สีผิว เป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสำคัญ ปัจจุบันนอกจากครีมทาผิวแล้ว ก็ยังมีการฉีดผิวขาว ซึ่งเชื่อกันว่าจะช่วยให้สีผิวเปลี่ยนจากเดิมได้ สารที่ใช้ฉีดผิวขาวเปลี่ยนสภาพเม็ดสีได้จริงหรือไม่ มีหลักฐานทางการแพทย์หรือเปล่า
สารบัญ
ทำไมคนเราถึงมีสีผิวแตกต่างกัน?
ก่อนจะเข้าสู่เรื่อง ฉีดผิวขาว ขออธิบายเรื่องสีผิวที่แตกต่างกันในแต่ละคนเสียก่อน
ผิวหนังของมนุษย์เป็นอวัยวะที่มีพื้นที่มากที่สุด มีหน้าที่สำคัญหลายอย่าง ตั้งแต่ห่อหุ้มร่างกาย ป้องกันการสูญเสียความร้อน ปรับอุณหภูมิกาย รับสัมผัสเจ็บแสบและร้อนเย็น อีกหนึ่งหน้าที่ของผิวหนังคือการปกป้องร่างกายจากแสงแดด
มีเซลล์ที่ชื่อ เมลาโนไซต์ เป็นเซลล์ที่มีต้นกำเนิดจากเซลล์ระบบประสาท เคลื่อนตัวมาอยู่ใต้ผิวหนังในช่วงพัฒนาการในครรภ์มารดา เซลล์นี้มีความสามารถพิเศษในการสร้างเม็ดสีเมลานิน และส่งเม็ดสีนี้ไปอยู่ที่เซลล์ชั้นนอกสุดของผิวหนัง เพื่อใช้ปกป้องรังสีจากดวงอาทิตย์
มนุษย์ในแต่ละส่วนของโลกจะมีสีผิวที่แตกต่างกันตามพันธุกรรมดั้งเดิมและสิ่งที่มากระตุ้นเม็ดสีในภายหลัง สำหรับพันธุกรรมดั้งเดิมนั้น ควบคุมจากขนาดเม็ดสีและการกระจายตัว
คนที่ผิวคล้ำจะมีเม็ดสีขนาดใหญ่และกระจายตัวอย่างเท่าๆ กัน ทำให้มองเห็นว่าผิวคล้ำ ส่วนคนผิวขาวหรือออกเหลือง เม็ดสีจะมีขนาดเล็กกว่าและอยู่จุกตัว ไม่กระจายทั่วไป ทำให้เห็นไม่คล้ำ
อีกปัจจัยที่ทำให้สีผิวแต่ละคนแตกต่างกันคือสิ่งที่มากระตุ้นภายหลัง โดยพบว่ารังสีอัลตราไวโอเล็ตจากดวงอาทิตย์โดยเฉพาะส่วน UVB สามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดสีมากขึ้นได้ อิทธิพลของฮอร์โมนเพศของหญิงและชายก็ทำให้การสร้างและการกระจายเม็ดสีแตกต่างกัน
ปริมาณของเซลล์สร้างเม็ดสีเมลาโนไซต์ของแต่ละคน แต่ละเชื้อชาติ จะมีปริมาณพอๆ กัน ความแตกต่างจะอยู่ที่ความสามารถในการสร้างเม็ดสี หากมีปริมาณการแบ่งตัวของเซลล์เมลาโนไซต์เพิ่มขึ้น ผิวก็จะคล้ำลง
สาเหตุของการเพิ่มขึ้นส่วนมากเกิดจากเนื้องอก เช่น เมลาโนมา (Melamona) หรือหากเป็นมะเร็ง จะเป็นมะเร็งผิวหนังที่รุนแรงมาก เรียกว่า มาลิกแนนต์เมลาโนมา (Malignant melanoma) พบมากในชาวตะวันตกมากกว่าชาวเอเชีย ลักษณะสำคัญคือเป็นตุ่มก้อน เพราะโตแบบควบคุมไม่ได้ และสีก้อนผิวหนังจะคล้ำถึงดำ
ทดลองยับยั้งการสร้างเม็ดสี จุดเริ่มต้นของการฉีดผิวขาว
