เชื้อไวรัส RSV หรือ Respiratory Syncytial Virus เป็นไวรัสที่มักระบาดในช่วงฤดูฝนและต้นฤดูหนาว หรือในช่วงเดือนกรกฎาคมไปจนถึงพฤศจิกายนของทุกปี1 ซึ่งเชื้อไวรัสนี้สามารถทำให้ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง 5 กลุ่ม ได้แก่ ทารกอายุน้อยกว่า 6 เดือน เด็กที่คลอดก่อนกำหนด เด็กเล็กที่มีโรคประจำตัว ผู้สูงอายุ และผู้ใหญ่ที่มีโรคประจำตัว อาจมีอาการรุนแรงจากการติดเชื้อไวรัส RSV ได้ เสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ จนต้องนอนโรงพยาบาลและอาจถึงขั้นเสียชีวิต2,3
บทความนี้จึงจะพาทุกคนไปเช็ก 5 กลุ่มเสี่ยงที่ควรระวังเชื้อไวรัส RSV เป็นพิเศษ เพื่อสามารถป้องกัน ดูแล และลดความเสี่ยงให้กับคนรอบข้างได้อย่างถูกวิธี
สารบัญ
1. ทารกอายุน้อยกว่า 6 เดือน
เด็กทารกแรกเกิดที่มีอายุน้อยกว่า 6 เดือน มีระบบภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรง4 อีกทั้งหลอดลมและปอดของทารกอายุน้อยกว่า 6 เดือนยังเล็กมาก5 เมื่อมีการติดเชื้อ ไวรัส RSV จะเข้าไปทำลายเยื่อบุทางเดินหายใจ เกิดการบวมและการบีบแฟบของถุงลม มีสารคัดหลั่งหรือเสมหะจำนวนมากเกิดขึ้น ทำให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ นอกจากนี้การติดเชื้อไวรัส RSV ในเด็กแรกเกิดมักนำไปสู่ภาวะหลอดลมฝอยอักเสบ ทารกจึงมีอาการหายใจลำบาก หายใจครืดคราด มีเสียงหวีด อาจถึงขั้นต้องใช้กล้ามเนื้อหน้าอกในการช่วยหายใจ ทารกบางคนอาจหยุดหายใจชั่วคราว ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายถึงแก่ชีวิตได้5 นอกจากนี้การติดเชื้อไวรัส RSV รุนแรงในทารกยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคหอบหืดเมื่อโตขึ้นอีกด้วย6 ด้วยเหตุนี้ การเสริมภูมิคุ้มกัน RSV ในหญิงตั้งครรภ์จึงเป็นอีกวิธีการสำคัญที่แม่จะเตรียมความพร้อมให้ทารกมีภูมิคุ้มกันและปลอดภัยจาก RSV ได้ตั้งแต่ก่อนคลอด7
2. กลุ่มเด็กคลอดก่อนกำหนด
เด็กเล็กโดยเฉพาะเด็กทารกที่คลอดก่อนกำหนดเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงมากที่จะติดเชื้อไวรัส RSV รุนแรงจนต้องนอนโรงพยาบาล โดยปกติร่างกายจะสามารถดักจับเชื้อโรคได้ด้วยภูมิคุ้มกันในสารคัดหลั่งทางเดินหายใจและในเลือดแต่ในเด็กทารกที่คลอดก่อนกำหนดจะมีระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่สมบูรณ์มากนัก เนื่องจากไม่ได้รับภูมิคุ้มกันที่เพียงพอจากแม่ที่เพียงพอเท่ากับเด็กที่คลอดก่อนกำหนดทำให้สูญเสียเกราะป้องกันเชื้อไวรัส RSV ส่วนนี้ไป นอกจากนี้ทารกที่คลอดก่อนกำหนดยังมีโครงสร้างของปอดที่ยังไม่สมบูรณ์อีกด้วย จึงมีโอกาสติดเชื้อและป่วยรุนแรงจาก RSV ได้มากกว่าเด็กที่คลอดตามกำหนด5,8
คุณพ่อคุณแม่อาจไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่าลูกจะคลอดก่อนกำหนดหรือไม่ จึงควรป้องกันไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วยการเริ่มรับวัคซีน RSV ได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 24 สัปดาห์เป็นต้นไป7
3. กลุ่มเด็กเล็กที่มีโรคประจำตัว
เด็กเล็กอายุน้อยกว่า 2 ปีที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคทางเดินอาหาร กลุ่มอาการดาวน์และโรคอื่น ๆ มีอัตราการนอนโรงพยาบาลจากการติดเชื้อไวรัส RSV สูงกว่าเด็กทั่วไปถึง 2 เท่า นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จะนอนโรงพยาบาลหรือเข้ารักษาในไอซียูนานกว่า และมีโอกาสที่จะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจสูงกว่าเด็กทั่วไป9
