การดูดไขมันถือเป็นการทำศัลยกรรมอย่างหนึ่ง สามารถทำได้แค่บางส่วนของร่างกาย ได้แก่ ท้อง เอว ต้นแขน ต้นขา และสะโพก เนื่องจากไม่ใช่ทุกตำแหน่งทีมีที่สะสมของไขมันมากและบางตำแหน่งก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอันตรายตามมาหลังทำหัตถการ
เช่น บริเวณที่มีเส้นประสาทจำนวนมาก บริเวณที่มีการบาดเจ็บหรืออักเสบอยู่เดิม
การดูดไขมันต้องทำโดยศัลยแพทย์ผู้เชียวชาญเท่านั้น เพราะต้องทำร่วมกับการผ่าตัด จึงต้องอาศัยความรู้เฉพาะทางด้านศัลยกรรมพลาสติก ดังนั้นการใช้เครื่องดูดไขมันที่มีการโฆษณาเกินจริงว่า สามารถทำเองได้ที่บ้านจึงเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อถืออย่างยิ่ง
ก่อนตัดสินใจทำควรศึกษาข้อมูลสถานบริการและแพทย์ผู้ทำการดูดไขมันให้ดีก่อน โดยสามารถตรวจสอบชื่อแพทย์ได้ที่เว็บไซต์ของศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย
เนื่องจากไขมันมีน้ำหนักเบามากเมื่อเทียบกับกล้ามเนื้อและกระดูก ดังนั้นหลังทำหัตถการ น้ำหนักอาจลดลงเพียง 1 กิโลกรัมเท่านั้น และหลังจากรับประทานอาหาร 1-2 มื้อ น้ำหนักอาจจะกลับมาเท่ากับก่อนการดูดไขมันได้
การดูดไขมันจึงไม่ใช่การลดความอ้วน ไม่ได้ช่วยให้ผอมลง เพียงช่วยกระชับสัดส่วนเท่านั้น
สารบัญ
- ดูดไขมันหน้าท้อง อันตรายไหม?
- ดูดไขมันเหมาะกับใครบ้าง?
- ดูดไขมันหน้าท้อง มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?
- ดูดไขมัน มีกี่แบบ
- ก่อนผ่าตัดดูดไขมันหน้าท้อง ควรเตรียมตัวอย่างไร?
- การผ่าตัดดูดไขมันหน้าท้อง มีขั้นตอนอย่างไร?
- ดูดไขมันหน้าท้อง ผู้ชาย เป็นแบบไหน?
- การดูแลหลังดูดไขมันหน้าท้อง มีอะไรบ้าง?
- ดูดไขมันหน้าท้องเสร็จแล้ว ต้องพักฟื้นนานไหม?
ดูดไขมันหน้าท้อง อันตรายไหม?
หน้าท้องเป็นส่วนที่มีการสะสมของไขมันมากที่สุดในร่างกาย และยังเป็นส่วนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการดูดไขมันอีกด้วย
ส่วนที่จะทำคือ บริเวณช่วงเอวและหน้าท้องส่วนล่าง โดยทั่วไปสามารถลดรอบเอวได้ประมาณ 3 นิ้วต่อการทำหัตถการหนึ่งครั้ง แต่ต้องพิจารณาตามความเหมาะสมของสัดส่วนผู้รับบริการด้วย
การดูดไขมันหน้าท้องก็เช่นเดียวกับการดูดไขมันในตำแหน่งอื่นๆ หากทำตามขั้นตอนและวิธีการที่ถูกต้องภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้ว แทบจะไม่ได้มีอันตรายอะไรเลย
เนื่องจากเป็นหัตถการที่มีข้อกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่สามารถเข้ารับบริการ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายที่จะเกิดขึ้น
ผู้รับบริการต้องใช้เวลาเตรียมตัวนานอยู่เป็นเดือน และเพื่อป้องกันภาวะช็อกที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ละครั้งสามารถดูดเอาไขมันออกได้มากสุดประมาณ 5 ลิตรเท่านั้น
หากต้องการเอาออกมากกว่านี้ก็ให้ทำเพิ่มในครั้งถัดไป
ดูดไขมันเหมาะกับใครบ้าง?
