โรคเบาจืด เมื่อร่างกายขับสารน้ำออกมามากเกินไป

โรคเบาจืด เมื่อร่างกายขับสารน้ำออกมามากเกินไป

เชื่อว่า หลายคนคงไม่คุ้นเคยกับชื่อ “โรคเบาจืด” ว่าเป็นอย่างไร มีสาเหตุมาจากอะไรกันแน่ แม้ว่าโรคนี้อาจเป็นโรคที่พบได้น้อยในหมู่คนทั่วไป แต่ก็มีอันตรายร้ายแรงที่จะต้องระมัดระวังไม่แพ้โรคโรคอื่นๆ เลย

ความหมายของโรคเบาจืด

โรคเบาจืด (Diabetes Insipidus: DI) คือ โรคซึ่งเกิดจากไตของผู้ป่วยไม่สามารถกักเก็บรักษาสารน้ำไว้ในร่างกายได้ และทำให้ผู้ป่วยปัสสาวะออกมามาก และบ่อยครั้งกว่าปกติ

บางคนอาจคิดว่า โรคเบาจืดจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเป็นโรคเบาหวานเท่านั้น หรือเป็นภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน แต่ความจริงแล้วทั้งสองโรคนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด

สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเบาจืด

โรคเบาจืดมีสาเหตุหลักมาจากความผิดปกติ “ฮอร์โมนวาร์โซเพรสซิน (Vasopressin)” ซึ่งเป็นฮอร์โมนควบคุมการขับปัสสาวะ โดยจะทำงานอยู่ในสมองส่วนไฮโปทาลามัส

ฮอร์โมนวาร์โซเพรสซินทำหน้าที่สั่งการให้ไตกักเก็บสารน้ำสำหรับหล่อเลี้ยงร่างกาย และควบคุมการขับปัสสาวะให้เป็นปกติ

เมื่อฮอร์โมนวาร์โซเพรสซินผิดปกติ หรือผลิตน้อยกว่าความจำเป็นของร่างกายจะทำให้เกิดอาการปัสสาวะบ่อยผิดปกติ ซึ่งก็คือ การเริ่มต้นของโรคเบาจืดนั่นเอง

อาการของโรคเบาจืด

นอกจากอาการปัสสาวะบ่อยกว่าปกติที่กล่าวไปข้างต้น ยังมีอาการอื่นๆ ของโรคเบาจืดที่สังเกตได้อีก เช่น

  • หงุดหงิดง่าย
  • มีอาการเฉื่อยชา เหม่อลอย
  • มีอาการสับสน
  • มีไข้สูง
  • ผิวแห้ง ปากแห้ง
  • อ่อนเพลียง่าย
  • ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ
  • คลื่นไส้อาเจียน
  • กระหายน้ำบ่อยกว่าปกติ
  • ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ ต้องตื่นขึ้นมาปัสสาวะกลางดึกบ่อยๆ หรืออาจปัสสาวะรดที่นอนตอนกลางคืน มีอาการปัสสาวะเล็ด

โรคเบาจืดยังสามารถเกิดได้ในเด็กทารก หรือเด็กเล็กด้วย โดยหากเด็กมีพ่อแม่เป็นโรคเบาจืดก็มีโอกาสประมาณ 1-2% ที่เด็กจะเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน โดยจะมีอาการอื่นๆ ที่ยังสามารถสังเกตได้ในทารกอีก เช่น

  • มีอาการเหน็บชา
  • เจริญเติบโตช้า
  • เบื่ออาหาร
  • ดื่มน้ำมากกว่าปกติ
  • ปัสสาวะบ่อย
  • ปัสสาวะรดที่นอน
  • มีอาการขาดสารน้ำ

ประเภทของโรคเบาจืด

โรคเบาจืดสามารถแบ่งออกได้ 4 ประเภทหลักๆ ได้แก่

1. โรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง

โรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง (Central Diabetes Insipidus) เป็นประเภทของโรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของสมองส่วนไฮโปทาลามัส หรือต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) จนไปสั่งการให้ฮอร์โมนวาร์โซเพรสซินกระตุ้นให้ผู้ป่วยปัสสาวะบ่อยขึ้น

โรคเบาจืดชนิดนี้สามารถเป็นอาการแทรกซ้อนได้จากสาเหตุต่อไปนี้

  • เจ็บศีรษะและอาจเกิดเนื้องอกที่สมอง
  • ภาวะสมองบวม
  • ผนังหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง (aneurysm)
  • เป็นโรคมะเร็งชนิดเซลล์เม็ดเลือดขาวผิดปกติ (Langerhans cell histiocytosis)

2. โรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของไต

โรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของไต (Nephrogenic diabetes insipidus) เป็นประเภทของโรคเบาจืดที่เกิดจากไตไม่ตอบสนองการสั่งการของฮอร์โมนวาร์โซเพรสซิน และดึงเอาสารน้ำออกไปจากกระแสเลือดมากเกินไป

โรคเบาจืดชนิดนี้สามารถเกิดได้จากสาเหตุต่อไปนี้

  • โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
  • โรคไตเรื้อรัง (Chronic kidney disease)
  • ภาวะแคลเซียมสูงในกระแสเลือด
  • ภาวะโพแทสเซียมต่ำในกระแสเลือด
  • การรับประทานยาบางชนิด เช่น ลิเทียม (Litium)

3. โรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติในการกระหายน้ำ

โรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติในการกระหายน้ำ (Dipsogenic diabetes insipidus) เป็นประเภทของโรคเบาจืดที่เกิดจากร่างกายไม่สามารถควบคุมความกระหายน้ำได้ และไปลดปริมาณฮอร์โมนวาร์โซเพรสซินในร่างกาย อาจเกิดได้จากปัจจัยดังนี้

  • การได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ
  • การมีเนื้องอก
  • การติดเชื้อไวรัส หรือเชื้อแบคทีเรีย
  • การศัลยกรรม

4. โรคเบาจืดที่เกิดจากการตั้งครรภ์

โรคเบาจืดที่เกิดจากการตั้งครรภ์ (Gestational diabetes insipidus) เป็นประเภทของโรคเบาจืดที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์

สาเหตุของโรคเบาจืดชนิดนี้ เกิดจากรกเด็กซึ่งทำหน้าที่ส่งออกซิเจนและอาหารเลี้ยงทารกได้สร้างเอนไซม์ที่ลดปริมาณฮอร์โมนวาร์โซเพรสซิน และไปลดการตอบสนองของไตต่อฮอร์โมนตัวนี้ โดยปกติโรคนี้จะหายได้เองหลังจากคลอดบุตรแล้ว

ภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาจืด

หากไม่รีบรักษาโรคเบาจืดตั้งแต่เนิ่นๆ ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคแทรกซ้อนบางประเภทได้ เช่น

  • ภาวะขาดน้ำ (Dehydration) เพราะการปัสสาวะบ่อยผิดปกติ
  • ภาวะไม่สมดุลของเกลือแร่ (Electrolyte imbalance) โดยจะมีอาการหลักๆ คือ ปวดศีรษะ อ่อนเพลียตลอดเวลา ปวดเมื่อยตามตัว
  • นอนไม่พอ (Less sleep) เนื่องจากอาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน (Nocturia) ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการของโรคเบาจืด

การรักษาโรคเบาจืด

การรักษาโรคเบาจืดแบ่งออกได้หลายวิธี ทั้งการรับประทานยาซึ่งจะขึ้นอยู่กับประเภทของโรคเบาจืด เช่น ยากลุ่มเดโมเฟรสซิน (Demopressin) ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์อย่างยาอินโดเมทาซิน (Indometacin) ยากลุ่มขับปัสสาวะไฮโดรคลอโรไทอะไซด์ (Hydrochlorothiazide)

หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสเค็ม หรืออาหารที่มีเกลือมาก เพราะจะยิ่งทำให้รู้สึกหิวน้ำและต้องดื่มน้ำปริมาณมากๆ

นอกจากนี้การรับประทานน้ำตาล ขนมหวานเป็นครั้งคราว ก็ยังช่วยกระตุ้นระบบการทำงานของน้ำลาย ทำให้คอไม่แห้งและไม่อยากดื่มน้ำบ่อยเกินไป แต่ก็ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ และคุณก็ยังต้องดื่มน้ำให้เพียงพอต่อวันอยู่เช่นเดิม

หรือหากโรคเบาจืดเกิดจากโรคอื่นๆ ของผู้ป่วย เช่น โรคไตเรื้อรัง โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ แพทย์ก็จะรักษาโรคซึ่งเป็นต้นตอของโรคเบาจืดให้หายก่อน และหากอาการโรคเบาจืดยังไม่หายดี ก็ค่อยดำเนินการรักษาโรคนี้ต่อไป

วิธีป้องกันโรคเบาจืด

ยังไม่มีแนวทางป้องกันสำหรับโรคเบาจืดโดยเฉพาะ แต่คุณก็สามารถป้องกันการเกิดโรคนี้ได้โดยการใช้ชีวิตประจำวันอย่างเหมาะสม เช่น

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอทุกวัน อย่าปล่อยให้ตนเองเสี่ยงเกิดภาวะขาดน้ำ
  • สังเกตว่า ตนเองปัสสาวะปกติดีหรือไม่ แล้วมีอาการเจ็บ หรือแสบขัดระหว่างปัสสาวะหรือเปล่า โดยโดยปกติคนเราจะปัสสาวะประมาณวันละ 4-8 ครั้งต่อวัน

โรคเบาจืดอาจเป็นโรคพบได้ยาก แต่ก็ไม่ควรมองข้ามโรคนี้ เพราะสารน้ำถือเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้ระบบในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหากร่างกายขาดน้ำเป็นเวลานานๆ ก็จะเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้

ดังนั้นหากสังเกตว่า ตนเองปัสสาวะบ่อยและมีอาการคล้ายกับเกิดภาวะขาดน้ำ อย่าลังเลที่จะรีบไปพบแพทย์เพื่อขอรับการวินิจฉัย และรักษาทันที


ตรวจสอบความถูกต้องโดย นพ. วรพันธ์ พุทธศักดา


ที่มาของข้อมูล

Scroll to Top