เมื่อมาพิจารณาถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้ผิวคล้ำที่สามารถปรับแต่งได้ คือการทำงานของเซลล์ในการสร้างเม็ดสี นักวิทยาศาสตร์พบกลไกและปฏิกิริยาการสร้างเม็ดสีในเซลล์ที่ชัดเจนว่าใช้สารใดเป็นสารตั้งต้น ใช้สารใดกระตุ้น และจะควบคุมโดยวิธีใด
ด้วยความเข้าใจนี้จึงสามารถสร้างสารที่ปรับปรุงสีผิวจากการไปควบคุมการทำงานของกระบวนการสร้างเม็ดสี เช่นการใช้ยาไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) ในการรักษาฝ้าหรือรักษาภาวะเม็ดสีเกิดปกติ (Melanosis)
เดิมทีสารกลูต้าไธโอนใช้สำหรับต้านอาการอักเสบ และลดผลข้างเคียงที่เกิดจากการได้รับยาเคมีบำบัดเพื่อรักษาโรคมะเร็ง โดยคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระของออกซิเจน เพราะตัวมันเป็นช่วยรองรับและปรับปฏิกิริยาออกซิเดชัน-รีดักชัน ในร่างกายได้ดี
กลไกนี้สำคัญ เพราะอนุมูลอิสระหากมีมากเกินไปจะทำให้เซลล์เสียหาย แนวคิดการใช้สารกลูต้าไธโอนจึงเริ่มขึ้น
แรกเริ่มนั้นทำการทดลองในเซลล์เนื้อเยื่อที่เพาะเลี้ยงในหลอดทดลองและทดสอบกับสัตว์ทดลองก่อน ผลการศึกษาพบว่า สามารถยับยั้งการสร้างเม็ดสีได้จริงในระดับเซลล์หลอดทดลองและสัตว์ทดลอง
ต่อมาจึงเริ่มทำการศึกษาวิจัยในคน มีทั้งข้อมูลที่เก็บผลจากการใช้งานและข้อมูลจากการตั้งใจทดลอง (ทางการแพทย์จะยอมรับการทดลองแบบนี้เพื่อรับรองผลการรักษา)
ฉีดผิวขาวด้วยกลูต้าไธโอน ทำให้ผิวขาวได้อย่างไร?
กลูต้าไธโอนได้ชื่อว่าเป็นสารช่วยให้ผิวขาว มีทั้งรูปแบบยากิน ยาทา และแบบฉีด ตัวสารสามารถถูกทำลายได้ง่ายที่กระเพาะอาหาร จากสภาพที่เป็นกรด และถึงแม้จะอยู่ในรูปเม็ดยาที่ผ่านกรดในกระเพาะอาหารไปได้ การดูดซึมจากลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดก็ยังทำได้ไม่ดีนัก จึงเป็นสาเหตุที่ใช้ยาฉีดกันอย่างแพร่หลายมากกว่า
มีกลไกการทำงานของกลูต้าไธโอน คือ
- ยับยั้งฮอร์โมนไทโรซิเนส (Tyrosinase) ที่จะไปเปลี่ยนกรดอะมิโนไทโรซีน (Tyrosine) ให้กลายเป็นสารเริ่มต้นของการสร้างเม็ดสี ได้แก่ DOPA และ Dopaquinone ทำให้การสร้างเม็ดสีมีประสิทธิภาพไม่ดีนัก และปริมาณเม็ดสีที่ใช้งานได้จริงจะลดลง
- เปลี่ยนกลไกการสร้างเม็ดสีปรกติ จากที่เซลล์เมลาโนไซต์จะสังเคราะห์เม็ดสีน้ำตาลและดำที่ชื่อ ยูเมลานิน (Eumelanin) หากมีสารกลูต้าไธโอน เซลล์จะเปลี่ยนไปสร้างเม็ดสีเหลืองและแดงที่เรียกว่า ฟีโอเมลานิน (Phaeomelanin) แทน