4. กลุ่มผู้สูงอายุ
ผู้สูงอายุโดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป จัดเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการป่วยรุนแรงจากการติดเชื้อไวรัส RSV10 เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันจะเสื่อมประสิทธิภาพลง ทั้งในแง่ปริมาณของเซลล์ภูมิคุ้มกันและประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ ทำให้ผู้สูงอายุติดเชื้อง่ายขึ้น ตอบสนองต่อวัคซีนได้แย่ลง และมีแนวโน้มที่จะมีภาวะแทรกซ้อนตามมาในระยะยาว11
เพราะปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสสำหรับรักษาโรคติดเชื้อไวรัส RSV โดยตรง แพทย์จึงไม่นิยมส่งทดสอบเชื้อ RSV ในผู้สูงอายุและให้การรักษาตามอาการ ทำให้เชื้อไวรัส RSV ไม่เป็นที่รู้จักเช่นเดียวกับโรคอื่น ๆ อย่างไข้หวัดใหญ่หรือโควิด 19 แต่ในปัจจุบันมีการศึกษามากขึ้นทำให้พบว่าเกือบ 1 ใน 3 ของผู้ใหญ่ที่นอนโรงพยาบาลเพราะติดเชื้อไวรัส RSV ต้องนอนรักษาตัวในไอซียู หากยิ่งมีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด (หอบหืดหรือปอดอุดกั้นเรื้อรัง) ร่วมด้วยยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะมีอาการรุนแรงมากขึ้นไปอีก11
5. กลุ่มผู้ที่มีโรคเรื้อรัง
แม้ว่าในบางครั้งเชื้อไวรัส RSV อาจทำให้เกิดอาการเพียงเล็กน้อยในผู้ใหญ่ แต่ในกลุ่มผู้ที่มีโรคเรื้อรังอาจมีอาการรุนแรงขึ้นได้ เช่น ปอดอักเสบ หรือระบบทางเดินหายใจล้มเหลว ในผู้ที่มีโรคเรื้อรัง ได้แก่ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคเลือด ที่เป็นความเสี่ยงสำคัญทำให้เกิดอาการรุนแรงจนต้องนอนโรงพยาบาล เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ผู้ที่มีอายุมาก เกิดปอดอักเสบ ใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตในผู้ติดเชื้อไวรัส RSV 10,11
ผู้ที่มีโรคเรื้อรังต่อไปนี้คือกลุ่มเสี่ยงที่ควรระวังและป้องกันเชื้อไวรัส RSV 12
- โรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจล้มเหลว โรคหลอดเลือดหัวใจ หรือโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด เป็นต้น
- โรคปอดเรื้อรัง เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ถุงลมโป่งพอง โรคหอบ หรือโรคปอดอื่น ๆ
- โรคไตเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคไตเรื้อรังระยะที่ 5 หรือกำลังฟอกไตหรือได้รับการปลูกถ่ายไต
- โรคเบาหวาน โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะเบาหวานแทรกซ้อน เช่น โรคไตเรื้อรัง ระบบประสาทเสื่อม จอประสาทตาเสื่อม มีอวัยวะสำคัญเสียหายจากโรคเบาหวาน หรือกำลังใช้ยาอินซูลินหรือยากลุ่มยับยั้ง SGLT2
- โรคระบบประสาทและกล้ามเนื้อที่ส่งผลต่อการทำงานของระบบทางเดินหายใจ
- โรคตับ
- โรคเลือด เช่น โรคเม็ดเลือดรูปเคียวหรือธาลัสซีเมีย
- โรคอ้วนที่มีค่าดัชนีมวลกาย 40 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตรขึ้นไป
- ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องปานกลางจนถึงรุนแรง
ทั้งนี้ หากไม่มั่นใจว่าโรคประจำตัวที่เป็นอยู่นั้นเสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรงจากเชื้อไวรัส RSV หรือไม่ สามารถปรึกษาแพทย์ประจำตัวเพื่อประเมินความเสี่ยงและสอบถามเกี่ยวกับการรับวัคซีน RSV เพื่อป้องกันล่วงหน้าได้เลย
