Default fallback image

ปวดท้องเฉียบพลัน สัญญาณไส้ติ่งอักเสบ

อาการปวดท้อง เป็นสิ่งที่หลายคนเคยเจอบ่อยๆ บางครั้งอาจเป็นเพียงอาการจากอาหารไม่ย่อย ลำไส้แปรปรวน หรือภาวะเครียด แต่หากอาการปวดนั้นเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน รุนแรง และมีตำแหน่งที่เฉพาะเจาะจง โดยเฉพาะบริเวณท้องน้อยด้านขวา อย่ามองข้าม เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณสำคัญของ “ไส้ติ่งอักเสบ” (Appendicitis) หากปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนอันตรายถึงชีวิตได้

บทความนี้จะพาคุณทำความรู้จักโรคไส้ติ่งอักเสบ ตั้งแต่สาเหตุ อาการ การวินิจฉัย การรักษา เพื่อให้คุณและคนรอบข้างพร้อมรับมือหากภาวะนี้เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว

ไส้ติ่งอักเสบคืออะไร?

ไส้ติ่ง (Appendix) เป็นอวัยวะขนาดเล็ก ลักษณะคล้ายนิ้วมือ ยื่นออกมาจากลำไส้ใหญ่ส่วนต้น แม้จะยังไม่พบหน้าที่ที่แน่ชัดในร่างกายมนุษย์ แต่เมื่อเกิดการอุดตันหรือการติดเชื้อขึ้นภายในไส้ติ่ง จะทำให้เกิดการอักเสบและบวม ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดท้องเฉียบพลัน เราเรียกภาวะนี้ว่า ไส้ติ่งอักเสบ

หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ไส้ติ่งที่อักเสบอาจแตกและปล่อยเชื้อโรคเข้าสู่ช่องท้อง ก่อให้เกิด เยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis) ซึ่งเป็นภาวะร้ายแรงที่อาจคุกคามชีวิตได้

สาเหตุของไส้ติ่งอักเสบ

ต้นเหตุของไส้ติ่งอักเสบมักเกิดจากการอุดตันภายในไส้ติ่งโดยมีปัจจัยที่พบได้บ่อย เช่น

  • อุจจาระแข็งตัว (Fecalith) เป็นสาเหตุหลักที่พบได้มากที่สุด ทำให้ช่องทางไส้ติ่งถูกปิดกั้น
  • การติดเชื้อ ทั้งเชื้อแบคทีเรียและไวรัสที่แพร่กระจายจากระบบทางเดินอาหารหรือระบบหายใจ
  • ต่อมน้ำเหลืองบวม: ภาวะติดเชื้อบางชนิดทำให้ต่อมน้ำเหลืองบริเวณไส้ติ่งโตขึ้นจนไปอุดทางออก
  • สิ่งแปลกปลอม เช่น พยาธิ หรือวัสดุอื่นที่เข้าไปติดในไส้ติ่ง
  • เนื้องอก แม้จะพบได้น้อย แต่ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดการอุดตันได้

เมื่อเกิดการอุดตัน ของเหลวและเมือกภายในไม่สามารถระบายออก จึงกลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดการอักเสบและอาการปวดตามมา

อาการและสัญญาณเตือนที่ควรรู้

อาการของไส้ติ่งอักเสบอาจเริ่มต้นอย่างเล็กน้อย แต่จะแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว หากสังเกตอาการได้เร็วจะช่วยให้เข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที

อาการเริ่มแรก

  • ปวดท้องรอบสะดือ หรือปวดบริเวณลิ้นปี่ เป็นอาการแรกเริ่มที่มักพบได้บ่อยที่สุด ลักษณะการปวดจะคล้ายปวดเสียดๆ ปวดจุกๆ เป็นพักๆ อาจทำให้สับสนกับอาการปวดท้องธรรมดา
  • เบื่ออาหาร และคลื่นไส้ อาเจียน
  • มีไข้ต่ำๆ
  • บางรายอาจมีอาการท้องร่วงหรือท้องผูกร่วมด้วย

อาการที่รุนแรงขึ้น

  • หลังจากปวดท้องบริเวณรอบสะดือประมาณ 12-24 ชั่วโมง อาการปวดจะเริ่มย้ายไปที่ท้องน้อยด้านขวาอย่างชัดเจน เป็นอาการที่สำคัญที่สุดของไส้ติ่งอักเสบ
  • เมื่อใช้นิ้วมือกดเบาๆ ที่บริเวณท้องน้อยด้านขวา จะรู้สึกเจ็บอย่างมาก และเมื่อปล่อยมือก็จะยิ่งรู้สึกเจ็บกว่าเดิม (Rebound Tenderness)
  • ผู้ป่วยมักจะเดินตัวงอ หรือไม่สามารถไอหรือจามได้ตามปกติ เนื่องจากจะทำให้รู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น
  • หากไส้ติ่งเริ่มมีการอักเสบที่รุนแรงมากขึ้น อาจทำให้มีไข้สูงขึ้น

สิ่งสำคัญคือ ความปวดของไส้ติ่งอักเสบจะไม่ทุเลาลงเอง ต่างจากอาการปวดท้องทั่วไปที่อาจดีขึ้นเมื่อพักหรือกินยา

การวินิจฉัยและการรักษา

เมื่อมีอาการเข้าข่ายไส้ติ่งอักเสบ ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด แพทย์จะวินิจฉัยจากข้อมูลต่อไปนี้