ผู้ที่สามารถดูดไขมันได้ ควรอยู่ในเงื่อนไขต่อไปนี้
- สุขภาพแข็งแรง ผู้เข้ารับบริการต้องมีร่างกายที่แข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวที่อาจก่อให้เกิดอันตรายจากการทำหัตถการได้
- มีค่าดัชนีมวลกาย (ฺBMI) อยู่ระหว่าง 18-25 เนื่องจากเป็นค่าดัชนีมวลกายที่มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนน้อยที่สุด
- สุขภาพจิตดี ผู้เข้ารับบริการต้องมีความเข้าใจว่า ไม่สามารถดูดไขมันออกจากร่างกายได้ทั้งหมด เพราะไขมันเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการมีชีวิตอยู่ และการดูดไขมันไม่สามารถทำให้สัดส่วนรูปร่างคงเดิมตลอดไปได้ หากไม่ควบคุมการรับประทานอาหารและไม่ออกกำลังกายควบคู่กัน ไขมันก็สามารถกลับมาสะสมใหม่ได้อีก
- อายุ 20 ปีขึ้นไป ผู้เข้ารับบริการต้องมีร่างกายที่เจริญเติบโตเต็มที่แล้ว
ดูดไขมันหน้าท้อง มีผลข้างเคียงอะไรบ้าง?
ภาวะแทรกซ้อนแบ่งได้ตามระยะเวลาที่เกิดขึ้นหลังจากการทำหัตถการ ดังนี้
1. ผลข้างเคียงหลังจากผ่าตัดระยะแรก
หลังผ่าตัดดูดไขมันใหม่ๆ อาจมีผลข้างเคียงได้ดังนี้
- มีน้ำเหลืองขังอยู่ใต้ชั้นผิวหนัง ทำให้มีอาการบวมเป็นหย่อมๆ แก้ไขด้วยการเจาะ หรือใส่สายระบายเอาน้ำเหลืองออก
- ผิวหนังไหม้เป็นหย่อมๆ จากการทำเลเซอร์
- เลือดคั่ง
- ไขมันอุดตันในเส้นเลือด
- ไขมันอุดตันที่ปอด
- เกิดแผลติดเชื้อ
- โลหิตจาง
- เครื่องมือทะลุเข้าไปยังอวัยวะภายใน
- แพ้ยา หรือสารที่ใช้ในการช่วยดูดไขมัน
- คลื่นไส้อาเจียน
- ภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ
2. ผลข้างเคียงหลังจากผ่าตัดนานแล้ว
ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ ได้แก่
- มีก้อนไขมันใต้ผิวหนัง แก้ไขโดยการนวดหรือใช้คลื่นอัลตราซาวด์
- บริเวณที่ผ่าตัดดูดไขมันหน้าท้องสองข้างไม่สมมาตร ทั้งนี้ขึ้นกับความชำนาญของแพทย์ผู้ทำหัตถการ
- แผลสมานกันไม่ดี
ดูดไขมัน มีกี่แบบ
- ดูดไขมันแบบทั่วไป
- ดูดไขมันโดยใช้คลื่นความถี่สูง
- ดูดไขมันโดยใช้เลเซอร์
วิธีการดูไขมันด้วยการใช้เลเซอร์และคลื่นความถี่สูง พบว่า มีประสิทธิภาพในการทำให้ผิวหลังการดูด กระชับกว่าวิธีอื่น รวมถึงยังเสียเลือดน้อยกว่าอีกด้วย
การดูดไขมันด้วยการใช้คลื่นความถี่สูงเป็นวิธีที่ค่อนข้างได้รับความนิยม เนื่องจากมีประสิทธิภาพดี ความปลอดภัยสูง ไม่ส่งผลกระทบต่อกล้ามเนื้อ หลอดเลือด และเส้นประสาทช่วงต้นขา
ก่อนผ่าตัดดูดไขมันหน้าท้อง ควรเตรียมตัวอย่างไร?
เพื่อให้การผ่าตัดดูดไขมันราบรื่นและปลอดภัย คุณควรเตรียมตัวดังต่อไปนี้
- ตรวจร่างกายและส่งตรวจค่าแล็บพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ตรวจเลือดหาความเข้มข้นของเลือดและปริมาณเกล็ดเลือด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ค่าการทำงานของตับและไต ค่าการแข็งตัวของเลือด (ในผู้สูงอายุ)
- รับประทานวิตามินและเกลือแร่เสริม โดยควรได้วิตามินและธาตุเหล็กเสริมก่อนเข้ารับการดูดไขมันประมาณ 2-4 สัปดาห์
- งดสูบบุหรี่ก่อนเข้ารับการดูดไขมันอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์
- หยุดยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน วาร์ฟาริน
- ลดน้ำหนักในอยู่ในเกณฑ์ ให้ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ไม่เกิน 25 (สามารถคำนวณค่าดัชนีมวลกายได้ที่นี่)
- ใส่ชุดรัดตัวในรายที่มีรอบเอวขนาดใหญ่ เพื่อสร้างความเคยชินในการใส่ผ้ารัดหลังจากทำการผ่าตัด และช่วยลดขนาดกระเพาะอาหารได้อีกด้วย
การผ่าตัดดูดไขมันหน้าท้อง มีขั้นตอนอย่างไร?
