ฝี เกิดจากอะไร? สาเหตุ อาการ วิธีป้องกัน ดูแลตัวเอง

ฝี หรือโรคฝี เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย จนก่อให้เกิดความเจ็บปวดทรมานบริเวณที่เป็น นอกจากนี้ ฝียังสามารถเกิดได้ทุกส่วนของร่างกาย โดยจะมีลักษณะคล้ายกับสิว แต่อาการเจ็บปวดจะรุนแรงกว่า หากเป็นฝีขนาดเล็กอาจหายได้เอง แต่ถ้าเป็นฝีขนาดใหญ่ไม่สามารถปล่อยให้หายเองได้แบบสิว ควรพบแพทย์ ดังนั้นเรามาดูกันว่า ฝีเกิดจากอะไร มีวิธีรักษาและป้องกันอย่างไรบ้าง เป็นฝีกี่วันหาย มีวิธีรักษาฝีด้วยตัวเองไหม

มีคำถามเกี่ยวกับ ฝี? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

ฝีเกิดจากอะไร

ฝี (Abscess) คือ ส่วนของเนื้อเยื่อที่มีการติดเชื้อ ซึ่งประกอบไปด้วยเซลล์เม็ดเลือดขาวและเนื้อเยื่อที่ตาย ส่วนเชื้อที่ทำให้เกิดฝี คือ เชื้อแบคทีเรียสแตฟฟิโลคอคคัส ออเรียส (Staphylococcus Aureus) และเชื้ออื่นๆ ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรีย

โดยหลังจากที่เนื้อเยื่อเกิดการติดเชื้อแล้ว เชื้อแบคทีเรียจะทำให้ต่อมไขมันหรือรูขุมขนบนผิวหนังบวมขึ้น และมีหนองข้างในจนเกิดการอักเสบ

ฝีสามารถเกิดขึ้นได้ทุกส่วนของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะภายนอกและอวัยวะภายใน แต่ส่วนมากแล้ว เราจะพบฝีบนผิวหนังภายนอกได้มากกว่า ซึ่งมักจะมีขนาดเล็ก และสามารถรักษาได้ง่าย แต่สำหรับฝีที่เกิดกับอวัยวะภายในนั้น ผู้ป่วยจำเป็นจะต้องเข้ารับการรักษากับแพทย์อย่างถูกต้องเท่านั้น

ฝีจัดเป็นโรคที่สามารถพบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน หรือผู้ที่รับประทานยาสเตียรอยด์ (Steroid) เป็นประจำ จะมีความเสี่ยงที่จะทำให้ตรวจพบฝีได้มากกว่ากลุ่มบุคคลอื่นๆ

สาเหตุที่ทำให้เกิดฝี

สาเหตุของการเกิดฝีที่พบเจอได้บ่อย คือ การติดเชื้อแบคทีเรียที่พบบ่อยคือ Staphylococcus aureus โดยเฉพาะสายพันธุ์ MRSA ทำให้เกิดการอักเสบและสะสมของหนองใต้ผิวหนัง บางครั้งอักเสบในอวัยวะภายในร่างกาย แล้วยังมีสาเหตุอื่นๆ ดังนี้

  • การอุดตันของต่อมน้ำมัน หรือต่อมเหงื่อใต้ผิวหนัง
  • การอักเสบของรูขุมขน
  • เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว
  • ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ในผู้ป่วยบางกลุ่ม เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ติดเชื้อ HIV หรือผู้ที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน
  • แผลผ่าตัดที่ไม่สะอาดหรือดูแลไม่ดีอาจติดเชื้อและกลายเป็นฝี
  • ต่อมน้ำเหลืองอักเสบจากการติดเชื้อบริเวณใกล้เคียง

นอกจากนี้ ฝีอาจเกิดในอวัยวะภายใน เช่น ตับ ปอด หรือไต จากการติดเชื้อหรือภาวะแทรกซ้อนของโรคอื่นๆ

จากสาเหตุดังกล่าว จึงทำให้เชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อโรคอื่นๆ เข้าไปสะสมภายในต่อม ทำให้เกิดการต่อต้านกับระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยฝีจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตามอาการอักเสบในบริเวณนั้นๆ และสามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ด้วย ซึ่งมักจะเกิดกับฝีที่อวัยวะภายในมากกว่า เช่น เป็นไส้ติ่งอักเสบและแตกภายในช่องท้องจนเกิดอันตราย

นอกจากนี้ภาวะแทรกซ้อนจากฝี ยังเกิดได้จากการได้รับบาดเจ็บภายนอก หรือภายหลังการผ่าตัดช่องท้องด้วย

กลุ่มผู้ที่เสี่ยงต่อการเกิดฝี 

สำหรับผู้ที่เสี่ยงต่อการเกิดฝีได้ง่าย มักเป็นกลุ่มผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ ซึ่งได้แก่

  • ผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือโรคเอดส์ (Acquired Immune Deficiency Syndrome: AIDS)
  • ผู้ป่วยโรคมะเร็ง
  • ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน
  • ผู้ที่ได้รับยาเคมีบำบัด
  • ผู้ที่เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
  • ผู้ที่ได้รับแผลไฟไหม้ หรือน้ำร้อนลวก
  • ผู้ที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง
  • ผู้ที่ผ่านการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์มาเป็นเวลานาน

ตำแหน่งสามารถเกิดฝีได้

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า ฝีสามารถเกิดได้ทุกส่วนของร่างกาย และมีหลายอวัยวะที่เกิดฝีได้โดยที่คุณอาจไม่เคยทราบมาก่อน เช่น

  • ฝีจากโพรงหนองที่ฟัน เป็นฝีซึ่งเกิดจากถุงหนองบริเวณเนื้อใต้ฟัน หรือบริเวณเหงือก และกระดูกกรามใต้ฟัน
  • ฝีทอนซิล เป็นฝีที่เกิดบริเวณต่อมทอนซิลในช่องปาก และผนังด้านในลำคอ
  • ฝีต่อมบาร์โธลิน เป็นฝีที่เกิดในต่อมบาร์โธลิน (Bartholin gland) บริเวณผิวหนังที่แคมอวัยวะเพศหญิง
  • ฝีที่ก้น จะเกิดบริเวณผิวหนังที่มีรอยแยกหรือร่องก้น
  • ฝีบริเวณทวารหนัก เป็นฝีที่เกิดขึ้นบริเวณลำไส้ตรงและทวารหนัก
  • ฝีไขสันหลัง เกิดบริเวณโดยรอบไขสันหลัง (Spinal cord) ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อรูปทรงกระบอกที่ทำงานร่วมกับระบบประสาทส่วนกลาง
  • ฝีในสมอง เป็นฝีที่เกิดภายในเนื้อสมองใต้กะโหลกศีรษะ ซึ่งถือว่าเป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างมาก หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและปลอดภัย

อาการของฝี

อาการโดยทั่วไปของฝีคือ เกิดตุ่มหนองซึ่งจะมีลักษณะเป็นก้อนสีแดง และผู้ป่วยจะรู้สึกปวดบริเวณก้อนดังกล่าว อีกทั้งเมื่อสัมผัสโดนก็จะรู้สึกร้อน กดแล้วเจ็บ

มีคำถามเกี่ยวกับ ฝี? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

เมื่อฝีเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง ผู้ป่วยจะสามารถคลำพบหัวฝีเจอได้ จากนั้นไม่นานฝีก็จะแตกเอง ซึ่งผู้ป่วยควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับการรักษา เพราะไม่เช่นนั้น เชื้อโรคจากฝีก็จะแพร่กระจายไปสู่กระแสเลือด จนเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดได้

เป็นฝีกี่วันหาย

ระยะเวลาการหายของฝีขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ขนาดของฝี ตำแหน่งที่เกิด การรักษา และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย

  • ฝีขนาดเล็ก (ไม่เกิน 1-2 เซนติเมตร) ประมาณ 5-7 วัน
  • ฝีขนาดกลาง (2-5 เซนติเมตร) ประมาณ 7-14 วัน
  • ฝีขนาดใหญ่ (มากกว่า 5 เซนติเมตร) ประมาณ 2-4 สัปดาห์ขึ้นไป
  • ฝีภายในอวัยวะ ประมาณ 2-4 สัปดาห์ขึ้นไป

กรณี ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ จะใช้เวลาในการรักษาฝีนานกว่าปกติ เนื่องจากร่างกายต่อสู้กับการติดเชื้อได้ไม่ดี อาจปรึกษาแพทย์เพื่อให้การรักษาดีขึ้น

การวินิจฉัยฝี

การวินิจฉัยฝีสามารถทำได้ผ่านการตรวจสอบจากภายนอกของรอยโรค หรืออาจเป็นการสอบถามอาการว่าเจ็บปวดมากน้อยเพียงใด และสังเกตอาการบวมแดง ร้อนของเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียง รวมถึงวัดขนาดของตุ่มว่ามีขนาดใหญ่กว่า 1 เซนติเมตรหรือครึ่งนิ้วหรือไม่ และมีอาการไข้ในระหว่างการติดเชื้อร่วมด้วยหรือเปล่า

หากคุณพบว่าตนเองมีตุ่มคล้ายกับฝี หรือมีอาการที่ใกล้เคียงจากที่กล่าวมา ให้รีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยอาการต่อไป ซึ่งขั้นตอนการวินิจฉัยจะเริ่มจากสอบถามประวัติสุขภาพ ลักษณะอาการที่เกิดขึ้น และตรวจร่างกายในบริเวณที่เกิดฝีอย่างละเอียดด้วยวิธีต่อไปนี้

