ท้องเสียเป็นอาการเจ็บป่วยที่พบบ่อย หากเป็นเพียงท้องเสียทั่วไป อาการจะหายไปเองภายใน 1-2 วัน โดยไม่มีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ แต่หากติดเชื้อแบคทีเรีย หรือติดเชื้อไวรัสเข้า อาการย่อมรุนแรงขึ้นทวีคูณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโนโรไวรัส
สารบัญ
โนโรไวรัส (Norovirus)
เป็นไวรัสที่ทำให้ระบบทางเดินอาหารอักเสบโดยเฉพาะกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นน้ำ คลื่นไส้อาเจียน โนโรไวรัสแพร่ระบาดได้ง่ายในฤดูหนาว และติดต่อได้ง่ายในอากาศเย็น เรียกว่า “Winter vomiting bug”
การติดเชื้อโนโรไวรัสสามารถพบได้ในคนทุกเพศทุกวัยและพบได้ทั่วโลก หากทารก เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ ติดเชื้อโนโรไวรัส อาการอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
การแพร่ระบาดของโนโรไวรัส
สามารถแพร่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็วผ่านช่องทางต่อไปนี้
- การรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส
- การรับประทานอาหารที่ปรุงไม่สุก
- การรับประทานหอยน้ำรมจากแหล่งเพาะเลี้ยงที่ไม่สะอาด
- การสัมผัสอุจจาระ หรืออาเจียนของผู้ป่วย
- การสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยติดเชื้อโนโรไวรัสโดยตรง
- การสัมผัสสิ่งของ หรือพื้นผิวที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสแล้วนำเข้าปาก
ความน่ากลัวของโนโรไวรัส
- แม้จะได้รับเชื้อปริมาณเล็กน้อย (ไม่ถึง 100ตัว) ก็เกิดโรคได้เช่นกัน
- โนโรไวรัสมีความทนทานต่อความร้อนได้สูงสุดถึง 60 องศาเซลเซียส
- โนโรไวรัสสามารถมีชีวิตอยู่บนพื้นผิว หรือสิ่งของได้นานหลายวัน
- โนโรไวรัสมีความทนทานต่อน้ำยาฆ่าเชื้อและแอลกอฮอล์ สามารถกำจัดเชื้อได้ด้วยสารจำพวกฟอร์มาลีน หรือสารประกอบคลอรีนเท่านั้น
- ผู้ติดเชื้อโนโรไวรัสจะแพร่เชื้อได้ง่ายมากตั้งแต่ก่อนมีอาการครั้งแรก และหลังจากอาการหายไป 48 ชั่วโมง คุณสามารถติดเชื้อโนโรไวรัสได้มากกว่าหนึ่งครั้งเพราะว่าไวรัสมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้ร่างกายไม่สามารถสร้างภูมิต้านทานมาป้องกันเชื้อได้
- หลังหายป่วย 14 วัน ยังสามารถตรวจพบเชื้อโนโรไวรัสได้ในอุจจาระ
- ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโนโรไวรัส
อาการของโนโรไวรัส
- มีไข้ต่ำๆ
- ปวดศีรษะ
- ปวดเมื่อยตามร่างกาย
- อ่อนเพลีย
- รู้สึกคลื่นไส้กะทันหัน
- อาเจียนพุ่ง
- ปวดท้อง
- ท้องเสีย ถ่ายเป็นน้ำ
อาการเหล่านี้จะปรากฏออกมาภายใน 12-48 ชั่วโมง หลังจากติดเชื้อและมักจะมีอาการยาวนานมากถึง 2-3วัน จากนั้นอาการจะดีขึ้นและหายเองได้
ปฏิบัติตัวอย่างไร เมื่อติดเชื้อโนโรไวรัส
หากมีอาการท้องร่วงและอาเจียนกะทันหัน สิ่งสำคัญที่สุดคือ การหยุดพักอยู่บ้านไปจนกว่าจะรู้สึกดีขึ้น
ปัจจุบันยังไม่มียาจำเพาะในการรักษาโนโรไวรัส จึงเน้นการรักษาเพื่อบรรเทาอาการที่เกิดขึ้น
หากอาการไม่รุนแรงมีแค่อาเจียน ท้องเสีย ควรดื่มน้ำเกลือแร่ รับประทานอ่อน ย่อยง่าย หรือซุป หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำอัดลม หรือน้ำผลไม้เนื่องจากอาจทำให้อาการท้องร่วงทรุดลงได้
หากมีไข้ หรือปวดเมื่อยตามเนื้อตัว ควรรับประทานยาพาราเซตตามอลเพื่อลดไข้และบรรเทาอาการปวดเมื่อย และควรพักผ่อนให้มากๆ