วิธีป้องกันไวรัส RSV
เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มียารักษาที่เจาะจงต่อโรคติดเชื้อไวรัส RSV การป้องกันการติดเชื้อจึงมีความสำคัญโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง โดยวิธีป้องกันไวรัส RSV สามารถทำได้หลายวิธีดังนี้
1. ดูแลเรื่องสุขอนามัย13
เนื่องจากเชื้อไวรัส RSV เป็นเชื้อที่แพร่กระจายผ่านละอองฝอยในอากาศ การสัมผัสสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อโดยตรง หรือการสัมผัสพื้นผิวที่ปนเปื้อนเชื้อ การลดความเสี่ยงในการรับเชื้อจึงควรเริ่มจากการหลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยง และหมั่นทำความสะอาดหรือฆ่าเชื้ออย่างสม่ำเสมอ ซึ่งสามารถทำได้ด้วยวิธีต่อไปนี้13
- ล้างมือบ่อย ๆ
- สวมหน้ากากอนามัย
- ทำให้อากาศสะอาดและถ่ายเทดี
- ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อสิ่งของอยู่เสมอ
- หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้ป่วย
2. การฉีดวัคซีนป้องกัน RSV
ปัจจุบันในประเทศไทยมีวัคซีนป้องกัน RSV แล้ว โดยแนะนำใน 3 กลุ่มเสี่ยงสำคัญดังนี้
- หญิงตั้งครรภ์ : ปัจจุบันมีนวัตกรรมที่ปกป้องทารกจาก RSV ได้โดยการฉีดวัคซีนป้องกัน RSV ให้กับผู้หญิงตั้งครรภ์ในช่วงอายุครรภ์ 24-36 สัปดาห์ โดยวัคซีนช่วยส่งผ่านภูมิคุ้มกันทางรกไปยังทารกในครรภ์ได้ ทำให้ทารกมีภูมิคุ้มกันตั้งแต่แรกเกิดและได้รับการปกป้องจากเชื้อไวรัส RSV ได้นานถึง 6 เดือนแรกของชีวิต7 ซึ่งเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อสูงสุด2
ถ้าคุณแม่พลาดโอกาสในการรับวัคซีน RSV ขณะตั้งครรภ์ อาจปรึกษาแพทย์เพื่อให้ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปในเด็กทารกได้3
- ผู้ที่มีอายุระหว่าง 18 ถึง 59 ปีที่มีโรคประจำตัว : เช่น โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ หรือโรคทางเดินหายใจ ปัจจุบันวัคซีน RSV ชนิด 2 สายพันธุ์อนุมัติให้ใช้ในคนกลุ่มอายุ 18 ปีขึ้นไปแล้ว14 สำหรับผู้ที่มีอายุ 50-59 ปีอาจเลือกรับวัคซีน RSV ชนิด 1 สายพันธุ์ได้เช่นกัน15
- ผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป : การฉีดวัคซีนป้องกัน RSV จะช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัส RSV รุนแรง ที่อาจนำไปสู่ภาวะหลอดลมอักเสบและปอดบวมได้ โดยผู้สูงอายุสามารถเลือกรับได้ทั้งวัคซีน RSV ชนิด 2 สายพันธุ์ที่มีทั้งสายพันธุ์ A และ B หรือชนิด 1 สายพันธุ์ก็ได้7
RSV เป็นไวรัสที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะกับเด็กทารก ผู้สูงอายุ และคนที่มีโรคเรื้อรัง การรู้ว่าตัวเองหรือคนใกล้ชิดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง รวมถึงรู้วิธีการป้องกันที่ถูกต้องและทำตามอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อและป่วยรุนแรงจากเชื้อไวรัสนี้ได้
PP-A1G-THA-0280
บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
1 อาคารพาร์ค สีลม ชั้น 27 ห้อง 2701-2704 และ 2707-2708 ถนนคอนแวนต์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500 โทรศัพท์ 02-761-4555
*โปรดปรึกษาแพทย์/เภสัชกรเพิ่มเติมหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคหรือการใช้ยา