ผลการศึกษาพบว่า การกินสารกลูต้าไธโอนขนาด 250-500 มิลลิกรัมต่อวัน หรือการฉีดสารกลูต้าไธโอนในขนาด 600-1200 มิลลิกรัมนั้นสามารถทำให้ผิวขาวขึ้นได้จริง ซึ่งทางผู้ผลิตและจำหน่ายได้แนะนำขนาดยานี้เช่นกัน (ยังไม่มีคำแนะนำขนาดยาที่ชัดเจน)
แต่ว่าคำจำกัดความของผิวที่ขาวขึ้นนั้นไม่ได้ใช้ภาพถ่ายหรือสายตามนุษย์ที่เปรียบเทียบก่อนหลัง เพราะไม่เป็นมาตรฐาน
คำว่า “ขาวขึ้น” เป็นการวัดเชิงปริมาณในการวิจัย ซึ่งอาจทำให้คุณเข้าใจผิด ฟังโฆษณาแล้วเข้าใจว่าหมายถึงการฉีดผิวขาวได้ผล
คำว่าขาวขึ้นในการศึกษาทดลองทางตจวิทยานิยมวัดค่าสองแบบ
- ใช้เครื่องมือวัดการสะท้อนและหักเหของคลื่นแสงผ่านผิวหนัง เพื่อวัดความเข้มข้นของเม็ดสีเมลานินเรียกการวัดค่านี้ว่า Skin melanin index ที่มีทั้งการวัดต่อหน่วยพื้นที่หรือวัดค่าสูงสุด โดยจะวัดหลายตำแหน่งของร่างกาย สิ่งสำคัญที่ต้องระวังในการแปลผลจากกงานวิจัยคือ
- ผลการศึกษาที่ออกมาว่าขาวขึ้น เป็นผลที่ออกมาว่าค่า Skin melanin index มีค่าลดลงเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงขาวจนเห็นได้ชัดเจนด้วยตาเปล่า
- ระดับ Skin melanin index ที่ลดลงจริงตามการทดลองนั้นไม่ได้ลดลงมากจนเปลี่ยนชัดเจน ตามการศึกษาที่ทำในประเทศไทยใช้ยากินกลูต้าไธโอน กลุ่มศึกษามีระดับสีผิวตามมาตรฐานสากล (Fitzpatrick’s classification) อยู่ที่ระดับ 4-6 (ระดับ 1 คือขาวมาก ระดับ 6 คือน้ำตาลเกือบดำ)ถึงแม้ระดับความขาวจากการวัดด้วยเครื่องมือจะพบดัชนีความขาวมากขึ้นจริง แต่ไม่ถึงกับเปลี่ยนระดับไปจาก 4-6 ไปเป็นขาวมากกว่านี้ได้
- วิธีวัดค่าความขาวของผิวที่นิยมใช้ในการโฆษณา เนื่องจากเป็นการทดสอบที่เข้าใจง่ายและเห็นได้ชัดเจนคือการใช้แถบวัดระดับสีผิว the Taylor Hyperpigmentation Scale เป็นแถบสีมาตรฐานเอาไว้วัดผิวหนังเทียบกับแถบเหล่านั้น อาศัยสายตาของผู้วัดเทียบแถบสีโดยตรง จึงมีความแม่นยำมากขึ้นกว่าการใช้สายตาหรือภาพถ่ายเพียงอย่างเดียว
ข้อระวังที่ไม่สามารถแปลผลจากการทดลองมาใช้ได้ในชีวิตจริง
จากข้อมูลทางสรีรวิทยาการสร้างเม็ดสีและจากการทดลองใช้สารกลูต้าไธโอน พบว่าหลังจากให้สารกลูต้าไธโอนไม่ว่าจะเป็นรูปแบบกินหรือฉีดหรือทา ทำให้ดัชนีความขาวจากการวัดค่าแสงนั้นขาวขึ้น แต่เป็นการวัดในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ติดตามวัดต่อเนื่องหลังจากผลของยาหมดไปแล้วว่าเซลล์เมลาโนไซต์จะหยุดยั้งการสร้างเม็ดสีไปนานเพียงใด หรือหลังจากสิ้นสุดการทดลองแล้วค่าความขาวจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่
หากพิจารณาตามอัตราการเกิดของเซลล์และสร้างเม็ดสีในทุกๆ 1-2 สัปดาห์ น่าจะเป็นไปได้ว่าหากไม่ใช้ยาต่อเนื่อง เม็ดสีจะกลับมาเป็นดังเดิมก่อนให้ยา และตำแหน่งที่มีค่าดัชนีเมลานินที่ลดลง (ขาวขึ้น) ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าจะเป็นบริเวณใด และแต่ละบริเวณมีการเปลี่ยนแปลงความขาวที่ไม่เท่ากัน จากการศึกษาบางบริเวณไม่ขาวขึ้นแต่ผลรวมในทุกๆ บริเวณดูว่าขาวขึ้น จึงยังไม่สามารถคาดเดาผลการรักษาได้อันเป็นข้อจำกัดที่สำคัญของการให้สารกลูต้าไธโอน
ความจริงทางสรีรวิทยาของเซลล์และการศึกษาที่มี ยังมีข้อมูลไม่มากพอที่จะระบุชัดเจนว่าสารกลูต้าไธโอนทั้งการฉีดและการกินจะทำให้ผิวขาวขึ้นได้ แม้จะมีหลายประเทศใช้ในการรักษาโรคเม็ดสีเกินปกติหลังจากผิวหนังอักเสบ (เมื่อเทียบกับผิดปกติ) แต่ยังไม่มีการใช้เพื่อทำให้สภาพผิวที่ไม่มีโรคหรือเม็ดสีไม่เกินให้แปรสภาพขาวขึ้นกว่าเดิม
ผลข้างเคียงของการฉีดผิวขาว กลูต้าไธโอน
สำหรับผลการศึกษาเรื่องผลข้างเคียงและอันตรายจากการใช้สารกลูต้าไธโอน รายงานเรื่องพิษในระยะยาวมีน้อยมาก เพราะการศึกษาติดตามทำในระยะสั้น ข้อมูลยังไม่เพียงพอที่จะประกาศเรื่องพิษหรืออันตรายจากกลูต้าไธโอน
กลูต้าไธโอนแบบกินยังไม่มีรายงานผลข้างเคียง แต่การฉีดกลูต้าไธโอนมีรายงานผลข้างเคียงมาบ้าง ได้แก่
- ผื่นแพ้ผิวหนัง ตั้งแต่ผื่นคันเเล็กน้อยจนแพ้รุนแรง
- มีอาการปวดจุกท้อง
- รบกวนการทำงานของต่อมไทรอยด์ การทำงานของตับและไต แต่ไม่ถึงตับวายหรือไตวาย
- อันตรายจากการฉีด เช่น ปฏิกิริยาที่ผิวหนัง การติดเชื้อจากเข็มฉีดไม่สะอาด
ดังนั้นการฉีดหรือกินสารกลูต้าไธโอนเพื่อทำให้สีผิวเดิมขาวขึ้น จึงยังไม่มีที่ใช้ในทางคลินิก ข้อมูลเรื่องขนาดของยาที่เหมาะสมและการบริหารที่เหมาะสมยังไม่ชัดเจน ข้อมูลผลข้างเคียงของยายังน้อยเกินไป และราคายาที่ยังแพงมาก ไม่คุ้มทุนคุ้มค่ากับประโยชน์ที่ไม่ชัดเจน จึงยังไม่แนะนำให้ใช้อย่างเป็นทางการในปัจจุบัน
เขียนบทความโดย นพ. ชาคริต หริมพานิช