เมื่อพูดถึงภาวะเลือดคั่งในสมอง หลายคนต้องนึกถึงอาการฉุกเฉินร้ายแรงที่ต้องเข้ารับการรักษาโดยด่วน และมักลงเอยด้วยการผ่าตัดสมอง
แต่พอถามถึงที่มาที่ไปของภาวะนี้ ยังมีหลายคนที่ไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร แล้วรักษาให้หายได้หรือไม่ บทความนี้จะพามารู้จักกับภาวะ “เลือดคั่งในสมอง” สาเหตุ อาการเตือน วิธีรักษา และการป้องกัน
สารบัญ
ภาวะเลือดคั่งในสมอง คืออะไร
ภาวะเลือดออกในสมอง หรือ ภาวะเลือดคั่งในสมอง (Intracerebral hemorrhage) คือภาวะที่หลอดเลือดในสมองฉีกขาด ทำให้เกิดเลือดออกในสมอง สร้างความเสียหายต่อสมองและระบบประสาท เป็นภาวะที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน
เมื่อเกิดภาวะเลือดคั่งในสมอง ผู้ป่วยมักจะแสดงอาการเหล่านี้ออกมา
- อ่อนเพลียกะทันหัน
- มีอาการสับสนเฉียบพลัน สื่อสารกับผู้อื่นไม่ได้ ทั้งฟัง พูด อ่าน หรือเขียย
- ปวดศีรษะ และวิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง
- การมองเห็นพร่าเบลอ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปากเบี้ยว
- พูดลำบาก
- กลืนอาหารลำบาก
- แขนและขาเป็นอัมพาต
- เสียการทรงตัว ยืนหรือเดินไม่ได้
นอกจากนี้ ยังอาจเกิดอาการแทรกซ้อนรุนแรงได้อีก เช่น สูญเสียการมองเห็น สมองบวม อารมณ์แปรปรวน ซึมเศร้า มีไข้สูง ความทรงจำเลอะเลือน ปอดบวม หรือเป็นอัมพาต
หากพบคนใกล้ตัวมีอาการคล้ายกับเป็นภาวะเลือดคั่งในสมอง ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน เพราะยิ่งมีเลือดออกในสมองมากเท่าไหร่ ก็มีความเสี่ยงที่เลือดจะไปขับแรงดันในโพรงกะโหลกให้สูงขึ้น ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ และอาจทำให้เสียชีวิตได้
สาเหตุของภาวะเลือดคั่งในสมอง
สาเหตุหลัก ๆ ของภาวะเลือดคั่งในสมองมักมาจากความเสื่อมของหลอดเลือดที่เป็นไปตามวัย จึงพบโรคนี้ได้บ่อยในผู้ที่มีอายุ 40–60 ปีขึ้นไป
ทั้งนี้ ก็ยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่อาจก่อให้เกิดภาวะนี้ได้อีก เช่น
- อาการบาดเจ็บที่ศีรษะ หรือการประสบอุบัติเหตุที่ศีรษะอย่างรุนแรง
- โรคความดันโลหิตสูง (Hypertension)
- โรคหลอดเลือดสมองโป่ง (Ruptured cerebral aneurysm)
- โรคเนื้องอกสมอง (Brain tumor)
- โรคหลอดเลือดสมองผิดปกติ หรือโรคเอวีเอ็ม (AVM: Arteriovenous Malformation)
- มีการใช้ยาเจือจางเลือด (Blood thinners) หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด
- ใช้ยาเสพติด เช่น โคเคน หรือยาบ้า (Methamphetamine)
- โรคที่ทำให้เลือดออก เช่น โรคฮีโมฟีเลีย (Hemophilia)
- พฤติกรรมการดื่มสุรา สูบบุหรี่ มีส่วนทำให้ความดันโลหิตสูง และทำให้ได้รับสารพิษเข้าไปทำลายระบบต่าง ๆ ของร่างกาย
วิธีรักษาภาวะเลือดคั่งในสมอง
เมื่อเกิดภาวะเลือดคั่งในสมอง ต้องรีบเข้ารับการรักษาโดยด่วนภายใน 3 ชั่วโมงหลังเกิดอาการ
โดยวิธีรักษาหลัก ๆ คือการผ่าตัด เพื่อนำก้อนเลือดในสมองออกมา และรักษาหลอดเลือดสมองส่วนที่ฉีกขาด
นอกจากการผ่าตัดแล้ว แพทย์อาจจ่ายยาควบคุมความดันโลหิตให้ด้วย เพื่อใช้ลดความดันเลือดในกะโหลกศีรษะและอาการสมองบวม หากผู้ป่วยมีอาการชักเกร็ง ก็อาจได้รับยากันชักเพิ่มด้วย
หลังจากรักษาแบบฉุกเฉินแล้ว แพทย์จะเริ่มฟื้นฟูสภาพร่างกายของผู้ป่วยที่สมองได้รับความเสียหาย เช่น ถ้าผู้ป่วยเป็นอัมพาต หรือเคลื่อนไหวร่างกายซีกใดซีกหนึ่งไม่ได้ ก็ต้องทำกายภาพบำบัด หรือถ้าผู้ป่วยพูดไม่ชัด ก็ต้องให้ฝึกพูด
ทั้งนี้ การรักษาภาวะเลือดคั่งในสมองอาจมีค่าใช้จ่ายที่สูง และจำเป็นต้องจ่ายในระยะยาว ทั้งกระบวนการผ่าตัดให้ผู้ป่วยพ้นจากภาวะฉุกเฉินก่อน การทำกายภาพบำบัด และการฟื้นฟูร่างกายในส่วนอื่น ๆ เพื่อให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อีกครั้ง
การป้องกันภาวะเลือดคั่งในสมอง
ภาวะเลือดคั่งในสมองมักเกิดจากโรคประจำตัวเกี่ยวกับสมองและหลอดเลือด รวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม
เพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันการเกิดภาวะดังกล่าว สามารถปฏิบัติตามแนวทางง่าย ๆ เหล่านี้ เช่น
- งดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- งดสูบบุหรี่
- ไม่เสพยาเสพติด
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงเป็นประจำ
- หมั่นออกกำลังกาย
- พักผ่อนให้เพียงพออยู่เสมอ
- ระมัดระวังการเคลื่อนไหว การเดิน การวิ่ง อยู่เสมอ เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ หรือถ้าจำเป็นต้องนั่งมอเตอร์ไซค์ ควรสวมหมวกกันน็อกทุกครั้ง
ภาวะเลือดคั่งในสมองถือเป็นภาวะอันตรายที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวันของผู้ป่วย และอาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากรับการรักษาไม่ทันเวลา ผู้ที่เสี่ยงต่อภาวะนี้จึงต้องรักษาสุขภาพให้ดีอยู่เสมอ
ถ้ามีโรคประจำตัวใด ๆ ให้หมั่นไปพบแพทย์เสมอ และดูแลรักษาอาการให้ปลอดภัยอยู่ตลอด เพื่อป้องกันไม่ให้โรคลุกลามกลายเป็นภาวะเลือดคั่งในสมองได้
ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. วรพันธ์ พุทธศักดา