Default fallback image

15 ข้อควรรู้ เกี่ยวกับภาวะอุ้งเชิงกราน ช่องคลอดหย่อนยาน

ผู้หญิงทุกคนต่างผ่านการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายมากมายตลอดช่วงชีวิต ตั้งแต่การตั้งครรภ์ การคลอดบุตร ไปจนถึงวัยหมดประจำเดือน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อร่างกายเราในรูปแบบต่างๆ และหนึ่งในภาวะที่อาจเกิดขึ้นได้ คือ ภาวะอุ้งเชิงกรานและช่องคลอดหย่อนยาน ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้หญิงหลายคน

บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงภาวะนี้มากขึ้น ด้วยข้อควรรู้ที่จะช่วยให้คุณดูแลสุขภาพเชิงกรานและช่องคลอดของคุณได้อย่างถูกต้อง

สารบัญ

ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนคืออะไร

ภาวะช่องคลอดหย่อนยาน (Pelvic Organ Prolapse) คือ ภาวะที่อวัยวะภายในบริเวณอุ้งเชิงกราน ได้แก่ มดลูก กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ หรือทวารหนัก เคลื่อนต่ำหรือล้ำออกจากตำแหน่งปกติภายในร่างกาย

สาเหตุหลักมาจากความอ่อนแอหรือความเสียหายของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อพยุงอวัยวะบริเวณนี้ ทำให้ไม่สามารถรองรับอวัยวะได้ดีเหมือนเดิม ส่งผลให้เกิดความไม่สบาย และรบกวนระบบทางเดินปัสสาวะหรือระบบขับถ่าย

ช่องคลอดหย่อนยานต่างจากภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนอย่างไร

ช่องคลอดหย่อนยาน หรือภาวะผนังช่องคลอดหย่อน (Vaginal Prolapse) เป็นรูปแบบย่อยของภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน โดยเจาะจงที่การหย่อนคล้อยของผนังช่องคลอด

อาจเป็นด้านหน้า ซึ่งทำให้กระเพาะปัสสาวะเคลื่อนลง (Cystocele) หรือด้านหลัง ซึ่งส่งผลให้ลำไส้ตรงดันออกมา (Rectocele) สรุปคือ ช่องคลอดหย่อนยานคือภาวะที่เกี่ยวข้องกับการหย่อนของโครงสร้างบริเวณช่องคลอดโดยเฉพาะ

ใครบ้างที่เสี่ยงต่อภาวะนี้

ผู้หญิงทุกคนมีโอกาสเกิดภาวะนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น

  • การตั้งครรภ์และการคลอดบุตรทางช่องคลอด: โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงที่ผ่านการคลอดบุตรหลายครั้ง หรือมีการคลอดบุตรที่ยากลำบาก เช่น ทารกตัวใหญ่ หรือมีการใช้เครื่องมือช่วยคลอด ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันและยืดกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้เสียหายได้
  • อายุที่มากขึ้น: เมื่ออายุมากขึ้น เนื้อเยื่อเกี่ยวพันและกล้ามเนื้อในอุ้งเชิงกรานของเราจะค่อยๆ อ่อนแอลงและสูญเสียความยืดหยุ่นไปตามธรรมชาติ ทำให้ความสามารถในการพยุงอวัยวะต่างๆ ลดลง
  • ภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง: พบมากในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนมีบทบาทสำคัญในการรักษาความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อ เมื่อฮอร์โมนลดลง เนื้อเยื่อก็จะอ่อนแอลงตามไปด้วย
  • ภาวะที่เพิ่มแรงดันในช่องท้อง: เช่น โรคอ้วน การไอเรื้อรังจากโรคหอบหืดหรือโรคปอด ท้องผูกเรื้อรังที่ต้องเบ่งถ่ายเป็นประจำ หรือการยกของหนักเป็นประจำ ซึ่งล้วนเพิ่มแรงดันต่อพื้นอุ้งเชิงกรานอย่างต่อเนื่อง
  • พันธุกรรม: บางรายอาจมีความบกพร่องทางพันธุกรรมที่ทำให้เนื้อเยื่อเกี่ยวพันไม่แข็งแรงโดยกำเนิด ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะหย่อนได้ง่ายกว่าคนทั่วไป

อาการของภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนสังเกตได้อย่างไร

อาการของภาวะนี้มีตั้งแต่ไม่รู้สึกผิดปกติ จนถึงมีผลกระทบชัดเจนในชีวิตประจำวัน อาการพบบ่อย เช่น

  • รู้สึกหน่วงๆ หรือมีก้อนตุงที่ช่องคลอด: มีความรู้สึกคล้ายมีอะไรถ่วงอยู่ หรือมีก้อนเนื้อยื่นออกมาจากช่องคลอด โดยเฉพาะเมื่อยืนนานๆ
  • รู้สึกเหมือนมีอะไรดันออกมาจากช่องคลอด: บางครั้งอาจรู้สึกได้ถึงการสัมผัสก้อนเนื้อที่ยื่นออกมานอกช่องคลอด ซึ่งอาจสังเกตเห็นได้ชัดเจนขึ้นเมื่อไอ จาม หรือเบ่ง
  • ปัสสาวะเล็ด ขณะไอ จาม หรือหัวเราะ: เป็นอาการของภาวะปัสสาวะเล็ดเมื่อมีแรงดันในช่องท้อง ซึ่งเกิดจากกระเพาะปัสสาวะหรือท่อปัสสาวะหย่อน ทำให้ควบคุมการกลั้นปัสสาวะได้ไม่ดี
  • ปัสสาวะลำบาก หรือรู้สึกปัสสาวะไม่สุด: การหย่อนของกระเพาะปัสสาวะอาจทำให้ท่อปัสสาวะบิดเบี้ยว ทำให้ปัสสาวะได้ยาก หรือรู้สึกว่าปัสสาวะออกไม่หมด
  • ท้องผูก ถ่ายลำบาก หรือต้องใช้นิ้วช่วยดันบริเวณช่องคลอดขณะเบ่งถ่าย: หากลำไส้ตรงหย่อน อาจทำให้การขับถ่ายอุจจาระทำได้ยาก และบางรายอาจต้องใช้นิ้วช่วยดันผนังช่องคลอดเพื่อให้อุจจาระเคลื่อนตัวออกมา
  • รู้สึกไม่สบายตัว หรือเจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์: ในบางราย การหย่อนของอวัยวะอาจทำให้รู้สึกเจ็บปวด หรือไม่สบายตัวในระหว่างมีเพศสัมพันธ์

ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนส่งผลต่อชีวิตประจำวันอย่างไร

ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนไม่เพียงกระทบต่อร่างกาย แต่ยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตโดยรวมในหลายด้าน ได้แก่

  • ร่างกาย: อาจรู้สึกหน่วงหรืออึดอัดบริเวณอุ้งเชิงกราน ปวดหลังส่วนล่าง หรือเจ็บขณะเคลื่อนไหว
  • การขับถ่าย: มีอาการปัสสาวะเล็ดเมื่อไอหรือจาม ท้องผูก หรือถ่ายยาก รบกวนชีวิตประจำวัน
  • เพศสัมพันธ์: ช่องคลอดเปลี่ยนรูปหรือมีก้อนยื่นออกมา อาจทำให้เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์และลดความพึงพอใจ
  • จิตใจ: เกิดความเครียด วิตกกังวล หรือไม่มั่นใจ บางคนอาจหลีกเลี่ยงกิจกรรมทางสังคม

อาการเหล่านี้อาจดูเล็กน้อยในช่วงแรก แต่หากปล่อยไว้อาจส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจอย่างต่อเนื่อง

ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางเพศอย่างไร

ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนสามารถส่งผลต่อความสัมพันธ์ทางเพศและชีวิตคู่ได้ โดยอาจรู้สึกเจ็บหรือรู้สึกไม่สบายขณะมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงความรู้สึกว่ามีก้อนยื่นออกจากช่องคลอด อาจทำให้ผู้หญิงหลีกเลี่ยงกิจกรรมทางเพศ และลดความใกล้ชิดกับคู่ครอง

