ตัวยา อะมิโอดาโรน (Amiodarone) เป็นยาในกลุ่มที่ใช้ในการรักษาอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ มีการใช้เพื่อรักษาและป้องกันการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ ประกอบด้วย ภาวะหัวใจห้องล่างบนเต้นเร็ว (ventricular tachycardia) หัวใจห้องล่างสั่นพริ้ว (ventricular fibrillation) และภาวะแทรกซ้อนของภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ เช่นเดียวกันกับรักษาภาวะหัวใจห้องล่างสั่นพริ้ว (atrial fibrillation) ภาวะหัวใจเต้นเร็วเป็นพักๆ เนื่องจากจุดปล่อยไฟฟ้าอยู่สูงกว่าหัวใจห้องล่าง (paroxysmal supraventricular tachycardia; PSTV) สามารถบริหารยาผ่านการรับประทาน หรือการฉีดเข้าหลอดเลือดดำ เมื่อใช้ยาในรูปแบบรับประทานอาจต้องใช้เวลาเป็นสัปดาห์ จึงจะเริ่มมีการออกฤทธิ์ของยา
สารบัญ
- สรรพคุณของยา Amiodarone
- กลไกการออกฤทธิ์ของยา Amiodarone
- ข้อบ่งใช้ของยา Amiodarone
- ข้อปฏิบัติเมื่อลืมรับประทานยา Amiodarone
- ข้อควรระวังของการใช้ยา Amiodarone
- ผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา Amiodarone
- ข้อมูลการใช้ยา Amiodarone ในสตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตร
- ประเภทของยาตามองค์การอาหารและยา ประเทศไทย
- สิ่งที่ควรแจ้งแพทย์ เภสัชกร และพยาบาลในการสั่งใช้ยา
สรรพคุณของยา Amiodarone
- รักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ใช้รักษาหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ เช่น Ventricular Tachycardia (VT) และ Atrial Fibrillation (AF)
- ป้องกันการเกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะซ้ำ ใช้ป้องกันไม่ให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดปกติซ้ำในผู้ป่วยที่เคยมีอาการมาก่อน
- รักษาภาวะหัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ เช่น การเต้นของหัวใจที่มีความเร็วหรือช้ากว่าปกติ
- เสริมการทำงานของการนำกระแสไฟฟ้าในหัวใจ เพื่อปรับจังหวะการเต้นของหัวใจให้สม่ำเสมอ
กลไกการออกฤทธิ์ของยา Amiodarone
กลไกการออกฤทธิ์ของยาคือ คอร์ดาโรน มีตัวยาสำคัญคือ อะมิโอดาโรน (amiodarone) เป็นยาในกลุ่มยาโรคหัวใจ ในกลุ่มที่ 3 สำหรับรักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ มีฤทธิ์ทำให้กระบวนการเกิดรีโพลาไรเซชัน(repolarization) เกิดขึ้นช้าลง โดยการเพิ่มระยะเวลาการเกิดแอกชัน โพเทนเชียล (action potential) และระยะดื้อ (refractory) ซึ่งไม่ตอบสนองต่อการกระตุ้น ในกล้ามเนื้อหัวใจ
นอกจากนี้แล้ว อะมิโอดาโรนยังยับยั้งการเข้าผ่านทางเยื่อหุ้มเซลล์ของโซเดียมผ่าน fast channel ลดอัตราสูงสุดของการเกิดดีโพลาไรเซชัน (depolarization) เช่นเดียวกันกับยาในกลุ่มที่ 1 มีฤทธิ์ยับยั้งตัวรับอัลฟ่า และบีตา อะดรีเนอจิก แบบไม่แข่งขัน เช่นเดียวกันกับยาในกลุ่มที่ 2 และยังมีฤทธิ์ส่งเสริมการลดอัตราการเต้นของหัวใจ (negative chronotropic effect) เช่นเดียวกันกับยาในกลุ่มที่ 4
ข้อบ่งใช้ของยา Amiodarone
- ข้อบ่งใช้สำหรับ pulseless ventricular fibrillation หรือ ventricular tachycardia ยาในรูปแบบฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ขนาดการใช้ยาในผู้ใหญ่ ขนาดเริ่มต้น 300 มิลลิกรัม หรือ 5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม โดยฉีดเข้าหลอดเลือดดำครั้งเดียว อาจพิจารณาให้ขนาดยาครั้งต่อไปที่ขนาด 150 มิลลิกรัม หรือ 2.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