  • ตรวจด้วยวิธีอัลตราซาวด์ การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ CT Scan (Computerised Tomography)
  • การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ MRI Scan (Magnetic Resonance Imaging) แต่มักจะตรวจในกรณีที่ฝีเกิดบริเวณอวัยวะภายใน

วิธีรักษาฝีด้วยตัวเอง

ฝีเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้ การรักษาก็จะขึ้นอยู่กับขนาดของเม็ดฝีและความรุนแรงของอาการ หากเป็นฝีขนาดเล็กมีวิธีรักษาฝีด้วยตัวเอง แต่หากเป็นฝีขนาดใหญ่และมีอาการปวด ไม่ควรฝืนรักษาด้วยตนเองหรือใช้วิธีที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายต่อผิวหนัง

วิธีรักษาฝีขนาดเล็ก ไม่ปวดมาก

  1. รักษาความสะอาดทุกวัน ล้างทำความสะอาดป้องกันการติดเชื้อเพิ่ม
  2. ประคบร้อนด้วยน้ำอุ่น เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ช่วยให้ฝีแตกและระบายหนองได้ง่ายขึ้น
  3. ไม่เจาะ ไม่กด หรือบีบฝี ไม่ให้ของเหลวในฝีไหลออกมาอย่างเด็ดขาด เพราะเชื้อจากฝีจะส่งผลโดยตรงกับเส้นเลือดที่อยู่ใกล้เคียงกับฝี
  4. ทาขี้ผึ้งหรือครีมเพื่อป้องกันการติดเชื้อ สอบถามได้ที่ร้านขายยายที่มีเภสัชกรประจำร้าน
  5. ทานยาบรรเทาปวดทั่วไป เพื่อลดอาการปวดหรือไข้ ใช้ยาแก้ปวดทั่วไปอย่าง พาราเซตามอล ไอบูโพรเฟนก็ได้

การรักษาสุขภาพให้ดี อย่าง ออกกำลังกายและดื่มน้ำมากๆ จะช่วยบรรเทาอาการได้บ้าง

โดยปกติการรักษาฝีด้วยตัวเอง ควรทำให้ฝีหายหรือมีอาการดีขึ้นในระยะเวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์

อาการควรไปพบแพทย์

  • ฝีไม่หายหรือมีขนาดใหญ่ขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์
  • มีไข้สูง หนาวสั่น หรืออ่อนเพลีย
  • ฝีเกิดในตำแหน่งอันตราย เช่น ใบหน้า หรือใกล้ตา
  • มีอาการปวดรุนแรงหรือแดงลามกว้าง

หากฝีไม่หายภายใน 2 สัปดาห์หรืออาจแย่ลง เช่น มีหนองไหลมาก ไข้สูง ควรรีบพบแพทย์

ผู้ป่วยจะต้องได้รับการรักษาจากแพทย์ผิวหนัง ด้วยการให้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อบริเวณฝี หรือใช้วิธีผ่าตัดเพื่อระบายหนองในฝีออกมาให้หมด ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์เป็นสำคัญที่สุด

วิธีป้องกันฝี

หัวใจสำคัญในการป้องกันฝีที่ดีที่สุดคือ การดูแลสุขภาพทั้งภายในและภายนอกให้แข็งแรง รวมถึงมีการสร้างภูมิต้านทานที่ดีให้กับร่างกาย ซึ่งได้แก่

  • การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้ร่างกายรับสารอาหารที่ครบถ้วน
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • หมั่นดูแลรักษาความสะอาดและสุขอนามัยของร่างกายอยู่เป็นประจำ เพื่อให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ดีและไม่ทำให้เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย

หากคุณหมั่นดูแลสุขภาพทั้งตัวคุณเอง และคนในครอบครัวอย่างสม่ำเสมอ โอกาสในการเกิดฝีก็ย่อมลดน้อยลง และที่สำคัญ หากคุณตรวจพบว่าตนเองเป็นฝี ก็ยิ่งไม่ควรปล่อยปละละเลยจนทำให้อาการของฝีลุกลาม นอกจากนี้ คุณยังไม่ควรบีบ แกะ แคะ หรือเกาฝีอย่างเด็ดขาด เพราะอาจทำให้อาการของฝีเกิดการติดเชื้อลุกลามหนักขึ้นได้


เปรียบเทียบราคาแพ็กเกจตรวจสุขภาพ

มีคำถามเกี่ยวกับ ฝี? สอบถามฟรีทาง LINE รับคำตอบได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อความสบายใจของคุณ

หากคุณติดตั้ง LINE บนคอมพิวเตอร์ของคุณแล้ว ระบบจะเปิดบัญชีทางการ LINE ของ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ โดยอัตโนมัติ

หากคุณยังไม่ได้ติดตั้ง LINE บนเดสก์ท็อป โปรดสแกน QR โค้ดด้วย LINE บนโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อเริ่มแชทกับ Jib AI ผู้ช่วยสุขภาพ