นอกจากนี้ ความไม่มั่นใจในรูปร่างที่เปลี่ยนไป หรือกังวลเรื่องปัสสาวะเล็ดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ อาจส่งผลต่อความพึงพอใจและความสุขในชีวิตคู่ 

ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน มีกี่ชนิด

การหย่อนของอวัยวะในอุ้งเชิงกรานสามารถแบ่งตามตำแหน่งได้ดังนี้

  • กระเพาะปัสสาวะหย่อน (Cystocele): เกิดจากการที่ผนังช่องคลอดด้านหน้าหย่อนคล้อยลงมา ทำให้กระเพาะปัสสาวะซึ่งอยู่ติดกันเคลื่อนต่ำลงมาด้วย บางครั้งอาจยื่นออกมาจากช่องคลอด ทำให้เกิดอาการปัสสาวะผิดปกติได้
  • ลำไส้ตรงหย่อน (Rectocele): เป็นภาวะที่ผนังช่องคลอดด้านหลังหย่อนคล้อยลง ทำให้ลำไส้ตรงซึ่งอยู่ด้านหลังช่องคลอดเคลื่อนต่ำลงมาและดันผนังช่องคลอดออกมาทางช่องคลอด ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับปัญหาการขับถ่ายอุจจาระ
  • มดลูกหย่อน (Uterine Prolapse): คือภาวะที่มดลูกเคลื่อนต่ำลงมาในช่องคลอด บางครั้งอาจยื่นออกมานอกช่องคลอดได้ ซึ่งพบได้บ่อยในผู้หญิงที่เคยคลอดบุตรหลายคน หรืออยู่ในวัยหมดประจำเดือน
  • ลำไส้เล็กหย่อน (Enterocele): เป็นภาวะที่ลำไส้เล็กเคลื่อนลงมาในช่องว่างระหว่างช่องคลอดกับลำไส้ตรง หรือระหว่างช่องคลอดกับกระเพาะปัสสาวะ แล้วดันผนังช่องคลอดให้หย่อนลงมา
  • ยอดช่องคลอดหย่อน (Vaginal Vault Prolapse): ภาวะนี้มักเกิดขึ้นในผู้หญิงที่ได้รับการผ่าตัดมดลูกออกไปแล้ว (Hysterectomy) โดยที่ยอดของช่องคลอดซึ่งเป็นส่วนที่เคยต่อกับมดลูก เกิดการหย่อนคล้อยลงมาและอาจยื่นออกมานอกช่องคลอดได้

การวินิจฉัยภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน

แพทย์จะใช้ข้อมูลจากหลายด้านร่วมกันในการวินิจฉัยภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน เพื่อให้ได้ผลที่แม่นยำ และสามารถวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยกระบวนการวินิจฉัยจะประกอบด้วย

  1. การซักประวัติ แพทย์จะสอบถามรายละเอียดอาการ เช่น ลักษณะของอาการ ความถี่ ความรุนแรง ตลอดจนปัจจัยที่ทำให้อาการดีขึ้นหรือแย่ลง รวมถึงประวัติส่วนตัวที่เกี่ยวข้อง เช่น การตั้งครรภ์และการคลอดบุตร การผ่าตัดในอดีต โรคประจำตัว ยาที่ใช้อยู่เป็นประจำ และพฤติกรรมการขับถ่าย ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยให้แพทย์เข้าใจภาพรวมของสุขภาพและปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกี่ยวข้อง
  2. การตรวจร่างกาย ขั้นตอนสำคัญคือการตรวจภายใน เพื่อประเมินระดับการหย่อนของอวัยวะในอุ้งเชิงกราน แพทย์อาจให้เบ่ง ไอ หรือเกร็งกล้ามเนื้อ เพื่อดูว่าอวัยวะส่วนใดหย่อนคล้อยลงมา และอยู่ในระดับใด บางกรณีอาจมีการตรวจทางทวารหนักเพิ่มเติม เพื่อตรวจดูภาวะลำไส้ตรงหย่อนร่วมด้วย
  3. การตรวจเพิ่มเติม ในบางราย แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจเพิ่มเติม เพื่อยืนยันผลการวินิจฉัย หรือประเมินความรุนแรงของภาวะ เช่น
  • การตรวจปัสสาวะ เพื่อดูว่ามีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะหรือไม่
  • การตรวจอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) เพื่อตรวจดูตำแหน่งของอวัยวะในอุ้งเชิงกราน
  • การตรวจการทำงานของกระเพาะปัสสาวะและท่อปัสสาวะ (Urodynamic Study) ในกรณีที่มีปัญหาการปัสสาวะอย่างชัดเจน เพื่อประเมินการทำงานของระบบทางเดินปัสสาวะอย่างละเอียด