การดูดไขมันหน้าท้อง หลักๆ แล้วใช้เพียงหลักการเดียวคือทำให้ไขมันแตกตัวเพื่อดูดออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้น โดยอาจจะอาศัยคลื่นวิทยุ คลื่นอัลตราซาวด์ หรือฉีดสารละลายบางอย่างที่ไม่มีอันตรายเข้าไป
ขั้นตอนการทำหัตถการมีดังนี้
- แพทย์ทำความสะอาดบริเวณที่จะทำหัตถการและบริเวณใกล้เคียงด้วยสบู่ยา หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ แล้วกำหนดของเขตบริเวณที่จะทำการดูดไขมัน
- แพทย์ฉีดยาชาหรือให้ผู้รับบริการดมยาสลบ อาจต้องให้ยาคลายเครียดในบางรายเพื่อระงับความวิตกกังวล
- ผ้าตัดเปิดแผลขนาดประมาณ 5 มิลลิเมตร เปิดทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที
- ใส่ยาน้ำผ่านทางแผลที่เปิดไว้ และเริ่มขั้นตอนการใช้เครื่องมือในการทำให้ไขมันแตกตัว
- ดูดไขมันที่แตกตัวออกมาแล้วออกมาด้วยเครื่องดูดตามปริมาณที่ต้องการ
- ปิดแผลด้วยการทากาวปิดแผล และใช้ผ้าพันแผลปิดทับอีกครั้ง
ดูดไขมันหน้าท้อง ผู้ชาย เป็นแบบไหน?
การดูดไขมันในผู้ชาย มีหลักการเดียวกับในผู้หญิงคือ เป็นการใช้เครื่องมือเพื่อทำให้ไขมันแตกตัว หลังจากนั้นจึงดูดไขมันส่วนเกินออก ส่งผลให้ผิวหนังเกิดความหดตัวและได้รูปร่างที่สวยงามตามมา
การดูแลหลังดูดไขมันหน้าท้อง มีอะไรบ้าง?
สิ่งที่ควรรู้ ควรปฏิบัติ รวมถึงแนวทางดูแลตัวเองอย่างถูกต้องหลังจากดูดไขมันหน้าท้อง มีดังนี้
- หลังทำหัตถการจะมีน้ำเหลืองซึมออกมาจากแผลประมาณ 4-5 วัน แล้วจะหยุดไหลไปเอง ให้ทำแผลทุกวันจนกว่าจะไม่มีน้ำเหลืองซึมออกมาและแผลแห้ง แต่หากบริเวณแผลมีอาการปวด บวม แดง หรือมีไข้ ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
- การนวดเพื่อระบายน้ำเหลืองที่คั่งจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น และลดความเสี่ยงที่จะเกิดแผลเป็นตามมา
- อาการบวมจะเกิดขึ้นประมาณ 3-4 สัปดาห์หลังจากการดูดไขมัน โดยสามารถยุบบวมและหายสนิทได้เอง ภายในระยะเวลา 3-4 เดือน
- ควรใส่ชุดรัดตัวเป็นเวลาประมาณ 3 เดือนหลังทำการดูดไขมัน เพื่อกระชับรูปร่างและลดอาการบวมได้เร็วขึ้น โดยใส่ตลอดเวลาในช่วงเดือนแรก หลังจากนั้นอีก 2 เดือนให้ใส่เฉพาะเวลานอน
- สามารถออกกำลังกายได้ประมาณสัปดาห์ที่ 3 หลังการผ่าตัด
ดูดไขมันหน้าท้องเสร็จแล้ว ต้องพักฟื้นนานไหม?
โดยทั่วไปหากไม่มีภาวะแทรกซ้อน สามารถกลับไปทำงานได้ภายใน 2-3 วันหลังจากการผ่าตัด
แม้ว่า การดูด-สลายไขมัน จะเป็นวิธีที่เห็นความเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนได้เร็วกว่าการออกกำลังกาย แต่การดู-สลายไขมัน ไม่ใช่การลดความอ้วน เป็นเพียงการลดไขมันบางส่วนเพื่อกระชับสัดส่วนร่างกายเท่านั้น
หากต้องการลดน้ำหนัก ประชับสัดส่วนแบบยั่งยืน ควรต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและควบคุมการรับประทานอาหารจะดีที่สุดที่สุด
ตรวจสอบความถูกต้องโดย พญ. รุจิรา เทียบเทียม