- ข้อบ่งใช้สำหรับ supraventricular หรือ ventricular tachycardia ยาในรูปแบบฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ขนาดการใช้ยาในผู้ใหญ่ขนาดเริ่มต้น 5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม โดยฉีดให้ยา 20 ถึง 120 นาที อาจพิจารณาให้ยาซ้ำถ้าจำเป็นโดยขนาดยาสะสมไม่เกิน 1200 มิลลิกรัม อัตราการให้ยาขึ้นอยู่กับการตอบสนองทางคลินิกภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง ในกรณีฉุกเฉินให้ขนาด 150 ถึง 300 มิลลิกรัม ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำช้าๆนานกว่า 3 นาที อาจให้ยาครั้งถัดไปหลังจากให้ยาครั้งแรก 15 นาที
- ข้อบ่งใช้สำหรับ supraventricular หรือ ventricular tachycardia ยาในรูปแบบยารับประทาน ขนาดเริ่มต้น 200 มิลลิกรัม วันละสามครั้ง เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ จากนั้นลดเหลือขนาด 200 มิลลิกรัม วันละสองครั้ง ขนาดยา maintenance น้อยกว่าหรือเท่ากับ 200 มิลลิกรัมต่อวัน
ข้อปฏิบัติเมื่อลืมรับประทานยา Amiodarone
หากลืมรับประทานยาตามเวลาปกติที่รับประทาน ถ้าปกติรับประทาน 1 เม็ด ให้รับประทานยาทันทีที่นึกได้จำนวน 1 เม็ดโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เม็ดแทนเม็ดที่ลืมรับประทาน ในกรณีลืมรับประทานยาใกล้กับเวลารับประทานถัดไป ให้รับประทานยาในมื้อถัดไปในขนาด 1 เม็ด โดยข้ามยาในมื้อที่ลืมไปและไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็น 2 เม็ด
ข้อควรระวังของการใช้ยา Amiodarone
- ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่มีประวัติการทำงานผิดปกติของต่อมไทรอยด์ มีความไวต่อไอโอดีน
- ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจล้มเหลวระดับรุนแรง
- ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยความดันโลหิตต่ำระดับรุนแรง หรือผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกจากโรคหัวใจ
- ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยหัวใจเต้นช้าจากไซนัสโนด
- ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่มีการเหนี่ยวนำของคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ
- ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่มีไซนัสโนดผิดปกติ ยกเว้นในผู้ป่วยที่มีการใส่ pacemaker
- ห้ามใช้ยานี้ในสตรีมีครรภ์
- ห้ามใช้ยานี้ร่วมกับยาที่ก่อให้เกิดภาวะ QT prolongation
- ระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตต่ำ
- ระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
- ระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยหัวใจล้มเหลวระดับรุนแรง หรือการเหนี่ยวนำคลื่นไฟฟ้าหัวใจถูกรบกวน
- ระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรคพอร์ฟิเรีย (porphyria) แบบเฉียบพลัน
- ระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่มีภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ
- ระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่จะได้รับการผ่าตัด
- ระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรคตับ
- ระวังการใช้ยานี้ในผู้ป่วยสูงอายุและสตรีมีครรภ์
ผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา Amiodarone
