อาการไข้ ไอ จาม หรือน้ำมูกไหลที่เกิดขึ้นกับเด็กเล็กหรือคนในบ้าน อาจทำให้หลายคนสับสนว่าเป็นอะไรกันแน่ระหว่างไข้หวัดใหญ่กับการติดเชื้อไวรัส RSV ซึ่งส่วนใหญ่อาการเริ่มต้นของทั้งสองโรคนี้มักจะคล้ายกัน1
แต่รู้หรือไม่ว่าความจริงแล้ว RSV มีความรุนแรงกว่าไข้หวัดใหญ่มาก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ2 สามารถลุกลามไปที่ทางเดินหายใจส่วนล่าง ทำให้หลอดลมฝอยอักเสบ ปอดอักเสบ รวมถึงทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้1
ในบทความนี้จึงจะพาทุกคนไปแยกอาการให้ชัด พร้อมแนะนำวิธีการป้องกันของทั้งสองโรคนี้กัน เพื่อให้คุณรับมือได้อย่างถูกต้องก่อนอาการจะลุกลามหนัก!
สารบัญ
RSV กับไข้หวัดใหญ่ แตกต่างกันอย่างไร?
RSV (Respiratory Syncytial Virus) และไข้หวัดใหญ่ (Influenza) มีความแตกต่างกันตั้งแต่ต้นเหตุของโรค โดยไข้หวัดใหญ่จะเกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus) ที่มีหลายสายพันธุ์ เช่น A, B, C และ D ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ได้ทุกปีตามฤดูกาล3
ส่วน RSV เป็นเชื้อไวรัสที่มุ่งโจมตีระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง ซึ่งมีความอันตรายมากในกลุ่มเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 6 เดือนที่ทางเดินหายใจมีขนาดเล็กและภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ รวมถึงผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคเรื้อรัง ทำให้มีโอกาสที่เชื้อจะลุกลามลงสู่หลอดลมฝอยและปอดจนก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้4,5
โดยการติดต่อของทั้งสองโรคนี้จะมีลักษณะการแพร่กระจายที่คล้ายกันคือ แพร่กระจายผ่านละอองฝอยจากการไอหรือจาม รวมถึงการสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย หรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อแล้วเผลอไปสัมผัสตา จมูก หรือปาก6
อาการของ RSV กับไข้หวัดใหญ่ แตกต่างกันอย่างไร?
หลายคนอาจสงสัยว่าอาการของการติดเชื้อไวรัส RSV กับไข้หวัดใหญ่แตกต่างกันอย่างไร เพราะช่วงแรกอาการของทั้งสองโรคนี้คล้ายกัน1 แต่ถ้าลองสังเกตดูดีๆ อาการของทั้งสองจะมีความแตกต่างกัน โดยอาการของการติดเชื้อไวรัส RSV กับไข้หวัดใหญ่ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่มีความแตกต่างกันดังนี้
อาการในเด็ก
- RSV : เริ่มแรกอาการมักจะคล้ายกับไข้หวัดทั่วไป เช่น ไอ มีไข้ หรือน้ำมูกไหล แต่ถ้าหากเชื้อลุกลามไปยังทางเดินหายใจส่วนล่าง เด็กจะมีอาการที่รุนแรงมากขึ้น เช่น หายใจเร็ว หอบเหนื่อย หายใจมีเสียงหวีด (Wheezing) ซึม และกินนมได้น้อยลง ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นสัญญาณอันตรายที่อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ พ่อแม่ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์ทันที7
- ไข้หวัดใหญ่ : เด็กมักจะมีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ปวดเมื่อยตัว อ่อนเพลีย และอาจมีอาการอาเจียนหรือท้องเสียร่วมด้วย8
อาการในผู้ใหญ่