  • การซักประวัติ โดยสอบถามอาการปวดท้องอย่างละเอียด เช่น ตำแหน่ง ความรุนแรง และระยะเวลาที่ปวด
  • การคลำและกดบริเวณหน้าท้องเพื่อหาตำแหน่งที่เจ็บ
  • การตรวจเลือดเพื่อดูค่าเม็ดเลือดขาว (White Blood Cells) ซึ่งมักจะสูงขึ้นในภาวะที่มีการอักเสบ
  • การตรวจปัสสาวะ เพื่อแยกอาการออกจากภาวะอื่นๆ เช่น การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
  • การตรวจทางภาพรังสี ได้แก่
    • การทำอัลตราซาวด์ (Ultrasound) สามารถช่วยยืนยันการวินิจฉัยไส้ติ่งอักเสบได้ โดยการดูขนาดและลักษณะของไส้ติ่งที่บวม
    • การทำ CT Scan (Computed Tomography) เป็นการตรวจที่แม่นยำที่สุดและสามารถช่วยให้แพทย์มองเห็นภาพภายในช่องท้องได้อย่างชัดเจน เพื่อยืนยันการอักเสบของไส้ติ่งและแยกสาเหตุจากโรคอื่นๆ

วิธีการรักษาหลักของไส้ติ่งอักเสบคือ การผ่าตัด โดยมี 2 วิธีหลักๆ ดังนี้

  • การผ่าตัดแบบเปิด (Open Appendectomy): เป็นการผ่าตัดแบบดั้งเดิม โดยแพทย์จะผ่าเปิดหน้าท้องบริเวณท้องน้อยด้านขวา เพื่อนำไส้ติ่งที่อักเสบออก
  • การผ่าตัดส่องกล้อง (Laparoscopic Appendectomy): เป็นการผ่าตัดที่นิยมในปัจจุบัน โดยแพทย์จะเจาะรูเล็กๆ 2-3 รูที่หน้าท้อง และสอดกล้องพร้อมเครื่องมือผ่าตัดเข้าไปเพื่อนำไส้ติ่งออก วิธีนี้จะทำให้บาดแผลมีขนาดเล็ก เจ็บปวดน้อย และฟื้นตัวได้เร็วกว่า

นอกจาก 2 วิธีหลักข้างต้นแล้ว ปัจจุบันยังมีอีก 1 ทางเลือก คือการผ่าตัดรักษาไส้ติ่งอักเสบแบบส่องกล้องแผลเดียว หรือ Single Incision Laparoscopic Appendectomy (SILA)

คือการผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบ โดยแพทย์จะเจาะเปิดแผลเพียงแผลเดียวบริเวณสะดือ ขนาดประมาณ 2 เซนติเมตร จากนั้นจึงใช้เครื่องมือผ่าตัดสอดเข้าไป เพื่อตัดไส้ติ่งออก แล้วจึงนำไส้ติ่งออกมาทางแผลที่เจาะไว้ เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะแผลมีขนาดเล็ก และเจ็บน้อยกว่า

สามารถป้องกันไส้ติ่งอักเสบได้หรือไม่?

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีที่สามารถป้องกันการเกิดไส้ติ่งอักเสบได้ 100% เนื่องจากสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการอุดตันที่เกิดขึ้นเองภายในร่างกาย อย่างไรก็ตาม การรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมออาจช่วยลดความเสี่ยงได้ เช่น

  • รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผักและผลไม้ เพื่อช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีและป้องกันอาการท้องผูก ซึ่งอาจลดความเสี่ยงของการเกิดอุจจาระแข็งตัวได้
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยให้ลำไส้บีบตัวได้ดีและช่วยลดโอกาสในการท้องผูก

คำแนะนำในการดูแลตัวเองหลังการผ่าตัด

หลังการผ่าตัดไส้ติ่ง ผู้ป่วยมักจะพักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณ 1-3 วัน โดยมีคำแนะนำในการดูแลตัวเองดังนี้

  • รักษาความสะอาดของแผลตามคำแนะนำของแพทย์ และหลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้แรงหน้าท้องมาก
  • รับประทานอาหารอ่อนๆ และค่อยๆ ปรับเป็นอาหารปกติเมื่ออาการดีขึ้น
  • พยายามลุกเดินเบาๆ ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อกระตุ้นให้ลำไส้ทำงานและป้องกันภาวะแทรกซ้อน

สัญญาณอันตรายที่ต้องกลับไปพบแพทย์

  • มีไข้สูง
  • มีอาการปวดแผลมากผิดปกติ
  • แผลผ่าตัดบวมแดง มีหนอง หรือมีกลิ่น
  • มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือเบื่ออาหารอย่างรุนแรง

อาการปวดท้องเป็นอาการที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากความปวดนั้นเกิดขึ้นอย่างรุนแรงและมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย การรู้เท่าทันสัญญาณเตือนของไส้ติ่งอักเสบจะช่วยให้คุณสามารถเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต

ปวดท้องด้านขวา ใช่ไส้ติ่งอักเสบหรือเปล่า? เป็นแล้วต้องผ่าตัดไหม? อยากปรึกษาคุณหมอ ตรวจให้แน่ชัด ทักหาทีม HDcare ได้เลย เราพร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวดูแลสุขภาพคุณ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับคุณหมอเฉพาะทาง ทำนัดปรึกษาคุณหมอได้รวดเร็ว จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย

Scroll to Top