การรักษาโดยไม่ต้องผ่าตัด

ในกรณีที่ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนยังไม่รุนแรง หรือผู้ป่วยไม่สะดวกหรือไม่ต้องการเข้ารับการผ่าตัด แพทย์อาจแนะนำวิธีรักษาแบบไม่ผ่าตัด ซึ่งเน้นการเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน และการใช้อุปกรณ์ช่วยพยุงอวัยวะที่หย่อนคล้อย โดยมีแนวทางหลักๆ ดังนี้

  1. การออกกำลังกายกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Kegel Exercises) เป็นวิธีที่ปลอดภัย ง่าย และได้ผลดีในการฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกราน ซึ่งทำหน้าที่สำคัญในการพยุงอวัยวะภายใน การฝึกอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดอาการหย่อนคล้อย และอาจป้องกันไม่ให้อาการลุกลามไปมากขึ้น โดยแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดสามารถแนะนำวิธีการฝึกที่ถูกต้องให้กับผู้ป่วยได้
  2. การใช้อุปกรณ์พยุงช่องคลอด Pessary คืออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทำจากซิลิโคน มีหลากหลายรูปทรงและขนาด ออกแบบมาเพื่อใส่เข้าไปในช่องคลอดเพื่อพยุงอวัยวะภายในที่หย่อนให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ หรือใช้ระหว่างรอการผ่าตัด แพทย์จะเป็นผู้เลือกชนิดและขนาดของ Pessary ที่เหมาะสมกับร่างกายของแต่ละคน พร้อมแนะนำวิธีใช้งาน การดูแล และทำความสะอาดอย่างถูกวิธี เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ

การรักษาโดยการผ่าตัด

ในกรณีที่ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนมีความรุนแรง การรักษาแบบไม่ผ่าตัดไม่ได้ผล หรืออาการส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก แพทย์อาจพิจารณาการผ่าตัด ซึ่งมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและระดับความรุนแรงของภาวะหย่อน รวมถึงสุขภาพและความต้องการของผู้ป่วย โดยแนวทางการผ่าตัดหลักๆ ได้แก่

  1. การผ่าตัดซ่อมแซมผนังช่องคลอด เป็นการเสริมความแข็งแรงให้กับผนังช่องคลอดที่หย่อนคล้อย โดยแพทย์อาจเย็บกระชับกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่อ่อนแอ หรือในบางกรณีอาจใช้ตาข่ายสังเคราะห์ (Mesh) เพื่อเสริมความมั่นคงของผนังช่องคลอด วิธีนี้ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างของอุ้งเชิงกรานให้กลับมาแข็งแรงใกล้เคียงปกติ
  2. การผ่าตัดยกหรือเอามดลูกออก หากมีภาวะมดลูกหย่อนลงมาจากตำแหน่งเดิม แพทย์อาจผ่าตัดยกมดลูกกลับขึ้นไปในตำแหน่งที่เหมาะสม หรือในกรณีที่มีภาวะหย่อนรุนแรงร่วมกับปัญหาอื่น เช่น เนื้องอกมดลูก อาจแนะนำให้ตัดมดลูกออก (Hysterectomy) พร้อมกับการผ่าตัดแก้ไขอวัยวะอื่นที่หย่อนร่วมด้วย
  3. การผ่าตัดแขวนอวัยวะที่หย่อน เป็นการผ่าตัดที่ใช้เส้นเอ็นเทียม หรือเนื้อเยื่อของผู้ป่วยเอง เพื่อช่วยพยุงและยึดอวัยวะภายใน เช่น กระเพาะปัสสาวะหรือไส้ตรง ให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง วิธีนี้สามารถทำได้ทั้งทางช่องคลอด หรือผ่านทางหน้าท้อง ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดแบบเปิดหรือผ่านกล้อง ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละราย

การเลือกวิธีการผ่าตัดจะขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะพิจารณาจากตำแหน่งและระดับความหย่อนของอวัยวะ สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย และความต้องการเฉพาะบุคคล เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด

การฟื้นตัวหลังผ่าตัด

การฟื้นตัวหลังผ่าตัดภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนขึ้นอยู่กับชนิดของการผ่าตัดและสภาพร่างกายของผู้ป่วย โดยทั่วไปผู้ป่วยจะพักรักษาตัวในโรงพยาบาลไม่กี่วัน และต้องพักฟื้นที่บ้านต่อหลายสัปดาห์ พร้อมรับคำแนะนำเรื่องการดูแลแผลและการใช้ยาอย่างเคร่งครัด

ในช่วงแรก ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้แรงมาก เช่น ยกของหนัก ออกกำลังกายรุนแรง หรือเบ่ง เพื่อไม่ให้กระทบต่อแผลผ่าตัด ควบคู่กับการดูแลเรื่องขับถ่ายและโภชนาการที่ดี แพทย์จะนัดติดตามอาการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย

วิธีฝึก Kegel Exercise ที่ถูกต้อง

การฝึก Kegel Exercise ที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

  • ค้นหากล้ามเนื้อที่ถูกต้อง: วิธีที่ง่ายที่สุดคือ ลองขมิบกล้ามเนื้อเหมือนตอนที่กำลังกลั้นปัสสาวะ หรือตอนที่พยายามกลั้นลมในลำไส้ คุณควรจะรู้สึกว่ากล้ามเนื้อบริเวณรอบช่องคลอดและทวารหนักถูกดึงขึ้นไปด้านใน ไม่ใช่การเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง ก้น หรือต้นขา
  • วิธีการขมิบ: เมื่อพบกล้ามเนื้อที่ถูกต้องแล้ว ให้เริ่มฝึกโดยการขมิบกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานขึ้นไปด้านบนและเข้าด้านใน ค้างไว้ 3-5 วินาที พยายามหายใจตามปกติ อย่ากลั้นหายใจ แล้วค่อยๆ คลายกล้ามเนื้อออก พัก 3-5 วินาที ก่อนที่จะเริ่มขมิบซ้ำอีกครั้ง
  • ทำซ้ำ: ทำซ้ำ 10-15 ครั้งต่อเซต และพยายามทำวันละ 3-4 เซต
  • ฝึกสม่ำเสมอ: สามารถฝึก Kegel ได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นขณะนั่งทำงาน ดูทีวี การทำเป็นประจำทุกวันจะช่วยให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ และสามารถทำได้ตลอดชีวิตเพื่อรักษาสุขภาพเชิงกรานที่ดี

ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนสามารถป้องกันได้หรือไม่

ภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน ไม่สามารถป้องกันได้อย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงบางอย่าง เช่น พันธุกรรม การตั้งครรภ์ การคลอดบุตรทางช่องคลอดหลายครั้ง หรืออายุที่เพิ่มขึ้น ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อในอุ้งเชิงกรานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ภาวะนี้สามารถชะลอการเกิด หรือช่วยไม่ให้อาการแย่ลงได้ หากได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่ระยะแรก และได้รับคำแนะนำหรือแนวทางดูแลที่เหมาะสมจากแพทย์ จึงถือเป็นภาวะที่แม้จะไม่สามารถป้องกันได้ 100% แต่สามารถจัดการและควบคุมได้ หากใส่ใจตั้งแต่เนิ่นๆ