ยานี้อาจก่อให้เกิดอาการอันไม่พึงประสงค์ ได้แก่ หัวใจเต้นช้า ความดันโลหิตต่ำ ปลายประสาทอักเสบ
- อาการที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท เช่น ความดันในกระโหลกเพิ่มขึ้น อาการสั่น ฝันร้าย นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ อาการที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน
- อาการที่เกี่ยวข้องกับระบบอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น อัณฑะอักเสบ อาการที่เกี่ยวข้องกับระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น หลอดเลือดดำผิวอักเสบ
- อาการที่เกี่ยวข้องกับระบบเลือด เช่น เม็ดเลือดแดงแตก โลหิตจาง อาการที่เกี่ยวข้องกับระบบกล้ามเนื้อ เช่น กล้ามเนื้ออักเสบ
- อาการที่เกี่ยวข้องกับดวงตา เช่น ประสาทตาอักเสบ สูญเสียการมองเห็น อาการที่เกี่ยวข้องกับระบบผิวหนัง เช่น ผิวหนังแดง
- อาการข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง ได้แก่ ตับแข็ง ตับอักเสบ ตับวาย หัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ
- อาการหัวใจเต้นผิดจังหวะแย่ลงหลังจากการใช้ยา หัวใจหยุดเต้น เกิดพังผืดปอด ปอดอักเสบ ไทรอยด์เป็นพิษ ผื่นแพ้ยาแบบ Steven Johnson syndrome
ข้อมูลการใช้ยา Amiodarone ในสตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตร
สำหรับการใช้ยาในสตรีมีครรภ์ ตัวยาจัดอยู่ในกลุ่ม category D คือ ไม่แนะในการใช้ยาในสตรีมีครรภ์ เว้นแต่ในกรณีช่วยชีวิตหรือรักษาอาการรุนแรงที่ยาที่ปลอดภัยกว่ารักษาไม่ได้ผล
ประเภทของยาตามองค์การอาหารและยา ประเทศไทย
ยา Amiodarone จัดอยู่ในกลุ่มยาอันตราย จำหน่ายเฉพาะในร้านขายยาแผนปัจจุบันที่มีเภสัชกรชั้นหนึ่งเป็นผู้จ่ายยาเท่านั้น
ยา Amiodarone จัดอยู่ในกลุ่มยาต้านหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Antiarrhythmic drugs) ประเภท Class III ตาม Vaughn-Williams classification
สิ่งที่ควรแจ้งแพทย์ เภสัชกร และพยาบาลในการสั่งใช้ยา
แพทย์และเภสัชกรสามารถให้ข้อมูลการใช้ยาอย่างปลอดภัย ผู้ป่วยควรแจ้งข้อมูลเหล่านี้แก่แพทย์หรือเภสัชกรเพื่อประโยชน์ต่อผู้ป่วยและลดความเสี่ยงในการเกิดอันตรายจากการใช้ยา
- แจ้งข้อมูลการใช้ยารักษาโรคประจำตัว ยาที่เพิ่งรับประทานก่อนหน้านี้ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่รับประทาน (รวมถึงวิตามิน และสมุนไพร) ในกรณีมียาประจำตัวจำนวนมาก ให้พกยาเพื่อให้แพทย์หรือเภสัชกรช่วยตรวจสอบก่อนสั่งจ่ายยาใหม่ ไม่ให้เกิดอันตรกิริยาระหว่างยาที่จะได้รับใหม่และยาที่เดิมที่ผู้ป่วยใช้อยู่
- แจ้งประวัติการแพ้ยา หรืออาการแพ้ที่เกิดขึ้นเมื่อใช้ยา ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือแพ้อาหารชนิดใดอยู่ (เนื่องจากยาบางชนิดมีส่วนประกอบของไข่ขาว นม ยีสต์) อาการที่เกิดขึ้น เช่น อาการบวม เกิดผื่น หายใจลำบาก หรือให้นำบัตรแพ้ยา พกติดตัวและแสดงบัตรนี้แก่แพทย์และเภสัชกรก่อนเข้าใช้บริการสุขภาพทุกครั้ง
- แจ้งข้อมูลในกรณีที่มีการตั้งครรภ์ หรือมีแผนที่จะตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร เนื่องจากยาบางชนิดส่งผลอันตรายต่อเด็กในครรภ์ หรือสามารถขับออกทางน้ำนมได้
- แจ้งข้อมูลที่จะส่งผลต่อการรับประทานยา เช่น มีปัญหาการกลืนลำบาก มีปัญหาด้านการมองเห็นหรืออ่านฉลากยา วิธีการรับประทานยา เพื่อแพทย์หรือเภสัชกรจะได้ช่วยแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง