ความเครียด เป็นสิ่งที่หลายคนต้องเผชิญหน้ากันอยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว ที่ส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกายและจิตใจ ทำให้เกิดอาการวิตกกังวล นอนไม่ค่อยหลับ หรือหลับไม่สนิท
การนอนไม่เพียงพอถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามเพราะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้ไม่ค่อยมีสมาธิ อ่อนเพลียง่าย หรือบางรายอาจถึงขั้นเก็บเนื้อเก็บตัวจนเกิดภาวะซึมเศร้าตามมาได้
ถ้าคุณประสบปัญหานอนไม่หลับติดต่อกันมากกว่า 3 อาทิตย์ขึ้นไป แปลว่าคุณกำลังเป็นโรคนอนไม่หลับเรื้อรังอยู่ ทางที่ดีควรรีบปรึกษาคุณหมอเพื่อหาทางรักษา ไม่ให้อาการเหล่านี้กระทบต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพร่างกายในระยะยาว
บทความนี้จะมาบอกตัวช่วยในการลดความเครียด ทั้งแนวทางที่ทำได้เอง วิธีใช้ยาคลายเครียดตามที่หมอจ่าย รวมถึงข้อควรระวังในการใช้ยาเหล่านี้ด้วย
สารบัญ
แนวทางการลดความเครียด
ถึงการกินยาจะดูเป็นวิธีที่เห็นผลไวกว่า แต่จริง ๆ แล้ว ถ้ามีเรื่องเครียด เบื้องต้นควรหาทางจัดการโดยยังไม่ใช้ยาก่อน อาจลองหาต้นตอให้เจอ แล้วระบายหรือปรับทุกข์กับคนสนิท
นอกจากการระบายหรือออกไปพบปะพูดคุยกับเพื่อนฝูง วิธีอื่น ๆ อย่างการทำอะไรที่ชอบ เช่น งานอดิเรก หรือการออกกำลังกาย ก็เป็นตัวช่วยลดความเครียดได้เหมือนกัน
ถ้ายังจัดการกับความเครียดไม่ได้สักที การปรึกษาหมอก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ ซึ่งหมออาจจ่ายยานอนหลับหรือยาคลายเครียด ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการรักษา ในหัวข้อถัดไป เราจะมาดูกันว่ายาคลายเครียดมีอะไรบ้าง
กลุ่มยาคลายเครียด
ยาคลายเครียดแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
1. ยาต้านเศร้ากลุ่มไตรไซคลิก (Tricyclic Antidepressants: TCAs)
ยาต้านเศร้ากลุ่มไตรไซคลิกมียาหลายตัวอยู่ด้วยกัน โดยยาอะมิทริปไทลีน (Amitriptyline) เป็นยาคลายเครียดและใช้รักษาอาการโรคซึมเศร้าที่หมอนิยมจ่าย ส่วนตัวยาอื่น ๆ ในกลุ่มนี้ เช่น ยานอร์ทริปไทลีน (Nortriptyline) ยาโพรทริปไทลีน (Protriptyline) ยาไทรมิพรามีน (Trimipramine)
ยาต้านเศร้ากลุ่มไตรไซคลิกจะออกฤทธิ์ยับยั้งการดูดซึมกลับของสารสื่อประสาทเอพิเนฟรีน (Epinephrine) และเซโรโทนิน (Serotonin) ในสมองจึงมีสารเหล่านี้เพิ่มขึ้น ทำให้วิตกกังวลน้อยลง อารมณ์ดีขึ้น และนอนหลับได้ดีขึ้นด้วย
นอกจากคลายเครียดและรักษาอาการซึมเศร้า ยากลุ่มนี้ยังใช้รักษาโรคอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น ป้องกันอาการปวดไมเกรน รักษาอาการปวดปลายประสาทหลังจากเป็นโรคงูสวัด หรือรักษาโรคสมาธิสั้น
ยากลุ่มนี้อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ปากแห้ง คอแห้ง อยากอาหารมากขึ้น หรือท้องผูก
2. ยากลุ่มเบนโซไดอะซิพีน (Benzodiazepine)
ยากลุ่มเบนโซไดอะซิพีนมีอยู่หลายตัว โดยยาลอราซีแพม (Lorazepam) เป็นยาที่นิยมใช้คลายเครียดสำหรับคนที่เครียดแล้วนอนไม่หลับ มีอาการกระวนกระวาย วิตกกังวล ชัก รวมถึงบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนจากการรักษาโรคมะเร็งด้วย
ยาลอราซีแพมจะออกฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง จึงช่วยลดการทำงานของประสาท ทำให้คลายความวิตกกังวลง่วงนอน ต้านอาการชัก และช่วยคลายกล้ามเนื้อ
ตัวอย่างยาอื่น ๆ ในกลุ่มนี้ ได้แก่
- ยาโคลนาซีแพม (Clonazepam)
- ยาไดอะซีแพม (Diazepam)
- ยาแอลพราโซแลม (Alprazolam)
- ยาไมด้าโซแลม (Midazolam)
- ยาคลอราซีเพต (Clorazepat)
ยากลุ่มเบนโซไดอะซิพีนเป็นยานอนหลับชนิดออกฤทธิ์เร็ว ทำให้หลับหลังกินยาประมาณ 15–30 นาที เหมาะสำหรับคนหลับยาก แต่จัดเป็นยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท จึงต้องสั่งจ่ายโดยหมอเท่านั้น หาซื้อเองตามร้านขายยาทั่วไปไม่ได้
นอกจากนี้ ยากลุ่มเบนโซไดอะซิพีนยังมีข้อควรระวังด้วย เพราะมีการนำไปใช้ในทางที่ผิดเพื่อมอมเมาและก่อเหตุล่วงละเมิดทางเพศ หรือที่คนเรียกกันว่า “ยาเสียสาว” และอาจทำให้เสพติดได้
ยากลุ่มนี้อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ เช่น สูญเสียการทรงตัว สับสน จำอะไรได้ไม่นาน แต่ก็ยังเป็นยาที่แพทย์นิยมใช้เพื่อลดความกังวล และช่วยเรื่องการนอนหลับมากที่สุด
3. ยากลุ่มยับยั้งการเก็บกลับของซีโรโทนินในสมอง (Selective serotonin reuptake inhibitors: SSRIs)
ยากลุ่มยับยั้งการเก็บกลับของซีโรโทนินในสมอง หรือยาต้านเศร้ากลุ่มเอสเอสอาร์ไอมีอยู่หลายตัว โดยยาเซอร์ทราลีน (Sertraline) เป็นยาในกลุ่มที่แพทย์นิยมสั่งจ่ายเพื่อคลายเครียดมากที่สุดอีกตัวหนึ่ง
ตัวอย่างยาอื่น ๆ ในกลุ่มนี้ ได้แก่
- ยาพาโรซีทีน (Paroxetine)
- ยาฟลูอ็อกซีทิน (Fluoxetine)
- ยาเอสซิทาโลแพรม (Escitalopram)
- ยาฟลูว็อกซามีน (Fluvoxamine)
- ยาซิทาโลแพรม (Citalopram)
ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ยับยั้งการเก็บกลับของเซโรโทนินในสมอง ทำให้มีเซโรโทนินค้างอยู่ในสมองเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อารมณ์ดีขึ้น คลายความวิตกกังวล และรักษาอาการซึมเศร้าได้
อย่างไรก็ตาม ยากลุ่มนี้ก็มีผลข้างเคียงต่อร่างกาย เช่น ปวดหัว ปากแห้ง คอแห้ง หรือนอนไม่หลับ
ข้อควรระวังในการใช้กลุ่มยาคลายเครียด
ยาคลายเครียดเป็นยาที่ไม่ควรกินเองสุ่มสี่สุ่มห้า ควรปฏิบัติตามข้อระวังเหล่านี้ ได้แก่
- ควรใช้แค่ช่วงสั้น ๆ เพราะการใช้ยาคลายเครียดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ จะยิ่งทำให้การตอบสนองกับยาลดลง จึงต้องเพิ่มขนาดยามากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงจะหายเครียดและนอนหลับได้ อาจนำไปสู่การติดยาในภายหลัง
- ควรอยู่ในความดูแลของหมอ เนื่องจากการใช้ยาคลายเครียดเกินขนาดจะกดการทำงานของสมองส่วนที่ควบคุมการหายใจ ทำให้หายใจล้มเหลว หรือเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
- ควรแจ้งหมอทุกครั้งเกี่ยวกับโรคที่เป็นอยู่ รวมถึงประวัติการใช้ยาในปัจจุบัน เพื่อให้หมอพิจารณาการรักษาร่วมกับโรคเดิมได้อย่างเหมาะสม
- ไม่ควรหยุดใช้ยาเองทันที เพราะถ้าหยุดกินแบบหักดิบ อาจเกิดอาการถอนยาได้ เช่น นอนไม่หลับมากขึ้น กระสับกระส่าย มือสั่น ใจสั่น หรือวิตกกังวล
- ระมัดระวังการใช้ยาคลายเครียดเป็นพิเศษในผู้ป่วยโรคตับ ไต และผู้สูงอายุ เพราะผู้ป่วยกลุ่มนี้จะตอบสนองต่อยาและมีวิธีกำจัดยาแตกต่างจากคนอื่น ๆ จึงต้องให้หมอเป็นคนปรับขนาดยาที่เหมาะสม
- หลีกเลี่ยงใช้ยาคลายเครียดในเด็กเล็ก ผู้ที่ตั้งครรภ์ ผู้ที่ให้นมบุตร ผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะหลับ และผู้ที่ใช้ยาที่มีฤทธิ์กดระบบประสาทอื่น ๆ ถ้าต้องใช้ยากับคนกลุ่มนี้ต้องปรึกษาหมอก่อนทุกครั้ง และควรใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น
- ควรงดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิดในช่วงที่ใช้ยาคลายเครียด เนื่องจากแอลกอฮอล์จะยิ่งเสริมฤทธิ์ยาคลายเครียด อาจกดการหายใจ และทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตได้
- ห้ามขับรถ หรือควบคุมเครื่องจักรใด ๆ หลังกินยาคลายเครียด เพราะยาจะทำให้ง่วง จึงอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุหรืออันตรายถึงชีวิตได้
ยาคลายเครียดเป็นยาที่ควรกินตามหมอสั่งเท่านั้น ไม่ควรกินหรือหยุดกินยาเอง และในระหว่างใช้ยาก็ควรดูแลตัวเองอยู่เสมอ เช่น พักผ่อนให้เพียงพอ งดดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่ งดดื่มคาเฟอีน
รวมถึงออกกำลังกายเพื่อให้สมองหลั่งสารความสุข หากิจกรรมทำคลายเครียด หรือเข้ารับคำปรึกษากับจิตแพทย์ว่าจะจัดการกับความเครียดหรืออาการวิตกกังวลยังไงบ้าง
เขียนบทความและตรวจสอบความถูกต้องโดย ทีมเภสัชกร HD