Default fallback image

ฉีด Botox และ PRP แก้ไขอวัยวะเพศไม่แข็งตัว

ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เป็นปัญหาที่สร้างความกังวลใจให้กับผู้ชายจำนวนมาก ไม่เพียงแต่กระทบความมั่นใจ แต่ยังอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์คู่รักและคุณภาพชีวิต ในอดีตการรักษามีทางเลือกจำกัด เช่น การใช้ยา หรือการผ่าตัด

แต่ปัจจุบันมีวิธีการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัดและเน้นการฟื้นฟูจากภายใน นั่นคือ การฉีด Botox และ PRP (Platelet-Rich Plasma) ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากในแวดวงเวชศาสตร์ฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศ Botox และ PRP คืออะไร และทำงานอย่างไร ติดตามได้ในบทความนี้

Botox คลายกล้ามเนื้อ ช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น

เมื่อพูดถึง Botox หลายคนอาจนึกถึงการฉีดเพื่อลดริ้วรอย แต่ในทางการแพทย์ Botox หรือ Botulinum Toxin Type A มีคุณสมบัติในการยับยั้งการทำงานของเส้นประสาทและทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว 

ในกรณีของการรักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศนั้น Botox จะถูกฉีดเข้าไปในกล้ามเนื้อเรียบของอวัยวะเพศชาย โดยจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อเรียบในผนังหลอดเลือดของอวัยวะเพศ ทำให้หลอดเลือดขยายตัวได้ดีขึ้น ส่งผลให้เลือดไหลเวียนเข้าสู่อวัยวะเพศได้มากขึ้นและคงอยู่ได้นานขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการแข็งตัวของอวัยวะเพศ

นอกจากนี้ การคลายตัวของกล้ามเนื้อยังอาจช่วยลดแรงต้านการไหลเวียนของเลือด ทำให้การแข็งตัวมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

PRP ฟื้นฟูเนื้อเยื่อ กระตุ้นหลอดเลือดใหม่

PRP หรือ พลาสมาที่อุดมไปด้วยเกล็ดเลือด คือการนำเลือดของผู้ป่วยเองมาปั่นแยกเพื่อให้ได้พลาสมาที่มีความเข้มข้นของเกล็ดเลือดสูง เกล็ดเลือดเหล่านี้มี Growth Factors หรือสารกระตุ้นการเจริญเติบโต และโปรตีนที่สำคัญในการซ่อมแซมและฟื้นฟูเนื้อเยื่อ

เมื่อฉีด PRP เข้าไปที่อวัยวะเพศ Growth Factors เหล่านี้จะกระตุ้นการสร้างหลอดเลือดใหม่ (Angiogenesis) และการซ่อมแซมเซลล์และเนื้อเยื่อที่เสียหาย รวมถึงกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของเนื้อเยื่ออวัยวะเพศ ส่งผลให้การแข็งตัวดีขึ้นในระยะยาว

นอกจากนี้ PRP ยังช่วยลดการอักเสบและเพิ่มการไหลเวียนโลหิตในบริเวณที่ฉีดอีกด้วย

ขั้นตอนการรักษาด้วย Botox และ PRP

การรักษาด้วย Botox และ PRP มักจะทำโดยแพทย์ผู้ชำนาญการ โดยมีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้

  1. แพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย และประเมินสาเหตุของภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศอย่างละเอียด เพื่อพิจารณาว่า การรักษาด้วย Botox และ PRP เหมาะสมกับผู้ป่วยหรือไม่ อาจมีการตรวจเลือด หรือการตรวจอื่นๆ เพิ่มเติมตามความจำเป็น
  2. ในกรณีของการฉีด PRP แพทย์จะเจาะเลือดผู้ป่วยในปริมาณที่เหมาะสม (ประมาณ 10-20 มิลลิลิตร) จากนั้นนำเลือดไปปั่นในเครื่องปั่นแยกความเร็วสูง (Centrifuge) เพื่อแยกพลาสมาที่มีเกล็ดเลือดเข้มข้นออกมา กระบวนการนี้ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที
  3. แพทย์จะทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศ และอาจใช้ยาชาแบบทาหรือฉีดเพื่อลดความรู้สึกเจ็บปวดในระหว่างการทำหัตถการ
  4. สำหรับการฉีด Botox แพทย์จะฉีด Botox ในปริมาณที่เหมาะสมเข้าไปยังตำแหน่งเฉพาะของอวัยวะเพศชายอย่างแม่นยำ โดยปกติจะฉีดเข้าสู่กล้ามเนื้อเรียบในเนื้อเยื่อฟองน้ำของอวัยวะเพศ (Corpora Cavernosa) ส่วนการฉีด PRP หลังจากได้ PRP ที่พร้อมใช้งานแล้ว แพทย์จะฉีด PRP เข้าไปในบริเวณต่างๆ ของอวัยวะเพศ และบริเวณรอบๆ ที่ต้องการการฟื้นฟูอย่างระมัดระวังและแม่นยำ
  5. หลังจากฉีด แพทย์จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลตัวเอง และกำหนดวันนัดติดตามผล

โดยทั่วไป ระยะเวลาในการทำหัตถการทั้งหมดไม่รวมการเตรียมตัว จะใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและปริมาณที่ฉีด

การเตรียมตัวก่อนฉีด Botox และ PRP

การเตรียมตัวที่ดีจะช่วยให้การรักษาเป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ

  • แจ้งแพทย์เกี่ยวกับโรคประจำตัว ยาที่กำลังรับประทานอยู่ทั้งหมด รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือสมุนไพร โดยเฉพาะยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน หรือยาละลายลิ่มเลือด แพทย์อาจแนะนำให้หยุดยาบางชนิดก่อนการรักษา
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมงก่อนการรักษา เนื่องจากอาจส่งผลต่อการไหลเวียนโลหิตและการฟื้นตัว
  • พักผ่อนที่เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายมีความพร้อมและฟื้นตัวได้ดีขึ้น
  • อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายโดยเฉพาะบริเวณอวัยวะเพศก่อนเข้ารับการรักษา
  • แพทย์อาจแนะนำให้งดกิจกรรมทางเพศ 1-2 วันก่อนการรักษา

การดูแลตัวเองหลังฉีด Botox และ PRP

การดูแลตัวเองหลังการรักษาเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ผลลัพธ์คงอยู่และลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง

  • หากมีอาการบวมหรือช้ำเล็กน้อย สามารถประคบเย็นได้ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก
  • งดการสัมผัสหรือนวดบริเวณที่ฉีดโดยไม่จำเป็น
  • แพทย์มักจะแนะนำให้งดกิจกรรมทางเพศอย่างน้อย 3-7 วัน หรือตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อให้เนื้อเยื่อได้ฟื้นตัวอย่างเต็มที่
  • งดการออกกำลังกายที่ต้องใช้กำลังมากหรือกิจกรรมที่อาจส่งผลกระทบต่อบริเวณที่ฉีดในช่วง 2-3 วันแรก
  • ดื่มน้ำอย่างเพียงพอช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้ดี
  • รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง (ถ้ามี) และมาพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผล
  • หากมีอาการปวด บวม แดง ร้อน หรือมีไข้ผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

การฉีด Botox และ PRP เจ็บไหม อันตรายไหม?

ในระหว่างการฉีด Botox และ PRP โดยทั่วไปผู้ป่วยจะรู้สึกเพียงเล็กน้อยถึงปานกลาง เนื่องจากมีการใช้ยาชา ไม่ว่าจะเป็นยาชาแบบทาหรือฉีดเฉพาะที่ก่อนทำหัตถการ ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกเหมือนถูกมดกัดหรือรู้สึกตึงเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด ความรู้สึกไม่สบายนี้มักจะหายไปอย่างรวดเร็วหลังการฉีด

แม้ว่าการฉีด Botox และ PRP จะถือว่ามีความปลอดภัยสูงเมื่อทำโดยแพทย์ แต่ก็มีความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น

  • อาการบวม ช้ำ หรือแดง: เป็นอาการที่พบบ่อยและมักจะหายไปเองภายในไม่กี่วัน
  • อาการปวดหรือรู้สึกไม่สบาย: อาจเกิดขึ้นได้บริเวณที่ฉีด แต่อาการมักไม่รุนแรงและสามารถบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวดทั่วไป
  • การติดเชื้อ: เป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้น้อยมาก แต่มีความสำคัญ หากไม่ได้รับการดูแลที่ถูกสุขลักษณะ
  • การแพ้: อาจเกิดขึ้นได้กับส่วนประกอบบางอย่างของสารที่ฉีด แต่พบได้น้อยมาก เนื่องจาก PRP เป็นสารที่มาจากเลือดของผู้ป่วยเอง
  • ผลลัพธ์ที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง: บางรายอาจไม่ตอบสนองต่อการรักษาได้ดีเท่าที่ควร ซึ่งขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
  • ผลข้างเคียงที่เฉพาะเจาะจงของ Botox: เช่น อาการชาชั่วคราว หรือรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของความไวในการรับความรู้สึก ซึ่งมักจะชั่วคราว
  • การบาดเจ็บของเส้นประสาทหรือหลอดเลือด: เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อยมาก แต่เป็นไปได้หากผู้ทำหัตถการไม่มีความเชี่ยวชาญ

สิ่งสำคัญคือการเลือกสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานและแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการฉีด Botox และ PRP เพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้ หากมีข้อกังวลใดๆ ควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนตัดสินใจเข้ารับการรักษา

การรักษาด้วย Botox และ PRP เหมาะกับใคร?

การรักษาด้วย Botox และ PRP อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ชายที่มีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบดั้งเดิม หรือผู้ที่ต้องการทางเลือกที่ไม่ต้องใช้ยาหรือการผ่าตัดที่มีความรุนแรง

อย่างไรก็ตาม การพิจารณาว่าเหมาะสมหรือไม่ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ ซึ่งจะพิจารณาจาก

  • สาเหตุของภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ: หากเป็นสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับการไหลเวียนโลหิต หรือความเสียหายของเนื้อเยื่อ การรักษาด้วย Botox และ PRP อาจมีประสิทธิภาพ
  • สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย: ผู้ป่วยควรมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นข้อห้าม หรือกำลังใช้ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
  • ความคาดหวังของผู้ป่วย: ผู้ป่วยควรมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่คาดหวังได้จากการรักษา

การฉีด Botox และ PRP เพื่อรักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ถือเป็นทางเลือกใหม่ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับผู้ชายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบเดิม หรือกำลังมองหาวิธีที่ไม่ต้องใช้ยาในระยะยาว แม้ว่าจะเป็นการรักษาที่ค่อนข้างปลอดภัยเมื่อทำโดยแพทย์ แต่การศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด การปรึกษาแพทย์ผู้มีประสบการณ์ และการเตรียมพร้อมดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี ก็จะช่วยทำให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจมากยิ่งขึ้น

ฉีด Botox และ PRP เหมาะกับเราไหม? ผลลัพธ์จะเป็นยังไง? นัดคุยกับคุณหมอเฉพาะทาง ผ่านทีม HDcare สะดวกรวดเร็ว ทันใจ หรือค้นหาแพ็กเกจแก้ไขอวัยวะเพศไม่แข็งตัว จาก รพ. หรือคลินิกใกล้คุณได้ทันที คลิกที่นี่เลย

Scroll to Top