อาการปวดกระบอกตา มักพบเจอ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่ต้องเพ่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เกือบทั้งวัน หรือผู้ที่ต้องใช้สายตาในการทำงานเป็นเวลานาน ซึ่งส่วนมากมักจะบรรเทาอาการให้ดีขึ้นได้ โดยการรับประทานยาแก้ปวด
แต่ก็มีผู้ป่วยบางรายที่รับประทานแล้วไม่หาย แถมอาการยังคงเกิดขึ้นซ้ำๆ จนสร้างความรำคาญ และทรมานในระหว่างวัน ซึ่งสาเหตุของอาการปวดกระบอกตาอาจเกิดมาจากปัจจัยทั่วไปในชีวิตประจำวัน หรือเกิดจากโรคร้ายแรงบางชนิดก็ได้
รู้จักกับกระบอกตา
กระบอกตา (Orbit wall) คือ กล้ามเนื้อที่อยู่บริเวณรอบๆ ดวงตา ซึ่งบริเวณนี้มักจะมีปัญหาการปวดเกิดขึ้นได้บ่อยๆ โดยอาจเกิดจากความตึงเครียดของกล้ามเนื้อต้นคอ หรือเกิดจากการปวดร้าวไปทั่วบริเวณขมับ และหน้าผาก
สาเหตุของอาการปวดกระบอกตา
ผู้ป่วยที่มีอาการปวดกระบอกตาจะรู้สึกปวดร้าว หรือรู้สึกตึงจากบริเวณด้านหลังของดวงตา นั้นเกิดได้จากทั้งโรคเกี่ยวกับศีรษะ และดวงตา หรือภาวะทางสายตาบางอย่าง ดังนี้
- กล้ามเนื้อตาล้า: เกิดจากการใช้สายตาอย่างหนัก โดยใช้สายตาเพ่งกับสิ่งที่ละเอียดใกล้ๆ เป็นเวลานาน เช่น การจ้องมองจอโทรศัพท์มือถือ หรือจอคอมพิวเตอร์ การอ่านหนังสือ หรือการทำงานฝีมือที่ต้องใช้ความละเอียด ซึ่งพฤติกรรมดัง ยังส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดท้ายทอย ปวดบริเวณขมับ หรือบางรายก็อาจเวียนศีรษะถึงขั้นคลื่นไส้ได้
- สายตาสั้น ยาว หรือเอียง: ค่าสายตาที่ผิดปกติจะทำให้ผู้ป่วยต้องเพ่งมองขณะจ้องมองวัตถุต่างๆ เพื่อให้การมองเห็นชัดขึ้น ซึ่งจะพบได้บ่อยในผู้ที่มีอายุมาก
- โรคต้อหิน: โรคนี้จะทำให้ความดันในลูกตาสูง จนส่งผลให้มีอาการปวดศีรษะและลามมาที่กระบอกตาได้
- โรคไซนัสอักเสบ: โรคนี้จะทำให้จมูกมีอาการคัดแน่น ทำให้ผู้ป่วยหายใจไม่ออก ปวดโพรงจมูก มีไข้ และรู้สึกอ่อนเพลีย ทั้งยังทำให้รู้สึกปวดบริเวณโพรงจมูกไปจนถึงรอบดวงตาด้วย
- โรคไมเกรน: โรคนี้เกิดได้จากการกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวผู้ป่วย เช่น แสงแดด อากาศที่ร้อนจัด ความเครียด การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ การใช้สายตามากเกินไปสาเหตุเหล่านี้จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดศีรษะ และอาจรู้สึกปวดร้าวลามมาที่กระบอกตาได้ด้วย
- โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ: เป็นโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันซึ่งร่างกายได้สร้างขึ้นมาเพื่อทำลายตนเอง อีกทั้งยังปล่อยฮอร์โมนไทรอยด์ออกมามากเกินไป จนทำให้กล้ามเนื้อตาโปน และทำให้เกิดอาการปวดด้านหลังดวงตา หรือกระบอกตา
การรักษาอาการปวดกระบอกตา
การรักษาอาการปวดกระบอกตาจำเป็นจะต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์เสียก่อนว่า มีสาเหตุมาจากโรคอะไร เมื่อพบสาเหตุแล้วก็จะใช้วิธีการรักษาไปตามโรคนั้น เช่น
- กล้ามเนื้อตาล้า: เพราะอาการนี้เกิดมาจากการใช้กล้ามเนื้อตาในท่าซ้ำๆ มากเกินไป สามารถรักษาได้จากการนวดเบ้าตา และขมับด้วยนิ้วมือ การกระคบร้อนบริเวณดวงตา เพื่อให้ระบบไหลเวียนโลหิตบริเวณตาทำงานดีขึ้นหรือวิธีกระพริบตาบ่อยๆ แล้วให้พักสายตา และกลอกตาเป็นวงกลม ซ้ายไปขวา บนลงล่าง จนกว่าจะหายปวด ก็อาจช่วยได้ และหากมีอาการตาแห้งก็สามารถใช้น้ำตาเทียมหยอดร่วมด้วยก็ได้
- โรคต้อหิน: สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาหยอดตา เพื่อทำให้ม่านตาแคบลง และเพื่อลดความดันตา ซึ่งเมื่อความดันตาลดลงแล้ว ผู้ป่วยก็อาจต้องระบายน้ำในลูกตาออกด้วย และยังต้องรักษาด้วยการทำเลเซอร์ เพื่อทำให้การไหลเวียนของน้ำในลูกตาเป็นไปอย่างปกติ
- โรคไซนัสอักเสบ: สามารถรักษาได้จากการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ และรับประทานยาแก้ปวด หรือหากพบว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรีย ก็ต้องรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อร่วมด้วย แต่หากผู้ป่วยอาการหนักมาก ก็อาจต้องเข้ารับการผ่าตัด
- โรคไมเกรน: รักษาด้วยการใช้ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) หรือไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือผู้ป่วยอาจต้องใช้ยาที่มีฤทธิ์แรงกว่านั้นหากอาการยังไม่ดีขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์
- โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ: แพทย์จะให้ยาที่ช่วยยับยั้งการผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ร่วมกับการให้สารกัมมันตรังสีไอโอดีน (Radioactive Iodine: RAI) หรืออาจรักษาด้วยการผ่าตัดแล้วรับประทานยาทดแทนไทรอยด์ฮอร์โมน
การป้องกันและการดูแลตัวเอง
ผู้ป่วยไม่ควรรับประทานยาเองในขณะที่ยังหาสาเหตุของอาการปวดไม่ได้ เนื่องจากยาอาจไปส่งผลกระทบทำให้ระบบการทำงานส่วนอื่นๆ ของร่างกายผิดปกติไป
ดังนั้นในเบื้องต้น คุณจึงควรดูแลสุขภาพตามหลักสุขอนามัยทั่วไปก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคที่อาจเป็นสาเหตุของการปวดกระบอกตา และป้องภาวะที่ทำให้เกิดอาการปวดกระบอกตาได้ เช่น
- ไม่มองหน้าจอโทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน และหาเวลาพักสายตาบ้างเพื่อให้กล้ามเนื้อตาผ่อนคลาย
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- รับประทานอาหารให้เหมาะสมตามโภชนาการ 5 หมู่ และหมั่นออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่อุณหภูมิร้อนจัด หรือต้องเจอกับแสงแดดจ้านานๆ
- พกยาแก้ปวดติดกระเป๋าไว้บ้าง เพื่อจะได้ระงับอาการปวดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันได้
- หมั่นตรวจสุขภาพตาว่า มีโรคแทรกซ้อนเกิดขึ้นกับดวงตาหรือไม่ หรือมีค่าสายตาที่เปลี่ยนไปหรือไม่
การรักษาโรคที่เป็นตัวต้นเหตุทำให้เกิดอาการปวดกระบอกตาเป็นทางรักษาที่ดีที่สุด เพื่อให้อาการปวดกระบอกตาดีขึ้น และไม่กลับมาเป็นซ้ำ
แต่นอกจากการรักษาโดยแพทย์แล้ว ผู้ป่วยก็ควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานการณ์ที่เป็นปัจจัยทำให้ปวดกระบอกตาได้ด้วย หรือหากผู้ป่วยรู้สึกปวดไม่มาก ก็ให้รับประทานยาแก้ปวดเป็นรักษาเบื้องต้นไปก่อน
ทั้งนี้ หากคุณพบว่า มีอาการปวดรุนแรงมากขึ้น หรือปวดบ่อยๆ ร่วมกับมีไข้สูงด้วย ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง และรับการรักษาที่ถูกต้องอย่างเหมาะสมต่อไป
ตรวจสอบความถูกต้องโดย พญ. วรรณวนัช เสถียรธรรมมณี