มกันวิทยา (Immunoassay) เป็นการตรวจที่ไม่ได้หาสารเสพติดโดยตรง แต่เป็นการตรวจว่าสารเสพติดมีปฎิกริยาอย่างไรต่อภูมิคุ้มกันของร่างกายจากแอนติเจน (Antigen-antibody)
  • การตรวจยืนยันผล เป็นการตรวจหลังจากที่ผลรอบแรกออกมาเป็นบวก หรือผลที่ออกมาในรอบแรกยังไม่ชัดเจน ผู้ที่ต้องการตรวจยืนยันผลจะได้ผลที่ละเอียดขึ้น แต่ใช้เวลานานขึ้น เนื่องจากต้องนำตัวอย่างไปตรวจในห้องปฎิบัติการ และมีผู้ชำนาญการคอยกำกับดูแลด้วย

อย่างไรก็ตาม การตรวจทั้ง 2 ประเภทนี้มีโอกาสให้ผลผิดพลาดได้ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาหลังจากที่ใช้สารเสพติดครั้งสุดท้าย

2. การตรวจสารเสพติดในเลือด

การตรวจสารเสพติดในเลือดอาจใช้ในการตรวจบางโปรแกรม ส่วนมากมักใช้ในการยืนยันผล หรือประกอบการวินิจฉัยร่วมกับการตรวจปัสสาวะ

มีคำถามเกี่ยวกับ ตรวจสารเสพติด? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

การตรวจเลือดนี้จะมีความแม่นยำมากกว่าในการตรวจความเข้มข้นของตัวยา โดยใช้ตัวอย่างเลือดเพียงเข็มเดียวเท่านั้น

แต่เนื่องจากการตรวจด้วยปัสสาวะใช้เวลาเร็วกว่า และสามารถบอกผลเบื้องต้นได้เหมือน จึงนิยมใช้การตรวจปัสสาวะมากกว่า

การเตรียมตัวก่อนตรวจสารเสพติดจากปัสสาวะ

การตรวจสารเสพติดจากปัสสาวะไม่ต้องเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษ จึงสามารถตรวจได้ในหลายสถานการณ์ ทั้งตรวจแบบฉุกเฉิน นัดล่วงหน้าก่อนตรวจ หรือทำการสุ่มตรวจ

อย่างไรก็ตาม หากได้รับการตรวจในสถานการณ์ใดก็ควรแจ้งกับผู้ควบคุมดูแลถึงยา หรืออาหารเสริมที่ใช้เป็นประจำ เพราะอาจส่งผลต่อผลตรวจได้ในบางกรณี

ขั้นตอนการตรวจสารเสพติดจากปัสสาวะ

แม้การตรวจสารเสพติดจากปัสสาวะจะไม่ซับซ้อน แต่ควรทำอย่างถูกต้องตามขั้นตอน เพื่อลดโอกาสที่ผลจะคลาดเคลื่อนมากที่สุด

  • ก่อนเริ่มตรวจ อาจมีการซักประวัติคร่าวๆ พูดคุยเกี่ยวกับจุดประสงค์ในการตรวจสารเสพติด ในขั้นตอนนี้ควรแจ้งกับผู้ให้บริการถึงยา หรืออาหารเสริมที่ใช้เป็นประจำ
  • ผู้ให้บริการจะให้อุปกรณ์เก็บตัวอย่างปัสสาวะ อาจเป็นถ้วย หรือขวด
  • ผู้ให้บริการจะให้คุณเข้าไปในห้องน้ำเพื่อทำการเก็บตัวอย่าง แต่ในบางโปรแกรมตรวจ ผู้ให้บริการที่เป็นเพศเดียวกันอาจติดตามเข้าไปเพื่อให้แน่ใจว่าคุณทำการทดสอบอย่างถูกต้อง
  • ก่อนทำการเก็บปัสสาวะ อาจต้องมีการเช็ดทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศ
  • ทำการปัสสาวะลงในอุปกรณ์เก็บตัวอย่าง อาจใช้ปริมาณ 15-45 มิลลิลิตร ขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการกำหนด
  • จากนั้นนำอุปกรณ์ที่เก็บตัวอย่างแล้วกลับไปให้ผู้ให้บริการ
  • ผู้ให้บริการจะนำไปตรวจหาสารเสพติด อาจมีการวัดอุณหภูมิของตัวอย่างก่อนซีลแพ็กเกจสำหรับนำไปทดสอบ

หากไม่แน่ใจกระบวนการเก็บตัวอย่าง หรือเผลอทำสารอะไรอย่างอื่นตกลงในอุปกรณ์เก็บตัวอย่าง ควรปรึกษากับผู้ให้บริการ เพราะอาจทำให้ผลลัพธ์คลาดเคลื่อนได้

นอกจากการตรวจสารเสพติดจากปัสสาวะแล้ว ยังมีการตรวจจากเลือดและเส้นผมด้วย ซึ่งเป็นการเจาะเลือด หรือนำตัวอย่างเส้นผมเข้าไปวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ

การอ่านผลตรวจของชุดตรวจสารเสพติด

การตรวจสารเสพติดจะใช้หน่วยวัดเป็นนาโนกรัมต่อมิลลิลิตร (Nanograms per mililiter: ng/mL) หากมีตัวเลขถึงเกณฑ์ที่กำหนดไว้ จะถือว่าอาจมีสารเสพติดชนิดนั้นอยู่ในร่างกาย

แต่การตรวจปัสสาวะหาสารเสพติดเบื้องต้นมักไม่รายงานผลเป็นตัวเลข แต่จะรายงานเป็นผลบวก และลบมากกว่า ความหมายของผลตรวจ มีดังนี้

  • ผลตรวจเป็นบวก คือ พบสารเสพติดหรือพิษในร่างกาย
  • ผลตรวจเป็นลบ คือ ไม่พบสารเสพติดหรือพิษในร่างกาย

หากผลตรวจออกมาเป็นบวก หรืออาจพบสารเสพติดในร่างกาย ปรึกษาแพทย์ถึงการตรวจยืนยันผลที่ละเอียดขึ้น รวมถึงแผนการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

ตรวจสารเสพติดจากปัสสาวะแม่นยำไหม?

การตรวจสารเสพติดจากปัสสาวะมีความแม่นยำสูงมาก และถือเป็นการตรวจที่มีความน่าเชื่อถือ หากทำตามขั้นตอนและตรวจอย่างถูกวิธี

สรุปแล้ว การตรวจสารเสพติดไม่ได้มีประโยชน์แค่เรื่องทางกฎหมาย แต่เป็นหนึ่งในแผนการตรวจที่สำคัญต่อการดูแลรักษาสุขภาพด้วย ที่สำคัญคือราคาไม่แพง และใช้เวลาไม่นาน

มีคำถามเกี่ยวกับ ตรวจสารเสพติด? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

หากคุณติดตั้ง LINE บนคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว ระบบจะเปิดบัญชีทางการ LINE ของ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ โดยอัตโนมัติ

หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง LINE บนเดสก์ท็อป โปรดสแกน QR โค้ดด้วย LINE บนโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อเริ่มแชทกับ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