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยง

การดูแลตัวเองในชีวิตประจำวันจะช่วยป้องกันภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน หรือชะลอไม่ให้อาการที่มีอยู่แย่ลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่แนะนำ มีดังนี้

  1. รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์เหมาะสม น้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐาน หรือภาวะอ้วน เป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดต่อกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อบริเวณอุ้งเชิงกรานอย่างต่อเนื่อง ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและเกิดภาวะหย่อนได้ง่าย การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมจึงเป็นวิธีที่ช่วยลดแรงกดดันบริเวณนี้ได้อย่างชัดเจน
  2. หลีกเลี่ยงการยกของหนัก การยกของหนัก โดยเฉพาะหากทำอย่างไม่ถูกวิธี เช่น การใช้หลังแทนขาในการยกของ จะเพิ่มแรงดันในช่องท้องอย่างมาก ส่งผลเสียต่อโครงสร้างของอุ้งเชิงกราน หากจำเป็นต้องยกของ ควรใช้ท่าทางที่ปลอดภัย โดยงอเข่า ใช้กล้ามเนื้อขาในการยก และรักษาหลังให้ตรง
  3. ป้องกันอาการท้องผูก การเบ่งถ่ายแรงๆ ขณะท้องผูก ส่งผลให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานต้องรับแรงดันสูงอย่างซ้ำๆ ทำให้กล้ามเนื้อเสื่อมสภาพเร็ว ควรรับประทานอาหารที่มีใยอาหารสูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช ดื่มน้ำให้เพียงพอวันละอย่างน้อย 8 แก้ว และฝึกการขับถ่ายให้เป็นเวลา เพื่อให้ลำไส้ทำงานได้อย่างราบรื่น
  4. รักษาอาการไอเรื้อรัง การไอแรงๆ และต่อเนื่อง เช่น ในผู้ที่เป็นโรคหอบหืด ภูมิแพ้ หรือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) ทำให้แรงดันในช่องท้องเพิ่มขึ้นบ่อยครั้ง ส่งผลต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน หากมีอาการไอเรื้อรัง ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรับการรักษาอย่างเหมาะสม

เมื่อไหร่ควรไปพบแพทย์

ควรพบแพทย์เมื่อคุณมีอาการที่อาจเกี่ยวข้องกับภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน เช่น

  • มีอาการผิดปกติ: เช่น รู้สึกหน่วงๆ หรือมีก้อนตุงที่ช่องคลอด มีอาการปัสสาวะเล็ด หรือท้องผูกอย่างรุนแรง
  • อาการรบกวนชีวิตประจำวัน: หากอาการเหล่านี้เริ่มส่งผลกระทบต่อการทำงาน การเข้าสังคม การทำกิจกรรม หรือคุณภาพชีวิตทางเพศ
  • มีปัจจัยเสี่ยง: แม้จะยังไม่มีอาการรุนแรง แต่หากคุณมีปัจจัยเสี่ยงสูง เช่น เคยคลอดบุตรหลายครั้ง หรือมีอาการไอเรื้อรัง การไปตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้ทราบถึงภาวะและสามารถเริ่มดูแลตัวเองได้อย่างทันท่วงที

ภาวะอุ้งเชิงกรานและช่องคลอดหย่อนยานเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ผู้หญิงทุกคนควรให้ความสำคัญ การทำความเข้าใจถึงสาเหตุ อาการ และแนวทางการดูแลรักษา จะช่วยให้เราสามารถรับมือกับภาวะนี้ได้อย่างถูกวิธีและมั่นใจ 

ยังมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาวะอุ้งเชิงกราน ช่องคลอดหย่อนยานใช่ไหม? อยากปรึกษาคุณหมอ ตรวจให้แน่ชัด ทักหาทีม HDcare ได้เลย เราพร้อมเป็นผู้ช่วยส่วนตัวดูแลสุขภาพคุณ สอบถามข้อมูลเบื้องต้นกับคุณหมอเฉพาะทาง ทำนัดปรึกษาคุณหมอได้รวดเร็ว จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย

Scroll to Top