โดยทั่วไปอาการเหล่านี้จะหายไปเองภายใน 3-4 วันไม่จำเป็นต้องไปพบแพทย์ แต่หากมีอาการต่อไปนี้ ควรรีบไปพบแพทย์
- อาเจียนอย่างหนัก
- ปวดท้อง
- ถ่ายตลอดเวลา
อาการดังกล่าวอาจเกิดการขาดน้ำอย่างมากจนมีอาการช็อค ความดันโลหิตต่ำ และเสียชีวิตได้
ทั้งนี้ผู้ป่วยที่เสี่ยงมีอาการรุนแรงจากการขาดน้ำได้แก่ เด็กเล็กและทารก โดยเฉพาะเด็กที่อายุน้อยกว่าหนึ่งปีจะมีความเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำสูงมาก รวมทั้งผู้สูงอายุ ผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ ผู้มีโรคประจำตัว
สัญญาณอันตรายเสี่ยงต่อชีวิต ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
- หากทารก หรือเด็กเล็ก ถ่ายเหลวเป็นเวลานานมากกว่าหกครั้งภายใน 24 ชั่วโมง หรือมีการอาเจียน 3 ครั้ง หรือมากกว่าภายในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา
- ทารก หรือเด็กเล็ก มีการตอบสนองน้อยลง ตัวร้อน หรือมีผิวซีด
- ทารกประสบกับอาการของภาวะขาดน้ำรุนแรง เช่น มีอาการวิงเวียนต่อเนื่อง ขับปัสสาวะเล็กน้อย หรือไม่มีเลย หรือสติสัมปชัญญะลดลง สำหรับเด็กเล็กและผู้สูงอายุจะมีความเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำสูงมาก
- ท้องร่วงปนเลือด
- อาการไม่ดีขึ้นหลังจากผ่านไป 2-3 วัน
- ทารก หรือเด็กเล็ก มีภาวะสุขภาพร้ายแรงอื่น ๆ เช่น เป็นโรคไตและมีอาการท้องร่วงกับอาเจียน
แพทย์แนะนำว่า ควรนำตัวอย่างอุจจาระไปส่งตรวจห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันว่า ทารก หรือลูกของคุณติดเชื้อโนโรไวรัสหรือไม่ หรือเป็นการติดเชื้ออื่น ๆ
การป้องกันโนโรไวรัส
- ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่บ่อยๆ และล้างอย่างถูกวิธีคือ ต้องล้างให้นานประมาณ 20 วินาที/ครั้ง โดยเฉพาะหลังจากสัมผัสสิ่งของต่างๆ เข้าห้องน้ำ ก่อนเตรียมอาหาร และก่อนรับประทานอาหาร
- ทำความสะอาดฆ่าเชื้อบนพื้นผิว หรือสิ่งของที่อาจปนเปื้อนไวรัสด้วยสารซักฟอกตามบ้านเรือน
- ห้ามใช้ผ้าเช็ดหน้าและผ้าเช็ดตัวร่วมกับผู้อื่น
- กดชะล้างอุจจาระ หรือกองอาเจียนในชักโครกให้หมดและทำความสะอาดพื้นที่โดยรอบ
- เลี่ยงการรับประทานอาหารดิบ อาหารที่ไม่ได้ผ่านการล้างทำความสะอาด และเลือกรับประทานหอยนางรมจากแหล่งที่มาที่น่าเชื่อถือเพราะหอยนางรมก็เป็นตัวพาหะของเชื้อโนโรไวรัสที่พบได้บ่อย
- ดื่มน้ำที่สะอาด ปราศจากการปนเปื้อน
- ใช้ช้อนกลางเมื่อรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น
- ล้างผักและผลไม้ให้สะอาดทุกครั้งก่อนรับประทาน
- ผู้ป่วยต้องงดการปรุงอาหารให้ผู้อื่นรับประทาน
- ควรหยุดโรงเรียน หรือลางาน หรือเดินทางไปในที่ต่างๆ เพื่อรักษาตัวที่บ้านจนกว่าจะหายเป็นปกติ
การติดเชื้อโนโรไวรัสแม้จะมีความน่ากลัว อาการรุนแรงสำหรับคนบางกลุ่ม และยังไม่มีวัคซีนป้องกัน แต่เราสามารถป้องกันตนเองและคนที่รักได้ด้วยการรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลให้ดี
ทั้งการรับประทานอาหารปรุงสุกใหม่ การดื่มน้ำสะอาด การล้างมือถูกวิธีบ่อยๆ การรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลให้ดี และการไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
วิธีเหล่านี้นอกจากจะป้องกันการติดเชื้อโนโรไวรัสแล้ว ยังช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสชนิดอื่นๆ ได้ด้วย
ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. พิสุทธิ์ พงษ์ชัยกุล