- RSV : ผู้ใหญ่มักจะมีอาการไม่รุนแรงและมีอาการคล้ายกับไข้หวัดทั่วไป เช่น ไอ จาม มีน้ำมูก หรือปวดศีรษะ แต่ในผู้สูงอายุหรือผู้ใหญ่บางคนที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจหรือโรคปอดเรื้อรัง เมื่อติดเชื้อไวรัส RSV อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนและทำให้อาการของโรคประจำตัวแย่ลงได้9
- ไข้หวัดใหญ่ : ผู้ใหญ่มักมีอาการไข้สูง ไอ มีน้ำมูก คัดจมูก ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ และอ่อนเพลียมาก ทำให้รู้สึกป่วยมากกว่าการติดเชื้อไวรัส RSV10
ความรุนแรงของ RSV และไข้หวัดใหญ่
การติดเชื้อไวรัส RSV และไข้หวัดใหญ่มีระดับความรุนแรงที่แตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่มวัย โดยความรุนแรงของ RSV และไข้หวัดใหญ่มีดังนี้
ความรุนแรงในทารกและเด็กเล็ก
- RSV : ทารกและเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน เป็นวัยที่ทางเดินหายใจมีขนาดเล็กและระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่เต็มที่ ไวรัส RSV จึงลุกลามลงสู่ทางเดินหายใจส่วนล่างได้ง่าย5 ส่งผลให้เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น หลอดลมฝอยอักเสบหรือปอดอักเสบ11 นอกจากนี้เด็กที่เคยติดเชื้อไวรัส RSV รุนแรงยังมีความเสี่ยงสูงที่จะพัฒนาไปเป็นโรคหอบหืดเมื่อโตขึ้นอีกด้วย12
- ไข้หวัดใหญ่ : ในเด็กเล็กโดยเฉพาะเด็กที่มีโรคประจำตัวอาจเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น ปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ หรือชักจากไข้สูง13
ความรุนแรงในผู้ใหญ่
- RSV : ผู้ใหญ่โดยเฉพาะผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจหรือโรคปอด การติดเชื้อไวรัส RSV อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงและเสียชีวิตได้ เช่น เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวหรือปอดอุดกั้นเรื้อรัง14
- ไข้หวัดใหญ่ : ผู้ใหญ่ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคหอบหืด เบาหวาน หรือโรคหัวใจ รวมถึงสตรีมีครรภ์ ไข้หวัดใหญ่อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ สมองอักเสบ หรือกล้ามเนื้ออักเสบได้8
วิธีป้องกันการติดเชื้อไวรัส RSV และไข้หวัดใหญ่
RSV และไข้หวัดใหญ่ต่างเป็นโรคทางเดินหายใจที่ติดต่อได้ง่าย6 การป้องกันตัวเองและคนในครอบครัวตั้งแต่เนิ่นๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อติดเชื้อ โดยวิธีป้องกันการติดเชื้อไวรัส RSV และไข้หวัดใหญ่ มีดังนี้1,3
- ล้างมือบ่อยๆ ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก โดยเฉพาะก่อนสัมผัสหรืออุ้มเด็ก
- หลีกเลี่ยงการนำมือที่ไม่สะอาดไปสัมผัสจมูก ปาก หรือตา
- ปิดปากและจมูกทุกครั้งเวลาไอหรือจาม ด้วยกระดาษทิชชูหรือผ้าสะอาด
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการไข้หวัด
- หลีกเลี่ยงควันบุหรี่ เพราะเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและอาการรุนแรง
- ทำความสะอาดของใช้ในบ้านและพื้นผิวที่สัมผัสเป็นประจำ
- กินอาหารที่สะอาด ดื่มน้ำมากๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ
RSV และไข้หวัดใหญ่ ป้องกันได้ด้วยวัคซีน!
นอกจากวิธีป้องกันพื้นฐาน ปัจจุบันยังมีอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัส RSV และไข้หวัดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นก็คือ การฉีดวัคซีน RSV และวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเป็นเกราะป้องกันสำคัญที่จะช่วยลดการเจ็บป่วยรุนแรง ภาวะแทรกซ้อน และการนอนโรงพยาบาลได้15 โดย 3 กลุ่มหลักที่แนะนำให้ฉีดวัคซีน RSV และวัคซีนไข้หวัดใหญ่ มีดังนี้
1. หญิงตั้งครรภ์
- วัคซีน RSV : ผู้หญิงตั้งครรภ์ควรฉีดวัคซีน RSV ในช่วงอายุครรภ์ 24-36 สัปดาห์ เพื่อส่งต่อภูมิคุ้มกันไปสู่ทารกในครรภ์ ทำให้ทารกมีภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัส RSV ตั้งแต่แรกเกิด ลดความเสี่ยงการติดเชื้อได้นานถึง 6 เดือนแรกของชีวิต15
- วัคซีนไข้หวัดใหญ่ : ผู้หญิงตั้งครรภ์แนะนำให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในช่วงอายุครรภ์ 12-20 สัปดาห์ หรือก่อนหน้านั้นกรณีที่มีภาวะเสี่ยงสูงต่อไข้หวัดใหญ่รุนแรง15
2. ผู้ที่มีอายุระหว่าง 18-59 ปี และมีโรคเรื้อรัง
- วัคซีน RSV : ผู้ที่มีอายุระหว่าง 18-59 ปี และมีโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคเบาหวาน โรคตับ หรือโรคไต สามารถรับวัคซีน RSV ชนิดสองสายพันธุ์ (Bivalent) ได้16 สำหรับผู้ที่อายุ 50-59 ปี อาจเลือกรับวัคซีน RSV ชนิดหนึ่งสายพันธุ์ได้เช่นกัน17
- วัคซีนไข้หวัดใหญ่ : แนะนำให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี ปีละ 1 ครั้ง เนื่องจากไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการกลายพันธุ์และแพร่ระะบาดทุกปี โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหืด โรคหัวใจ หรือโรคเบาหวาน15
3. ผู้สูงอายุ
- วัคซีน RSV : ผู้สูงอายุ 75 ปีขึ้นไปสามารถรับวัคซีน RSV ชนิดใดก็ได้ แต่สำหรับผู้สูงอายุ 60-74 ปี ให้พิจารณาเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัส RSV รุนแรง เช่น โรคปอดเรื้อรัง โรคหัวใจเรื้อรัง โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคตับ หรือโรคไต โดยสามารถรับวัคซีน RSV ชนิดใดก็ได้เช่นกัน15
- วัคซีนไข้หวัดใหญ่ : สำหรับผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป แนะนำให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ชนิด High-Dose ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อให้กระตุ้นภูมิในผู้สูงอายุได้ดีมากขึ้น15
สรุปความแตกต่างของ RSV กับ ไข้หวัดใหญ่
แม้ว่า RSV กับไข้หวัดใหญ่จะเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจที่มีอาการคล้ายกันในช่วงแรก เช่น ไข้ ไอ หรือมีน้ำมูก1 แต่ทั้งสองโรคก็มีความแตกต่างกันในหลายๆ ด้าน โดยโรคติดเชื้อ RSV มักมีความรุนแรงในเด็กเล็กและยังไม่มียารักษาเฉพาะ ต้องดูแลตามอาการเท่านั้น4 ในขณะที่ไข้หวัดใหญ่จะมีอาการเฉียบพลันแต่ยังสามารถใช้ยาต้านไวรัสในการรักษาได้3
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าทั้งสองโรคนี้จะมีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน แต่เมื่อเป็นโรคใดโรคหนึ่งแล้วก็ย่อมส่งผลเสียกับสุขภาพได้เหมือนกันทั้งคู่ ผู้ที่สนใจสามารถปรึกษาแพทย์เพิ่มเติมเกี่ยวกับการรับวัคซีนป้องกัน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อและเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้
PP-A1G-THA-0300
บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
1 อาคารพาร์ค สีลม ชั้น 27 ห้อง 2701-2704 และ 2707-2708 ถนนคอนแวนต์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500 โทรศัพท์ 02-761-4555
*โปรดปรึกษาแพทย์/เภสัชกรเพิ่มเติมหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคหรือการใช้ยา







